29 มีนาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ชีวิตคนเรานั้น ว่ากันว่าห้ามอะไรห้ามได้หมด แต่ห้ามมิให้คนเกิด คนแก่ คนเจ็บ และคนกำลังจะตายนั้น ห้ามกันยากแท้เทียว เพราะมันฝืนกฎธรรมชาติ

                ตัวผู้เขียนถือเป็นคนที่รักสุขภาพและอนามัยต่อตนเองและสภาพแวดล้อมในบ้านคนหนึ่ง หากปลายเดือนมกราคมปีก่อนก็มิวายที่ต้องพาตนเองไปหาหมอ และในที่สุดก็ต้องเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลรัฐ เนื่องจากมีไข้สูงถึง 38-39 องศาตลอดเวลา ทั้งนี้ ผู้เขียนเป็นคนไข้รายหนึ่งที่ทางโรงพยาบาลรัฐมีความจำเป็นต้องกักตัว และต้องหาเชื้อโรคจากสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก หรือน้ำลาย ต่อไป…ในใจนั้นคิดวนเวียนแต่ทำไมถึงต้องเป็นเราที่มานอนซมด้วยพิษไข้ เมื่อลืมตาตื่น พยาบาลก็เรียกให้กินแต่ยา ครั้นถามคุณพยาบาลว่าดิฉันเป็นอะไรหรือคะคุณพยาบาล ก็ได้รับคำตอบจากพยาบาลที่ใบหน้าไม่สู้จะรับคนไข้นัก…

                “คนไข้ไม่ต้องถาม ไม่ต้องพูดอะไรมาก ตอนนี้อยู่ในช่วงการเพาะเชื้อเพื่อหาแนวทางการรักษา และขอให้คิดเสียว่าคุณคือผู้ป่วยที่โชคดีที่ทางโรงพยาบาลได้จัดห้องผู้ป่วยพิเศษไว้ให้นอนพักผ่อน ขอให้เมื่อถึงเวลานอน คุณนอนหลับให้สบายเท่านั้นก็พอค่ะ”

                “ขอบคุณ” ฉันหลุดปากได้เท่านี้ก่อนผล็อยหลับไป จดจำได้เท่านี้ ก่อนที่จะมีเสียงปลุกเรียกอีกครั้งที่ข้างหู

                “ตื่น ตื่น ออกไปเดินเล่นรับลมกัน”

                ฉันลุกขึ้นจากเตียงคนไข้เป็นครั้งแรก อาการปวดตามเนื้อตัวหายเป็นปลิดทิ้ง…ผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดเสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงขายาวสีขาว ปล่อยผมดำขลับยาวสยาย เธอยืนกวักมือเรียกฉันที่หน้าบานประตูเลื่อนริมระเบียง

                “มาสิ ลุกขึ้นมา เดินมาเร็วๆ เธอหายดีแล้ว” แม้ยืนอยู่ห่างราว 2 เมตร แต่ได้ยินเสียงเหมือนอยู่ข้างๆ หู “เร็วๆ ลุกมาดูบรรยากาศของตัวเมือง…ดูจากที่สูงนั้นสวยงามแค่ไหน”

                ฉันสะดุดคำพูดของเธอ หญิงแปลกหน้า ดูจากที่สูงนั้นสวยงามแค่ไหน ใช่ สติสัมปชัญญะกลับมาอีกครั้ง ฉันนอนพักรักษาตัวที่ตึกสูงถึงชั้น 7 ของโรงพยาบาล และการเข้าโรงพยาบาลรอบนี้ ลูกหลานเพิ่งทราบข่าว คงยังปลีกเวลามาดูแลเฝ้าไข้ไม่ได้ ส่วนตัวฉันเองนั้นเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลบ่อยมาก เรียกว่านอนจนลูกๆ ทำใจไว้บ้างแล้ว คือไปตอนไหนก็ตอนนั้นน่ะนะ คราวนี้ หากฉันเดินตามผู้หญิงคนนี้พร้อมลากเสาน้ำเกลือติดตามไปด้วย ถ้าเจ้าหน้าที่ตึกมาดูแลและเห็นเข้า ไม่วายโดนตำหนิแน่

                “ไปสิป้า ตามแม่หนูไป” อ้าว มีเสียงเด็กๆ พูดอยู่ข้างหู เมื่อก้มหน้าดู เป็นเด็กผู้ชายหนังหุ้มกระดูก เนื้อตัวดำมะเมี่ยม เวลาพูดเห็นฟันสีขาวอยู่เต็มปาก! “รออะไรล่ะ รีบตามแม่ของหนูไป พวกหนู…” เสียงนั้นอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ “เราสองคนแม่ลูกจะได้ออกไปจากที่นี่เสียที!”

                เจ้าเด็กอายุราว 5 ขวบ แต่ใบหน้าแก่ราว 50-60 ปีไม่พูดเปล่า มันใช้มือสองข้างลากขาฉันให้พร้อมก้าวลงจากเตียง

                เฮ้ย! ฉันสะดุ้งลืมตาตื่น พบว่าตัวเองนั่งห้อยขาอยู่ข้างเตียง มือข้างขวาที่ให้น้ำเกลือไว้เข็มได้หลุดออก เลือดกำลังไหลซึมมากขึ้นๆ จนในที่สุดต้องใช้มืออีกข้างระงับซับเลือดให้ตัวเอง ขณะเดียวกัน ทั้งร่างกายเหมือนต้านทานไม่ไหว ความปวดเมื่อยจากศีรษะจรดปลายเท้าแล่นขึ้น-ลงเป็นริ้วๆ จึงรีบกดออดเรียกเจ้าหน้าที่ตึกทันที และเสียงแรกที่คุณพยาบาลทักนั้นไม่พ้นคำดุ

                “คุณป้า ทำไมทำอย่างนี้ ไหนน้ำเกลือจะต้องเปลี่ยนขวดให้ใหม่อีก เสียทั้งเงิน และถ้าเกิดติดเชื้อในกระแสเลือดเพิ่มจะให้ทำอย่างไร”

                “ฉันติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างนั้นหรือคะ”

                คุณพยาบาลไม่ตอบ ได้แต่จัดการออกไปจากห้อง กลับมาพร้อมรถเข็นที่บรรจุขวดน้ำเกลือและเครื่องมือทำแผล “รู้ไหมว่าลุกขึ้นเองไม่ได้”

                “รู้ค่ะ แต่มันเหมือนมีคนจะพาป้าไปดูวิวที่ริมระเบียง” มือทั้งสองของคุณพยาบาลที่กำลังต่อสายน้ำเกลือชะงักนิดหนึ่ง “คนเป็นแม่ใส่ชุดขาว สวมเสื้อแขนยาว สวมกางเกงขายาว ส่วนตัวลูกชายนั้นสูงแค่เตียง เป็นเด็กหน้าแก่ แต่เวลาพูดนั้นมีเสียงเป็นเด็ก ฟันนั้นซี่เท่าจอบเหมือนคนโตค่ะ”

                คุณพยาบาลอึ้ง นิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยพูด “เดี๋ยวจะฉีดยานอนหลับให้คนไข้นิดหนึ่งเพื่อให้หลับสบาย ส่วนวันพรุ่งนี้ ลูกชายคุณป้าได้จ้างให้น้องผู้ช่วยฯ ชุดเหลืองดูแลคุณป้า…สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนอีกทีจนกว่าอาการจะดีขึ้น”

                อ่า ฉันกลับเข้าสู่โหมดที่ร่างกายเนื้อตัวเบาสบายอีกครั้ง หากไม่วายที่ต้องได้ยินเสียงเคาะไปรอบๆ เตียงจนน่ารำคาญ

                 “จะไปได้รึยังล่ะป้า”

                “ไปไหนล่ะ”

                “ก็ ตามแม่หนูไปเดินเล่นไง ที่ข้างนอกโน่น สวยมาก…” อยู่ๆ ผ้าม่านที่อยู่ข้างเตียง ด้านนอกคือระเบียง ก็ถูกรูดเปิดเบาๆ มีผู้หญิงผมยาวคนเดิมนั่งก้มหน้าห้อยขาเหมือนรอฉันอยู่ “ไปเถอะป้า พรุ่งนี้วันพระแล้ว…หนูกับแม่จะได้ไปที่ไหนๆ ได้ ป้าจะได้พักอยู่ที่ตรงนี้ต่อไปอย่างไรเล่า…ไม่ปวดหัว ไม่เหนื่อย ไม่เบื่อ อย่างที่ป้าชอบพูดให้ใครต่อใครฟัง หากป้าไปกับแม่หนู ที่ห้องนี้ ห้อง X106 คือห้องที่ป้าจะมีความสุขชั่วนิรันดร์”

                ซึ่งต้องขอกล่าวไว้ ทุกครั้งที่ผู้เขียนจะหลับตานอน จิตจะภาวนาพร้อมกำหนดลมหายใจ พุทโธ พุทโธ อยู่อย่างนี้ และการนี้เมื่อจะเรียกสติคืนกลับมา ฉันได้ระลึกคำภาวนาพุทโธ เป็นไปโดยอัตโนมัติ

                “ร้อนเหลือเกินแม่จ๋า! อีบ้านี่เรียกหาพระพุทธอีกแล้วแม่”

                “รอมันต่อไป” เสียงคนเป็นแม่ แม้จะก้มหน้าพูด หากเสียงนั้นดังกังวานได้ยินเต็มสองหู

                ยามนั้นผู้เขียนรู้สึกได้ทันที สองตัวตนแม่ลูกคู่นี้…ไม่ใช่คน! เมื่อได้คิด ร่างของผู้เป็นแม่ได้มายืนเกาะที่หน้าประตูห้องน้ำแล้ว ซึ่งเธอได้เอ่ยขึ้น

                “เอาบานประตูห้องน้ำห้อง 552 มาใส่ห้อง X106 คนพวกนี้เก่งจริงๆ”

                ส่วนลูกชายที่มีฟันซี่โตอมเต็มปากได้พูดขึ้นบ้าง “เมื่อรู้อย่างนี้ รู้ว่าไปด้วยไม่ได้ก็ต้องทำบุญให้เรา อย่าลืมเอาบานประตูห้องน้ำห้อง 552 มาใส่ให้ห้อง X106 คนทำนี่เก่งจริงๆ ยัดลงใต้ถุนร้านให้หมด” ซึ่งประโยคดังกล่าวนี้ ฉันได้ยินกลับไปกลับมาจนสามารถท่องจำได้ขึ้นใจ

                ตกรุ่งเช้า 07:00 น. อากาศข้างนอกเมื่อมองออกไปยังขมุกขมัว ฉันกดออดเรียกคุณพยาบาลเพื่อซักถามว่าเด็กผู้ช่วยดูแลคนไข้นั้นจะเดินทางมาเฝ้าดิฉันกี่โมง หากว่าคุณพยาบาลเอ่ยทันทีที่เห็นหน้าดิฉัน “คนไข้นี่ละเมอเก่งจริงๆ ปกติอยู่บ้านนอนละเมออย่างนี้รึเปล่าคะ?”

                เมื่อถามฉันละเมอว่าอย่างไร ขอร้องคุณพยาบาลช่วยเล่าให้ฟังสักนิด

                “คนไข้พูดย้ำๆ ซ้ำๆ ว่าเอาบานประตูห้องน้ำห้อง 552 มาใส่ในห้องนี้ได้อย่างไร…หรือฝันว่าได้เลข ได้หวยมาคะ? แหม…วันพรุ่งนี้หวยออกเสียด้วย เอาอย่างนี้ เดี๋ยวหนูจะลองหาเลขดูนะคะ”

                นั่นล่ะ ฉันจึงเล่าทุกเหตุการณ์ตั้งแต่แอดมิตในช่วงบ่ายของวันวานว่าได้เจอะเจอสิ่งใดบ้างแทบจะตลอดทั้งคืนให้คุณพยาบาลฟัง แม้จะดูคล้ายความฝัน แต่เป็นความฝันที่เปรียบเสมือนความจริงเลยทีเดียว

                ราว 08:30 น. แม้ฉันจะมีน้องชุดเหลืองมาอยู่เป็นเพื่อนเฝ้าไข้ก็ตาม หากเจ้าเด็กหน้าแก่ยังคงมุดหัว โผล่หัวอยู่ข้างเตียงคนไข้ ไม่มุมซ้ายก็มุมขวาอยู่ดี และเด็กที่เฝ้าไข้คงเห็นฉันในลักษณะหันซ้ายทีขวาทีอยู่กับเตียง น้องจึงเอ่ยถาม

                “คุณยายมีอะไรเรียกใช้ได้นะคะ”

                “ฉันเห็นเหมือนหัวคนผลุบๆ โผล่ๆ”

                “ห้องเฝ้าระวัง เฝ้าดูอาการก็อย่างนี้ล่ะค่ะ หนูชินแล้ว! เพราะถือว่าโตมากับโรงพยาบาลที่นี่ อ้อ พ่อของหนูทำงานเป็นช่างของโรงพยาบาลค่ะ”

                และฉันจึงถือโอกาสเล่าความฝันซ้ำสองให้เด็กผู้ช่วยที่เฝ้าไข้ฟัง

                “ทุกๆ อย่างนี้มันต้องมีแตกหัก มีการซ่อมแซมทั้งนั้นล่ะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเตียงผู้ป่วย ประตู หน้าต่าง โต๊ะ ตู้ ไปจนถึงเครื่องสุขภัณฑ์…ยิ่งห้องพิเศษด้วยยิ่งแล้ว ใช่ว่าอะไรจะใหม่ครบเครื่องหรอกนะคะ ยกตัวอย่างเช่น สิ่งของห้องนี้พัง เช่น บานประตู ก็ต้องหาบานที่สลับสับเปลี่ยนกันได้ คิดเสียว่าเขามาให้หวยคุณยายก็แล้วกันนะคะ ซื้อไปเลยค่ะ 552 บน-ล่าง 55 52 25 ส่วนเลขห้องก็ 106 บน-ล่าง ตัดเล่น 10 ก็ 01 60 06 เท่านี้ก็รวยได้แล้วนะคะ”

                เมื่อฉันถามว่า หนูมีที่เล่นให้ยายไหมล่ะ จะได้มีทุนไว้นอนโรงพยาบาล “แม่หนูเขียนเองค่ะยาย เดี๋ยวหนูจะไล่เรียงตัวเลขให้อีกครั้งนะคะ”

                “ดีเลยล่ะหนู ฉันจะได้ทำบุญอุทิศให้เขาสองคนแม่ลูกทันทีที่ออกโรงพยาบาล ในกรณีถ้าถูกตรงๆ เยอะๆ” ฉันตั้งข้อแม้ไว้นิดหน่อย เพราะไม่ใช่สัญญากับผีว่าจะให้โน่นให้นี่หลักหมื่น แต่ตัวเองถูกหวยแค่หลักพัน มันก็ไม่เข้าข่ายกัน หากบทสรุปของเย็นวันดังกล่าว ฉันซื้อหวยตัวละ 60 บาท หมดเงินไปเกือบ 1,200 บาท เอาชนิดที่เล่นแค่สองหางแต่ครอบคลุมจักรวาล

                กระทั่งเย็นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ฉันยังนอนป่วยอยู่ ได้ดูการถ่ายทอดสด ซึ่งเลขที่ฉันซื้อ 552 นั้นออก 3 ตัวล่างตรงๆ ช่วงนี้รับเงินไปรอบแรก 6,000 บาท เมื่อถึงช่วงเลขที่ออก 2 ตัวล่าง พอเจ้าหน้าที่หญิงถือคูปองเลขหลักสิบเอ่ย 0 ฉันนึกในใจ จะเป็นเลข 6 ที่เราซื้อไว้รึเปล่าหนอ? ใครจะมีโชคถูกได้ทั้ง 3 ตัว 2 ตัวล่ะ?

                เมื่อขานถึงหลักหน่วยเลข 6 ฉันเผลอตัวร้องเฮ! อยู่ตามลำพัง…ตกลงได้เงินมาอีก 3,600 บาท เบ็ดเสร็จงวดนี้ ฉันหักลบกลบหนี้แล้ว เหลือเงินต่อชีวิตค่าเฝ้าไข้อีก 8,000 กว่าบาท หากก็ไม่เคยลืมเรื่องที่ต้องทำบุญให้วิญญาณสองแม่ลูกที่ได้มาเข้าฝัน ฉันตั้งจิตอธิษฐานนึกถึงเขาสองตน อย่างไรเสีย ขอให้ฉันปลอดโรคปลอดภัย เมื่อออกโรงพยาบาลแล้วจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทันที

                “ขอให้ฉันหายวันหายคืน และอย่าได้มารบกวนทั้งยามหลับและยามตื่น”

                5 กุมภาพันธ์ 63 เป็นวันที่ฉันออกโรงพยาบาล โดยกำหนดออก เคลียร์นั่นเคลียร์นี่แล้วเสร็จ รถจากโรงพยาบาลมารับกลับก็ตกในช่วงไม่เกินบ่าย 3 โมงเย็น ซึ่งวันนี้ไม่มีเวรใครมาเฝ้าไข้ฉัน ฉันจึงตัดสินใจขอคุยกับคุณพยาบาลคนแรกที่ฉันเจอเมื่อเข้าแอดมิตที่ตึกนี้ และตัวของเธอเองก็ได้ถูกลอตเตอรี่เลขท้าย 2 ตัวจากเบอร์ห้องนี้ คือ x106

                “ตกลง ที่มาที่ไปของสองคนแม่ลูกที่คอยเฝ้ารบกวนฉันจนข้ามวันข้ามคืนนี้เธอเป็นใครกัน”

                ซึ่งได้คำตอบว่า “พูดตรงๆ ว่าที่ห้องนอนรอดูอาการ ห้องพิเศษจำนวน 10 ห้องนี้ เรื่องราวมันสลับซับซ้อนค่ะ แค่เริ่มต้นสร้างตึก วางโครงสร้างรากฐาน ก็มีคู่แม่ลูกตกหลุมตาย เป็นแรงงานพม่า ลูกคลานไปตกบ่อ แม่กระโดดลงไปช่วยแล้วขาดอากาศหายใจ ซึ่งรายนี้เถ้าแก่เขาดูแลลูกน้องดีมากค่ะ มาอีกคู่แม่ลูก คราวนี้เมื่อขึ้นโครงสร้างแล้ว เป็นเด็กผู้ชายอายุ 3 ขวบนั่งเล่นที่กองทราย และอยู่ข้างๆ รถของผู้รับเหมา ถอยหลังมาทับเด็กตายคาที่ตรงใต้ถุนไซต์งานเลย และแทนที่ผู้รับเหมาจะรับผิดชอบอะไรต่อมิอะไร เขาโยนเงินให้ 7,000 บาทให้ไปฝังเด็ก อ้อ รายนี้เป็นแรงงานกัมพูชา ซึ่งพอพ่อกับแม่รับเงินไปก่อนที่จะถูกไล่ออก คนเป็นแม่ถึงกับสาปแช่ง ขอให้มึงทำงานอะไรไม่สำเร็จ ชีวิตมีแต่ความฉิบหายวิบัติ ต่อมา…ไม่นานเลย ไม่พ้น 7 วัน เมียผู้รับเหมากับหลานชายก็ถูกรถชนตายที่หน้าโรงพยาบาล ห่างจากตึกที่เข้ามารับเหมาก่อสร้างเพียง 100 เมตรเท่านั้น แต่ทางโรงพยาบาลห้องฉุกเฉินกลับช่วยชีวิตไว้ไม่ทันกาล กระทั่งกว่าอาคารนี้จะแล้วเสร็จ…ก็กินชีวิตไป 10 กว่ารายเลย พูดตรงๆ ว่า ไม่ทราบจริงๆ ว่าผีตัวตนไหนมาหลอกคุณป้า ที่แน่ๆ ตัวหนูเมื่อถูกลอตเตอรี่ หนูไปทำบุญมาแล้ว อุทิศให้ทุกดวงวิญญาณที่อยู่ในตึก…ในส่วนของคุณป้าเองก็ทำบุญตามกำลังทรัพย์เถิดนะคะ มีเท่าไรควรทำเท่านั้น เพราะหากใจเราสบายเมื่อทำบุญ ผู้รับก็ได้รับไปเต็มๆ นะคะ อย่าว่าหนูนั้นชี้แนะเลยค่ะ”

                คุณพยาบาลกล่าวทิ้งท้ายในแง่คิดของการทำบุญ

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. architecturalafterlife.com, ghostsnghouls.com, www.istockphoto.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •