27 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                วันหนึ่งอากาศร้อนอบอ้าวตั้งแต่สายๆ แล้ว พอตกบ่ายยิ่งร้อนหนักกว่าเก่า คล้ายๆ อยู่ในเตาอบ คุณตาผมท่านออกไปทำธุระและแวะหาเพื่อนของท่านแถวพาหุรัด

                คุณยายเล่าให้ฟังว่าคุณตาท่านมีเพื่อนเป็นนายห้างอยู่แถวนั้นหลายคน พอบ่ายแก่ท่านก็กลับมา มาถึงก็ถือของพะรุงพะรังลงจากรถสามล้อ ผมและพี่ชายที่วิ่งเล่นกันอยู่แถวหน้าบ้านก็เปิดประตูและรับของท่าน ช่วยถือเข้าไปข้างใน ท่านเดินเข้ามาที่หลังบ้าน และพูดกับคุณยาย ผมได้ยินใจความท่อนหนึ่งที่ว่า

                “ปุ้ย…ปุ้ย…จำนายต๋าได้ไหม ที่อยู่พาหุรัดน่ะ” คุณยายผมพยักหน้า ท่านก็บอกว่า พี่มันเสียแล้วเพิ่งทำพิธีไป แหม ไม่บอกเราสักคำ แล้วก็คุยอะไรอีกนิดหน่อย ก่อนจะพูดแปลกๆ ออกมาว่า

                “เห็นมันบอกคนที่เช่าบ้านมันที่วรจักรย้ายออกอีกแล้ว ถามไปถามมาบอกว่าผีมันดุ” คุณยายผมท่านบอกว่าเรื่องเก่ารึเปล่า ท่านก็บอกว่าไม่รู้มัน ในเวลานั้นผมไม่เข้าใจว่าท่านสองคนคุยอะไรกัน ไม่ค่อยสนใจ มันมาสะดุดหูกับไอ้คำว่าผีมันดุนั่นแหละ สมัยนั้นยังเด็ก เรื่องที่สนใจเห็นจะมีไม่กี่เรื่อง ในจำนวนนั้นก็มีเรื่องผีอยู่ด้วย

                พอตกเย็นผมอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็มานั่งเล่นหน้าบ้านเหมือนเคย วันนี้ท่านไม่มีงานต้องทำก็ให้พี่ชายผมไปซื้อโซดา ก็เป็นอันรู้กันล่ะว่าคงจะดื่มเหล้าดื่มเบียร์อีก ท่านนั่งดื่มไปได้สักพัก ผมก็เข้ามาป้วนเปี้ยนเหมือนเคย ชวนท่านคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ และสุดท้ายก็วกเข้าเรื่องที่สงสัยตั้งแต่บ่าย เรื่องผีดุ ก็เลยถามท่านว่ามันเป็นยังไง ท่านกำลังอารมณ์ดีก็เล่าให้ฟังว่า

                เรื่องมันนานมาแล้ว ถ้าจำไม่ผิดก็ราวๆ ปี 2483 ล่ะมั้ง ท่านบอกว่าเพื่อนท่านคนหนึ่งเป็นแขก มีห้างอยู่แถวพาหุรัด วันหนึ่งมีคนมาติดต่อขายบ้านริมถนนวรจักร แกเห็นว่าขายไม่แพงและคนที่เอามาขายก็รู้จักกันเลยตกลงซื้อเอาไว้ ลักษณะก็เป็นบ้านตึกนี่แหละ สไตล์ยุโรปหลังใหญ่ทีเดียว ท่านบอกว่าเพื่อนท่านซื้อบ้านพร้อมกับที่ดินไว้ในราคาสามหมื่นเศษ (สมัยนั้นก็แพงเอาเรื่องล่ะครับ)

                ท่านบอกว่าเพื่อนมันก็ชวนไปดูบ้านด้วยเหมือนกัน พอโอนทำสัญญาอะไรเรียบร้อยก็ปิดประกาศให้เช่า แรกๆ ก็มีคนมาขอดูขอชมกันเยอะ ในที่สุดก็มีคนมาเช่า รายแรกเป็นฝรั่งอยู่ได้สองเดือนก็คืนบ้าน ย้ายออกไปไม่พูดอะไร จากนั้นมาบ้านก็ว่างอยู่ระยะหนึ่ง เพื่อนท่านก็ให้คนไปทำความสะอาดเรื่อยๆ

                ต่อมาก็มีคนไทยมาเช่า แต่รายนี้อยู่น้อยกว่ารายแรก แค่เดือนเดียวก็ขอคืนเหมือนเดิม ถามอะไรก็ไม่บอก ท่านบอกว่าเพื่อนท่านก็สงสัยว่ามันมีอะไรกันก็เลยเข้าไปดู ดูจนทั่วทุกแห่งก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไร ทุกอย่างเรียบร้อยดี เมื่อเช็กจนแน่ใจก็จัดแจงปิดบ้านแล้วออกมา ส่วนราคาค่าเช่าก็ลดลงมาอีกนิดหน่อย บ้านว่างมาอีกไม่นานก็มีคนมาขอเช่าอีกครั้ง รายนี้เป็นคนไทยเหมือนรายที่สอง แต่รายหลังสุดนี่มาอยู่ได้แค่สี่ห้าวันเท่านั้น ยังไม่ทันครบหนึ่งอาทิตย์เลยด้วยซ้ำก็มาขอคืนบ้าน

                นายต๋า…เพื่อนท่านทนไม่ไหวก็คาดคั้นเอาตรงๆ ว่าไม่พอใจอะไรหรือเปล่า ทั้งที่ปฏิบัติและตรวจตราทุกอย่างจนแน่ใจแล้วว่าไม่น่าจะมีอะไรบกพร่อง…ทำไมผู้เช่าถึงอยู่ไม่ได้อีก สุดท้ายผู้เช่ารายนี้ก็ยอมบอกออกมาตรงๆ ว่า ที่อยู่ไม่ได้ไม่ใช่เพราะบ้านไม่สะอาดหรือราคาแพงอะไรหรอก ราคาถูกเสียด้วยซ้ำถ้าเทียบกับที่อื่นๆ แต่ที่อยู่ไม่ได้ก็เพราะผีดุเหลือเกิน เพื่อนท่านมาเล่าให้ฟังหลังจากนั้นหลายวัน

                คราวที่พบกับท่านว่างจากงาน ท่านบอกว่านัดมันออกมาคุยแถววังบูรพานี่แหละ ถ้าจำไม่ผิดไปกันหลายคนเหมือนกันนะ ท่านว่า ก็คุยกันตั้งแต่บ่ายถึงเย็นแดดร่มลมตก คุยเรื่องนั้นมาออกเรื่องนี้ คุยเรื่องนี้ไปเรื่องโน้น จนใครคนหนึ่งก็ไม่รู้ถามออกมาว่า

                “บ้านที่เปิดให้เช่าเป็นยังไงบ้างวะไอ้ต๋า รายได้ดีมั้ย” เท่านั้นแหละ ไอ้เจ้าต๋ามันโวยวายยกใหญ่อย่างนู้นอย่างนี้ ว่ารู้อย่างนี้ไม่น่ารับซื้อไว้เลย มิน่าทำไมขายถูก หลอกลวงสารพัดอย่าง จนท่านและเพื่อนฝูงสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็ถามดู เขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ตั้งแต่คนมาอยู่คนแรก รายที่สองและรายสุดท้ายที่บอกเลิกสัญญา ขอคืนบ้านทั้งที่จ่ายล่วงหน้ามาแล้วสองเดือนด้วยซ้ำ ท่านก็บอกทำไมเค้าคืนล่ะ บ้านเอ็งมันผุพังนักหรือไง

                เขาก็บอกว่าไม่ใช่หรอก ไม่เกี่ยวกับบ้านไกลหรือบ้านเก่าเลย แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดด้วยซ้ำ พวกเพื่อนๆ ท่านสงสัยก็ถามว่าอะไร เขาก็ตอบมาสั้นๆว่า “ผีดุ” เท่านั้นแหละ คุณตาผมและเพื่อนหลายคนในวงก็หัวเราะก๊ากออกมา พลางว่ากันเสียน้ำหูน้ำตาไหล ไม่มีใครคิดว่าจะได้ยินอย่างนี้ แต่เพื่อนท่านก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าทุกรายพูดเป็นเสียงเดียวกันเลย ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วล่ะ

                ในเวลานั้นท่านบอกกำลังตึงๆ เพราะต่างคนต่างกินเหล้ากันอยู่ พอมาได้ยินเรื่องเหลือเชื่อแบบนี้ก็หัวเราะกันออกมา สุดท้ายก็มีการชวนกันไปท้าพิสูจน์ดูให้รู้แน่ว่ามีผีสิงจริงรึเปล่า ท่านบอกว่าท่านอยู่ในกลุ่ม ก็เลยตกกระไดพลอยโจนไปกับพวกเขาด้วย เพราะไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้กันเลย พอเมาได้ที่ก็มีคนเสนอให้ไปดูให้รู้แน่ ทุกคนเห็นด้วยทันที ท่านก็ว่าตามเค้าไป ไม่ถึงชั่วโมงท่านก็มาปร๋ออยู่แถวๆ ถนนวรจักรแล้ว

                ท่านบอกว่าเรามาถึงกันก็เย็นมาก น่าจะเกินสี่โมงเย็นไปแล้ว เมื่อทุกคนมาก็ชวนท่านมาด้วย ใจจริงน่ะท่านไม่ได้อยากมายุ่งเลยเพราะเคยโดนมากับตัวเองแล้ว ท่านบอกยังจำได้ดีถึงคราวที่ไปเช่าบ้านอยู่แล้วโดนผีแขกทำร้ายเอา พอมาเรื่องนี้ท่านก็กลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย คราวนั้นก็หลอนมาแล้ว จะกลับก่อนก็ไม่ได้ก็ต้องเลยตามเลยเข้าไปดูกับเค้าด้วย

                ตัวบ้านเป็นตึกสไตล์ยุโรปเก่าคร่ำคร่าไปหมด แต่ทำเลดีเพราะตั้งอยู่ริมถนน เมื่อมีแต่ไม่เชื่อกันอยู่อย่างนี้มันก็ต้องพิสูจน์ แรกๆ เพื่อนท่านที่เป็นเจ้าของบ้านไม่ยอม แต่ก็คะยั้นคะยอจนเหนื่อยอ่อน ทุกอย่างก็สัมฤทธิผล ยอมให้เข้าไปตรวจดูข้างในได้ เพื่อนท่านบอกว่านี่ดีนะที่มีมาแต่เพื่อนที่สนิทกัน พูดคุยอะไรมันจะได้ไม่ต้องมานั่งเกรงใจ เพื่อนท่านหันมาย้อนถามท่านว่า “ เฮ้ย ปุ่น เอ็งคิดว่ามันเป็นอะไร”

                คุณตาท่านบอกว่าท่านไม่รู้ ไม่กล้าเล่าเรื่องที่ท่านโดนมาเองให้คนอื่นๆ ฟัง เพราะกลัวเล่าออกไปแล้ว คนอื่นจะขวัญเสียกันเปล่าๆ พอเพื่อนท่านไขกุญแจบ้านเข้าไป ข้างในตึกมีแต่กลิ่นอับๆ ทึบๆ ไม่ดูสว่างโปร่งโล่งสบายเหมือนอย่างที่คิดเลย และตัวบ้านมันดูตันๆ ไปหน่อยเท่านั้น ท่านและเพื่อนเดินตรวจตราดูทุกห้องอย่างละเอียดก็ไม่มีวี่แววว่าจะเห็นอะไรอย่างที่ผู้มาเช่าบอก เมื่อทุกคนเดินดูจนทั่ว ดูหมดทุกซอกทุกมุม เมื่อแน่ใจก็แวบกันออกมาเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ

                ท่านบอกเกือบจะกลับอยู่แล้วเชียว เพื่อนท่านคนหนึ่งดันหันไปเห็นอะไรแวบๆ ที่หน้าต่าง ก็ชี้ชวนให้คนอื่นดูกัน ท่านเดินห่างพวกนั้นไปสองสามก้าว พอคนอื่นชี้ให้ดูท่านก็ดูบ้าง และที่นั่นเองท่านก็ได้เห็นอะไรบางอย่างเหมือนที่ท่านเคยเห็นมาก่อน ท่านบอกว่า

                ที่เค้าชี้ให้ดูเป็นเงาคนทาบทับอยู่ที่หน้าต่างกระจก เงานั้นเป็นคนครึ่งตัว ไม่มีหัว และมีร่างกายที่ผิดปกติอย่างไรชอบกล คนดูกันที่นั่น แต่ตัวคุณตาผมท่านไพล่ไปดูที่ระเบียง และท่านก็ได้เห็นอะไรบางอย่างที่นั่น สิ่งนั้นดูเหมือนคนทุกอย่าง…ตัวเค้ายืนเกาะราวระเบียงอยู่และหันมาแสยะยิ้มกับท่าน ท่านแน่ใจว่าไม่ใช่คนแน่ๆ ไม่ได้ตาฝาดหรือเห็นอะไรผิดเพี้ยนไปหรอก

                ขณะที่คนอื่นกำลังฮือฮาที่หน้าต่าง ท่านก็รีบชวนคนอื่นให้ดูที่ท่านเห็น แต่ใครจะเชื่อว่าพอท่านละสายตาจากระเบียง คนที่ท่านเห็นยืนอยู่ที่ระเบียงก็เลือนหายไปแล้ว ทีนี้ก็เริ่มโกลาหลแล้วล่ะสิ พวกที่ปากดีแต่แรกว่าไม่กลัวก็เริ่มหวาดกลัว ผีที่นี่ทั้งดุทั้งเฮี้ยนจริงๆ ท่านเองสองจิตสองใจไม่ปักใจเชื่อ แต่ก็ไม่ถึงกับไม่เชื่อเอาเสียเลย ตั้งแต่ท่านได้พบได้เห็นที่บ้านร้างคราวนำละครไปแสดงที่ต่างจังหวัด ท่านก็เริ่มเชื่อเรื่องแปลกๆ พวกนี้อยู่เหมือนกัน

                หลายคนเริ่มใจไม่ดี…บอกกลับกันเถิด สุดท้ายวันนั้นทุกคนก็กลับกัน แต่ทว่าหลายวันต่อมา ท่านมาคิดๆ ดูว่าจะเป็นกลอุบายของคนร้ายรึเปล่า ท่านก็เลยไปตามเพื่อนๆ มาอีก คราวนี้จะเอาให้รู้แน่เลย แต่ทันทีที่มาถึงบ้าน ทุกคนก็ได้ยินเสียงเดินและเสียงกระดานลั่นเอี๊ยดอ๊าด หลายคนเริ่มไม่อยากจะดูแล้ว แต่ตัวเพื่อนท่านที่เป็นเจ้าของบ้านกลับบอกว่าเราขึ้นไปดูให้รู้แน่เถิดว่าเป็นอะไร อาจจะเป็นผู้ไม่หวังดีหรือมิจฉาชีพมาใช้บ้านของเขาทำอะไรไม่ดีก็ได้ เมื่อเพื่อนๆ หลายคนเริ่มคิดได้ก็ตัดสินใจกลับไปดูกันอีกครั้ง ท่านก็ไปด้วย ท่านมาบอกทีหลังว่า…ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่มันมีอะไรบางอย่างดูไม่เข้าท่าชอบกล แต่ท่านนึกไม่ออกว่ามันเป็นอะไร

                พอเพื่อนๆ กลับมาที่บ้านหลังนั้น เจ้าของบ้านก็จัดแจงไขกุญแจประตูแล้วก็พากันเข้าไปอีกครั้ง ต่างคนต่างก็พยายามเดินใกล้กัน เดินเกาะกลุ่มกันแน่น ไปไหนก็ไปกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน ท่านบอกว่าอย่างไรเปิดไฟเสียก่อนดีกว่า ว่าแล้วท่านเลี่ยงออกมาเดินไปเปิดไฟ พอสว่างอะไรที่ดูน่ากลัวก็หายไป…แต่ถึงคนอื่นๆ จะคลายใจแต่ท่านยังระแวงอยู่

                ท่านบอกว่าพยายามหาดูว่าบ้านหลังนี้มีห้องใต้ดินหรือเปล่า อาจจะเป็นแบบเดียวกับที่ท่านประสบมา คือมีโลงศพเก็บไว้ใต้ถุน ใต้บันได ก็ช่วยกันหาจนทั่วก็ไม่มี ไม่มีห้องที่น่าสงสัยอะไรเลย แต่ท่านสังเกตเห็นประตูเล็กๆ เปิดเข้าไปใต้ถุน ก็เลยลองเปิดดูและฉายไฟเข้าไป ก็ได้เห็นสิ่งที่ทุกคนอยากเห็น

                ท่านมาเล่าว่าท่านรีบไปแจ้งความสองที่เลย เพราะใต้ถุนนอกจากจะมีโลงศพอยู่สองใบแล้ว ยังมีของอยู่หลายๆ อย่างที่ลักลอบนำมาเก็บเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าของที่นำมาเก็บซุกซ่อนไว้นั้นเป็นของใคร ตำรวจเลยยึดเอาไปหมด แล้ววันต่อมาก็มาแอบซุ่มดักจับเพราะคิดว่าผู้ที่แอบเอาของเข้ามาซ่อนแล้วเจอโลงศพ เลยแกล้งทำผีหลอก…ยังไงก็ต้องย้อนกลับมาเอาของแน่ๆ แต่นี่เค้าหายไปเลย วันหนึ่งก็แล้ว หลายวันก็แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดย่างกรายมาที่นั่นเลย จนผ่านไปหลายปีและทุกคนก็ลืมเรื่องนี้กันหมด

                จนวันนี้ท่านแวะไปหาเพื่อนที่ร้าน…เพื่อนท่านก็เล่าเรื่องนี้ออกมาให้ฟังอีกว่ามันเอาอีกแล้ว ผีเริ่มมาปรากฏตัวอีกแล้ว แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ผมก็ไม่รู้นะครับว่าลงเอยอย่างไร รู้แต่คุณตาผมท่านไม่ได้ย่างกรายไปที่บ้านเพื่อนท่านหลังนี้อีกเลย

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. จุติ จันทร์คณา

ภาพโดย. lisney.com, www.newidea.com.au, www.homeestateagents.com, steemkr.com, granny.fandom.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •