4 พฤษภาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ช่วงเวลาพักเที่ยงเป็นช่วงที่ชุลมุนที่สุด ไหนจะแย่งกันซื้ออาหารมานั่งทานให้ทันเวลา บางทีหนึ่งชั่วโมงเหมือนจะน้อยไปด้วยซ้ำ

                ฉันถือจานข้าวที่มีไข่พะโล้หนึ่งลูกกับผัดพริกขิงถั่วฝักยาว ส่วนยัยจิ๊บคงกะเพราไก่ไข่ดาวเหมือนเดิม เพื่อนคนอื่นแล้วแต่ตามชอบ เวลามานั่งทานด้วยกัน มีโดนแย่งตักในจานก็มี

                โดยเฉพาะเพื่อนนักเรียนชายที่ซนมากๆ ฉันเลือกที่จะเอาข้าวกลบไข่พะโล้ คิดแล้วก็ขำ เพื่อนบางคนพอเพื่อนทำท่าจะแย่ง มันรีบถ่มน้ำลายใส่ เป็นอย่างนี้จริงๆ

                ฉันกับจิ๊บได้ที่นั่งแอบๆ เพราะนักเรียนเยอะ พลุกพล่าน นั่งกินกันไปคุยกันไปมีความรู้สึกว่ามีใครมอง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็น น่าจะเป็น ม.6 รุ่นพี่เขากำลังจ้องมองมาที่ฉันกับจิ๊บ ในกลุ่มเขาน่าจะมีสามสี่คน หันไปมองก็เห็นจ้องทำไมก็ไม่รู้

                “ยัยจิ๊บ แกว่าไอ้สามตัวตรงนั้น มันมองมาที่เราหรือเปล่าวะ”

                “อือ…มองนานละ เราสวยว่ะแก มีหนุ่มมอง เชิดเลยๆ”

                ถึงไม่ได้คิดอะไร แต่สายตาคมกริบคู่นั้นทำเอาสะเทิ้น พอดีไอ้จ๋องวิ่งมาตบไหล่

                “อีไก่ อีจิ๊บ มาแอบแดกอยู่ตรงนี้ กลัวเพื่อนแย่ง มึงเลวมาก”

                “ไอ้จ๋องเรียกจิกกบาลเลยนะ ใครเลวกันแน่ แล้วมึงมาทำไมวะ มึงกินข้าวยัง…มีตังค์เปล่า”

                “โถ…ถามเป็นแม่เลย เดี๋ยวขึ้นไปวิชาครูสะอิ้ง กูยังทำไม่เสร็จเลย ยืมลอกหน่อยนะ โอเค ขอบใจ กูไปเอาในกระเป๋ามึงนะ”

                พูดเองเออเอง แล้วมันก็ไป หันมาอีกทีแก๊งสามหนุ่มหายจ้อย

                “ไอ้จ๋องทำเรานกว่ะจิ๊บ…ฮ่าๆๆๆๆ”

                พอกินข้าวเสร็จไปเข้าห้องน้ำ บ้วนปากเตรียมตัวเข้าเรียนคาบต่อไป เจอชายหนุ่มรุ่นพี่หน้าตี๋แต่ตาคมมาดัก

                “ขอรหัสเข้า msn…หน่อยครับ”

                ฉันไม่ตอบอะไร แค่มองยิ้มแล้วก็เลี่ยงเดินไป แต่คิดในใจอยากจีบพยายามอีกนิดสิพี่ ของ่ายๆ อย่างนี้เหรอ

                หลังจากวันนั้นก็เจอบ้างเป็นครั้งคราว เห็นเขายิ้มให้เฉยๆ ก็นึกเสียดายว่าเล่นตัวทำไมวะกู…พอดีเป็นช่วงติดสอบปลายภาค มัวยุ่งกับการท่องตำรา ฉันลืมเรื่องนี้ไปเลยจนปิดเทอม

                ฉันไม่ค่อยเห็นเขานะ เคยมองหาอยู่เหมือนกัน ฉันต้องขึ้น ม.6 แต่เขาคงไปต่อมหาลัยฯ ก็คงต่างคนต่างไปไม่ได้เจอกันอีก

                นึกแล้วให้เสียดายจริงๆ ไม่น่าเล่นตัวเลยเรา คิดเล่นขำๆ ไปคนเดียว ระหว่างที่นั่งทำรายงานอยู่ที่คอม แต่ไม่วายที่จะออน msn คุยกะยัยจิ๊บไปด้วย แล้วอยู่ๆ ก็มี msn อีกอันเด้งขึ้นมา

                “สวัสดีครับ จำผมได้ไหมฮะ”

                “ใครคะ…?”

                แล้วก็เป็นรูปเขาเด้งขึ้น…อยากบอกว่าฉันแอบกรี๊ดในใจ

                “อ๋อ…จำได้ค่ะ”

                “ผมเต้ครับ เรียนเป็นอย่างไรบ้างครับ”

                “เห็นหายหน้า…ไปเรียนต่อที่ไหนคะ”

                “ผมไม่กล้าเข้าไปคุย…กลัวจะไม่คุยด้วย แล้วหน้าแตกแบบวันนั้น”

                “วันนั้นหน้าแตกเหรอคะ ไก่ก็แค่เขินเอง”

                ซึ่งหลังจากวันนั้น เราจะคุยกันทุกวัน พอได้เวลาสามทุ่มเป๊ะ เต้ก็จะทักมา เราคุยกันอยู่ประมาณหนึ่งเดือน ไม่แปลกเลยที่มันจะเป็นความผูกพัน ถ้าจะบอกว่าฉันรักเขาเข้าไปแล้วจะน่าเกลียดไหม เหมือนใจเราจะตรงกัน

                “ไก่…เต้รักไก่นะ คิดถึงเสมอที่หายหน้าไป ผู้หญิงตัวเล็กๆ ไว้ผมหางม้าผูกโบ ตากลมๆ แก้มป่องๆ แล้วไก่ละ…ชอบเราไหม”

                “เอางี้เลยเหรอ…”

                “ว่าไง อยากรู้คำตอบ…ถ้าอายส่งหัวใจมาก็ได้”

                ฉันรีบส่งหัวใจรัวๆ แทนคำตอบ

                “ตกลงนับแต่วันนี้เราเป็นแฟนกันนะ…นะ”

                จะเหลือเหรอ ฉันรีบโอเค…เป็นอันว่าพอจบการคุยคืนนั้น ฉันฝันหวานทั้งคืน ต้องเล่าให้ยัยจิ๊บเพื่อนซี้ฟัง มันคงจะตื่นเต้นไปกับฉันด้วยแน่ๆ

                วันรุ่งขึ้น พอใกล้สามทุ่มฉันมานั่งรอที่หน้าคอม…เวลาผ่านไปด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ สามทุ่ม…สี่ทุ่ม…ช่อง msn ของเต้ว่างเปล่า ไม่ได้ทักมาเหมือนเคย

                เกิดอะไรขึ้น หรือว่าพอเรารับเป็นแฟนแล้วก็ไม่จำเป็นต้องคุยกันทุกวันเหรอ…

                ฉันเฝ้ารอแบบนี้มาถึงห้าวัน เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าความรู้สึกของการรอคอยเป็นยังไง ฉันเหมือนคนอกหักยังไงไม่รู้

                ฉันรู้สึกถอดใจพอๆ กับสงสัยว่าเต้หายไปไหน ในตอนนั้นโทรศัพท์ยังไม่ดาษดื่นเหมือนเดี๋ยวนี้ การติดต่อสื่อสารยังใช้msn อยู่ๆ msn ของเต้ก็เด้งขึ้น ไม่อยากบอกเลยว่าดีใจแค่ไหน

                “รอเต้…หรือเปล่า”

                ฉันกะต่อว่าเต็มที่ที่ปล่อยให้เรารอทุกข์ใจ

                “เต้…เต้หายไปไหนมา ไก่รอทุกวันเลยนะ”

                “รู้ๆ แต่เต้ไม่สบาย…”

                “อ้าวเหรอ แล้วตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ไปหาหมอหรือเปล่า หมอว่าเป็นอะไร”

                “เป็น…เป็นโรคหัวใจ ไม่เป็นไร ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว…รู้ว่าไก่รอ…เต้ขอโทษนะ”

                “ไก่ไปเยี่ยมเต้ได้ไหม อยากเจอ…ได้ไหม…คิดถึง”

                “…………”

                “ว่าไง จะพิมพ์อะไรอะ ให้ไก่ไปเยี่ยมได้ไหม บ้านเต้อยู่ที่ไหน”

                “คือ…เต้อยู่ที่วัด ไก่จะมาเหรอ”

                “ดึกป่านนี้ไปทำอะไรที่วัด งั้นพรุ่งนี้ตอนกลางวันไก่ไปหาเต้นะ…นะ อยากเจอ เป็นห่วงด้วย”

                “จะมายังไง พรุ่งนี้เต้ก็ยังอยู่ที่วัด…”

                “ไม่รู้ล่ะ วัดก็วัด…จะชวนยัยจิ๊บไปเป็นเพื่อน บอกวัดมาเลยเต้ เจอกันกี่โมงดี”

                “ถ้าไก่อยากมาช่วงนี้ เต้อยู่ที่วัด XXX นี้ตลอด แต่ก็คงอีกแค่สองสามวัน”

                “ที่บ้านเต้มีอะไรหรือเปล่า ใครเป็นอะไรไหม ถึงไปอยู่ที่วัดกัน”

                “แค่นี้ก่อนนะ รู้สึกเหนื่อย ถ้ามาก็ถามหาเต้แล้วกันนะ…ไก่ เต้รักไก่นะ”

                แล้วสัญญาณก็ขาดหายไป แต่ฉันรู้สึกดีใจที่พรุ่งนี้จะได้เจอคนรักแล้ว

                วันรุ่งขึ้น ฉันลากยัยจิ๊บให้ไปด้วย ไปตามพิกัดวัดที่เต้บอก ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านยัยจิ๊บด้วย

                “โห…วัดนี้เองเหรอ ใกล้บ้านฉันเองสบายมาก”

                ฉันไปถึงบ้านยัยจิ๊บเที่ยงพอดี ซึ่งเราต้องนั่งรถต่อไปอีกหน่อยเพื่อจะไปที่วัด พอดีที่บ้านยัยจิ๊บมีรถมอเตอร์ไซค์ ฉันซ้อนรถไปด้วยหัวใจที่พองโต

                “ไก่ แล้วแกจะเจอเขาเหรอ”

                “เจอสิ เขาบอกเขาอยู่ที่วัดทั้งวัน มาได้เลย มาตอนไหนก็ได้”

                “กูว่ามันแปลกๆ เปล่าวะ…มาอยู่กันทำไมที่วัด”

                “คงทำบุญหรือไม่ก็…ไม่รู้สิ ฉันไม่กล้าถามว่ามีใครเป็นอะไร พ่อแม่ หรือย่ายายอะไรแบบนี้หรือเปล่า เห็นบอกอยู่ที่วัดอีกสองสามวัน”

                “อ่ะ ถึงแล้ว ศาลาไหนล่ะ ถามใครดี…ผู้ชายคนนั้นก็ได้ที่เดินหิ้วดอกไม้มา”

                “ใช่ๆ เต้บอกให้ถามหาเขา คุณๆ ขอถามอะไรหน่อยค่ะ รู้จักคนที่ชื่อเต้ไหมคะ เขาชื่อพงษ์ศักดิ์”

                ชายหนุ่มคนนั้นทวนคำ หน้าตาคุ้นๆ เหมือนใครสักคน ฉันคิด

                “เต้ พงษ์ศักดิ์….อ๋อ พี่ชายผมเองครับ เชิญครับตามผมมา เขาอยู่ที่ศาลาสองครับ”

                ระหว่างเดินเราคุยกันนิดหน่อย

                “ใช่ ชื่อพี่ไก่หรือเปล่าครับ”

                “ใช่ค่ะ…ใช่”

                “อ๋อ พี่นี่เอง พี่เต้บอกพี่เป็นแฟนเขา..แล้วพี่รู้ได้ยังไงครับว่าเขาอยู่ที่นี่ เพื่อนๆ เขายังไม่รู้กันเลยครับ”

                “ก็เมื่อคืนเพิ่งคุย msn กัน เขาบอกให้พี่มาหาเขาที่นี่”

                “หา! คุยเมื่อคืน…คุยกับพี่เต้เนี่ยนะครับ”

                เราเดินมาถึงศาลาสองพอดี มีคนแต่งชุดดำนั่งกันอยู่หลายคน บางคนกำลังจัดนั่นนี่ แล้วน้องชายเต้ก็เดินเข้าไปข้างใน พูดคุยกับผู้หญิงวัยกลางคนหนึ่ง

                ผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นแล้วเดินมาหาเรา ขณะเดียวกันฉันก็ชะเง้อมองหาเต้ น้องชายเต้เดินออกมาด้วย แล้วแนะนำว่านี่คือแม่ แต่ฉันก็ยังไม่เห็นเต้ แต่ที่สุดช็อกก็คือคำพูดของแม่

                “หนูเป็นเพื่อนเต้เหรอ เข้าไปไหว้ศพเต้ก่อนนะ แล้วค่อยคุยกัน”

                ฉันกับจิ๊บมองหน้ากัน ตัวฉันชาวูบ แขนขามันเหมือนไม่มีแรง ฉันทรุดลงนั่งอยู่ที่หน้าศาลา มีหลายคนเข้ามาประคอง…ทำไมน้ำตามันไหลไม่หยุดนะ เหมือนอะไรมันวิ่งวนอยู่ในหัว…ใจสลาย

                พอเริ่มดีขึ้น แม่กับน้องก็ช่วยกันเล่าให้ฟังว่าเต้เสียไปได้คืนที่หกแล้ว พอครบเจ็ดวันก็จะเผา…เขาป่วยมาก เขาเป็นโรคหัวใจ นอนรักษาอยู่หลายเดือน และเขามักจะเอ่ยชื่อไก่บ่อยๆ ในช่วงที่เขารักษาตัวเขาจะหวงคอมมาก ไม่ให้น้องแตะเลยถ้าช่วงสามทุ่ม

                ได้ฟังฉันยิ่งร้องไห้หนักมาก ซึ่งทำเอายัยจิ๊บร้องตามไปด้วย ช่วงเวลานั้นฉันควรได้เจอและได้ดูแลเขาบ้าง…เป็นช่วงเวลาสามเดือนที่มีความหมายมากๆ

                ฉันตัดสินใจเดินไปไหว้ศพเขามากกว่าที่จะกลัวเขา ในรูปเหมือนเขาส่งยิ้มน้อยๆ มาให้ ฉันขอให้เขาไปสู่ภพภูมิที่ดี…ไม่ต้องห่วงกังวล เรามีบุญสัมพันธ์กันมาแค่นี้

                จากนั้นก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ได้คุยกันเมื่อคืน แม่ถึงกับเอามือทาบอกว่า เขาคงอยากให้ฉันมาบอกลากันเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งฉันรับปากว่าวันเผาฉันจะมาส่งเขาไปสวรรค์

                วันนั้น ฉันกลับบ้านด้วยหัวใจที่แตกสลาย สัญญากับตัวเองว่าฉันจะเข้มแข็งและไม่ลืมที่จะไปเผาเขา เพื่อส่งให้เขาไปสวรรค์ ไม่มีอะไรติดค้างคาใจ

                หลังจากวันนั้นเขามาลาในฝัน มาขอบคุณแล้วก็เดินจากไป

                เวลาผ่านมาเกือบห้าปีกว่าๆ แล้ว…ฉันยังไม่พร้อมที่จะมีใครอีกสักคน…ทั้งที่ตอนนี้ ฉันเรียนจบและได้ทำงานมาปีกว่าแล้ว

                ฉันคิดเสมอว่าเต้ส่งคนดีๆ มาให้หน่อยนะ ไม่รู้ว่าฉันจะรักใครได้อีก ปล่อยให้เป็นเรื่องของพรหมลิขิตแล้วกัน ฉันเดินคิดอะไรเหม่อลอยจนชนเข้ากับใครสักคนอย่างจัง

                “อุ๊ย ขอโทษค่ะ…”

                “ครับ ไม่เป็นไรครับ คุณเจ็บหรือเปล่า เอ…หน้าตาคุ้นๆ นะคุณ เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า”

                พอหันไปมองหน้าผู้ชายคนนี้เต็มๆ ไม่อยากเชื่อเลย เขาคล้ายเต้มากๆ จนใจฉันระทึก…แล้วเผลอเรียกชื่อเต้ออกไป

                “เต้เหรอ….เอ้อ นั่นชื่อพี่ชายผม ผมน่ะชื่อต้อม…แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมมีพี่ชื่อเต้ เอ๊ะ คุ้นๆ หน้าคุณแต่คิดไม่ออก…ใช่คุณ อะไรนะ…”

                เป็นอันว่าที่สุดแล้ว เขาเป็นน้องชายของเต้จริงๆ ที่เราเจอกันเมื่องานศพของเต้เมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นเขายังดูเด็กๆ อยู่เลย…พรหมลิขิตจริงๆ เราคุยกันถูกคอ นี่หรือเปล่าที่เต้ชักนำ เขาคงอยากให้ฉันเป็นครอบครัวเดียวกันกับเขา ถึงดึงดูดให้เรามาเจอกันอีกครั้ง

                น้องชายเขาจะอ่อนกว่าฉันนิดหน่อยตอนนี้ ก็โอเค…รักใหม่ที่ทำให้หัวใจกลับมาสดใสอีกครั้ง นับว่าโชคดีกว่าสิ่งใดๆ เหมือนถูกลอตเตอรี่เลยค่ะ เพราะในที่สุดฉันกับต้อมก็ได้แต่งงานกันเหมือนนิยาย

                ทุกครั้งที่ดูรูปเต้ ฉันจะขอบคุณเขาในใจเสมอที่เขาส่งสิ่งที่ดีมาให้…เพราะต้อมเป็นคนดีมาก ฉันโชคดีใช่ไหมคะ…เพราะผีออนไลน์แท้ๆ

ท้ายนี้ต้องกล่าวลากันเหมือนเช่นเคย ขอให้ทุกท่านโชคดีมีลาภ และอย่าลืมติดตามเราในนิตยสารสุสานผีด้วยนะคะ ด้วยรักจากใจจากเราชาวสุสานผี สวัสดีค่ะ

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย. กฤตยา อยู่ประเสริฐ

ภาพโดย. Ai


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •