27 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                การกล่าวถึง “จอกวิเศษ” แม้ไม่ปรากฏชัดว่าศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือไม่นั้น ปรากฏครั้งแรกในนิยายวีรคติเรื่อง แปร์เซอวัล เลอกงต์ ดูกราล (Perceval, le Conte du Graal; “แปร์เซอวาลตำนานจอก”) ผลงานซึ่งเขียนไม่เสร็จของเครเตียง เดอ ทรัว (Chrétien de Troyes) ในราว ค.ศ. 1190

                ในเอกสารนี้ ภาชนะดังกล่าวเป็น “ถาด” (salver) สำหรับเชิญอาหารในงานเลี้ยง เอกสารของเครเตียงนำไปสู่การเล่าต่อ แปลความ และตีความอีกมากมายในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 จนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ในจำนวนนี้รวมถึงผลงานของวอลฟรัม ฟอน เอสเชนบัค (Wolfram von Eschenbach) ซึ่งเข้าใจไปว่า “จอก” เป็น “ศิลา” ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 นั้นเอง โรแบร์ เดอ โบรง (Robert de Boron) เขียนผลงานชื่อโยเซฟ ดา รีมาตี (Joseph d’Arimathie) ว่า จอกนี้เป็นภาชนะที่พระเยซูทรงใช้เสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้าย แล้วโยเซฟชาวอาริมาเธียใช้รองพระโลหิตของพระองค์ขณะทรงถูกตรึงกางเขน หลังจากนั้นเรื่องราวของจอกศักดิ์สิทธิ์ก็ผสมปนเปไปกับตำนานเรื่องถ้วยศักดิ์สิทธิ์ (Holy Chalice) อันเป็นภาชนะในพระกระยาหารมื้อสุดท้าย

                นักวิชาการสันนิษฐานว่า เครเตียงไม่ใช่คนแรกที่คิดค้นเรื่องจอกศักดิ์สิทธิ์ เพราะเนื้อเรื่องดูจะมีองค์ประกอบจากตำนานเรื่องหม้อกายสิทธิ์ในเทพปกรณัมเคลต์ประสมกับตำนานในศาสนาคริสต์ซึ่งเกี่ยวข้องกับพิธีมหาสนิท โดยเฉพาะตำนานเรื่องหลังนี้พบมากในแหล่งข้อมูลจากคริสตจักรตะวันออก และแม้กระทั่งในแหล่งข้อมูลจากเปอร์เซีย

                ตำนานความเชื่อในศาสนาคริสต์ จอกศักดิ์สิทธิ์เป็นจาน ชาม หรือถ้วย ซึ่งพระเยซูทรงใช้ในพระกระยาหารมื้อสุดท้าย เล่าว่ามีอำนาจวิเศษสถิตอยู่ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์ปรากฏในงานเขียนของโรเบิร์ต เดอ โบรอน เรื่อง Joseph d’Arimathie (ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12) โดยโยเซฟได้รับจอกมาจากพระเยซูหลังฟื้นคืนพระชนม์ และได้เดินทางพร้อมผู้ติดตามไปยังเกาะบริเตนใหญ่ จากโครงเรื่องนี้ งานเขียนในยุคต่อมาจึงต่อเติมว่า โยเซฟได้จัดเตรียมตระกูลผู้ภักดีเพื่อคอยพิทักษ์รักษาจอกเอาไว้ให้ปลอดภัย จอกศักดิ์สิทธิ์นับเป็นหัวใจสำคัญในตำนานกษัตริย์อาเธอร์ โดยปรากฏครั้งแรกในงานเขียนของเครเตียง เดอ ทรัวส์ ตำนานได้นำเอาเรื่องราวในความเชื่อของชาวคริสเตียนมาประสมกับตำนานเคลติก ว่าด้วยเรื่องอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์

                นอกจากนี้ยังมีตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์บางเรื่องเข้าไปเกี่ยวพันกับตำนานเหยือกศักดิ์สิทธิ์ (Holy Chalice) ด้วย บางตำนานได้เล่าว่า เมื่อใครได้ครอบครองจอกศักดิ์สิทธิ์แล้วจะมีอำนาจมาก และเมื่อใครได้ดื่มน้ำจากจอกศักดิ์สิทธิ์แล้วจะเป็นอมตะ แต่บางตำนานก็บอกว่าถ้าได้ดื่มน้ำจากจอกศักดิ์สิทธิ์แล้ว เมื่อมีโรคภัยไข้เจ็บหรือบาดเจ็บทางร่างกาย เช่น โดนธนูยิงใส่ เมื่อดื่มน้ำผ่านจอกนี้แล้วเอาน้ำนั้นมาราดลงบนแผล แผลนั้นก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง

                ตำนานจอกศักดิ์สิทธิ์แต่ละเรื่องมักจะมีการผูกเรื่องเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตำนานพระเจ้าอาเธอร์ เช่นในส่วน “การสวรรคตของพระเจ้าอาเธอร์” ซึ่งเรียบเรียงโดยโทมัส มาโลลี่ มีการรวมเอาเรื่องของเซอร์ลานเซลอต และโฮลี่เกรลเข้าด้วยกัน โดยกล่าวว่ากาลาฮัดซึ่งเป็นบุตรของลานเซลอตและเอเลน บุตรสาวของฟิชเชอร์คิงได้เดินทางไปค้นหาโฮลี่เกรลพร้อมกับอัศวินโต๊ะกลมคนอื่นๆ มีเพียงกาลาฮัดกับอัศวินอีก 2 คนที่ค้นพบโฮลี่เกรลได้ในขณะที่อัศวินคนอื่นล้มเหลวหรือถอนตัวไป ลานเซลอตสามารถไปถึงปราสาทแห่งจอกศักดิ์สิทธิ์ได้ก็จริง แต่เนื่องด้วยความผิดที่เขาเป็นชู้กับพระนางกวีเนเวีย ทันทีที่เขาเห็นโฮลี่เกรล เขาก็ล้มลงเสียชีวิตไป ฝ่ายกาลาฮัดก็ได้นำโฮลี่เกรลไปจนถึงแดนศักดิ์สิทธิ์และไปถึงสวรรค์

                ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นาซีเยอรมันพยายามตามหาพลังศักดิ์สิทธิ์จากสิ่งเหนือธรรมชาติที่จะทำให้นาซีครองโลก โดยเฉพาะฮิตเลอร์ และนาซีเยอรมันที่หมกมุ่นกับเรื่องการตามหาพลังงานเหนือธรรมชาติในโลก โดยเฉพาะจอกศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์ที่เชื่อมั่นว่ามีพลานุภาพสูงจนพอที่จะช่วยให้นาซีเยอรมันครองโลกได้

                มีหลักฐานมากมายว่า “ไฮนริค ฮิมเลอร์” เจ้าพ่อหน่วย SS ที่เป็นหน่วยสืบราชการลับของพวกนาซีได้รับการมอบหมายจากท่านผู้นำของเขาให้ส่งคนตามหาที่มาแห่งพลังดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังอำนาจที่มาจากพระเยซูคริสต์ตามที่พระคัมภีร์ฉบับเก่าได้รจนาเอาไว้ ในต้นเรื่องของกัปตันอเมริกา ที่เรดสกัล เจ้าพ่อหน่วยไฮดร้าบุกไปนอร์เวย์เพื่อตามหาหินศักดิ์สิทธิ์ในตำนานของแอสการ์ดนั้น ในประวัติศาสตร์จริงก็มี เพราะฮิตเลอร์และฮิมเลอร์วางแคมเปญให้กับหนุ่มๆ และเด็กๆ ในเยอรมันเชื่อว่า พวกเขาคือชาวนอร์ดิก อารยัน และสิ่งของที่เป็นของที่ควรสืบทอดในเผ่าของพวกเขา แต่ถูกพวกคริสเตียนแย่งเอาไปซ่อนไว้ตามที่ต่างๆ นั้นต้องถูกนำมาคืนในที่ที่เหมาะสม

                ตามประวัติศาสตร์นั้นมี 3 ภารกิจหลักที่ฮิตเลอร์ได้ตามหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับพระเยซู นั่นก็คือ “หีบศักดิ์สิทธิ์ที่จารึกบัญญัติ 10 ประการ” (The Ark of Covenant) อย่างที่สองก็คือ “หอกลองกินุส” (Spear Of Destiny) ซึ่งเป็นหอกที่ทหารโรมันแทงพระองค์ และอย่างที่สามก็คือ “จอกศักดิ์สิทธิ์” หรือ Holy Grail จอกน้ำที่พระเยซูใช้ดื่มในอาหารมื้อสุดท้าย

                ฮิตเลอร์มีความเชื่อในเรื่องของพลังเหนือธรรมชาติอยู่แล้ว เขาเชื่อว่าผู้ที่ได้ครอบครองพลังเหล่านั้นจะเป็นคนที่ถูกมอบหมายให้บริหารโลกนี้แต่เพียงผู้เดียว ฮิตเลอร์เชื่อในเรื่องเผ่าพันธุ์ เขามองว่าเผ่าอารยันที่มีผมสีทอง ตาสีฟ้า จะเป็นคนที่เข้ามาจัดการกับโลกนี้ให้ไปในเส้นทางที่ถูกต้อง ฮิตเลอร์และฮิมเลอร์ได้เสนอทฤษฎีที่ว่า ชาวเยอรมันนั้นมีต้นกำเนิดมาจากชาวแอตแลนติสที่เอาตัวรอดมาจากยุคน้ำแข็งได้สำเร็จ จนมาสร้างความเกรียงไกรได้ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นชาวอารยันจึงมีความสำคัญต่อโลกในทุกๆ ทาง ทั้งการวิทยาศาสตร์ ศาสนา การเอาตัวรอด และการสงคราม นั่นนำมาสู่ความเชื่อและการกระทำที่ต้องคัดกรองมนุษย์ให้เหลือแต่อารยันแท้ๆ ที่สำคัญ พวกยิวหรือเผ่าอื่นๆ ต้องตายหรือถูกกำจัดไป

                แต่กระนั้น ข้อมูลอะไรก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ที่ทำให้ฮิตเลอร์เชื่อว่าจาคอปส์ สาวกของพระคริสต์นั้นเป็นชาวอารยัน และความเชื่อนั้นก็วิ่งมาสู่เรื่องที่ว่าพระเยซูก็เป็นชาวอารยันเช่นเดียวกัน ทั้งๆ ที่พระองค์น่าจะเป็นชาวยิวมากกว่า ฮิตเลอร์อ่านพระคัมภีร์ฉบับเก่าแบบละเอียด แถมยังศึกษาเรื่องราวปรัมปราของอัศวินโต๊ะกลมและกษัตริย์อาเธอร์เสียด้วย อาเธอร์นั้นทำหน้าที่พิทักษ์จอกศักดิ์สิทธิ์และเผ่าอารยัน ฮิตเลอร์อุปมาอุปไมยตัวเองว่าเป็นอาเธอร์กลับมาเกิดใหม่ รอบๆ ตัวเขามีแต่พวกอารยันที่ควรจะเป็นผู้สืบทอดมรดกศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู แถมยังตีความใหม่และเชื่อว่าสิ่งที่เป็นมรดกศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่และมีอานุภาพไพศาลจนสามารถทำลายกองทัพของฝ่ายตรงข้ามได้เลย

                เขาตีความง่ายๆ กรณีของหีบศักดิ์สิทธิ์ว่า ถ้าได้ครอบครองมันและนำมันมาวางในแนวหน้าแล้วเปิดหีบออก มันก็จะส่งพลังออกไปทำลายกองทัพฝ่ายตรงข้าม ขณะที่กรณีของจอกศักดิ์สิทธิ์นั้น ฮิตเลอร์ก็เชื่อว่าถ้าได้มาแล้วใช้ใส่น้ำดื่ม มันจะทำให้เขากลายเป็นอมตะและไม่มีวันตาย มันจะทำให้ทหารนาซีเป็นกองทัพอมตะขึ้นมาด้วยเหมือนกัน

                ในสามสิ่งนี้ 2 เรื่องถูกฮอลลีวูดนำมาสร้างใน Raider Of The Lost Ark หรือ อินเดียน่า โจนส์ ภาค 1 ในปี 1981 และ The Last Crusade หรืออินเดียน่า โจนส์ ภาค 3 โดยที่นาซีไม่ประสบความสำเร็จในการครอบครอง แต่ประสบความสำเร็จในการค้นหา ซึ่งในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องบอกเราว่า คนที่ไม่เหมาะแก่การครอบครองส่วนใหญ่จะเป็นคนชั่วและโหดร้าย ซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะไม่ยอมเป็นเครื่องมือของพวกมันอย่างแน่นอน

                เพราะฉะนั้น เมื่อทหารนาซีทำพิธีเปิดหีบแห่งพันธะสัญญา อานุภาพในหีบก็พวยพุ่งออกมาเผาคนที่บังอาจมองมันอย่างน่าสยดสยอง เช่นเดียวกับการนำเอาจอกศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากวิหารของนักรบเพื่อพระเจ้าในภาค 3 ผลก็คือ ความศักดิ์สิทธิ์ไม่คงอยู่ วิหารก็ถล่มลงมาทับพวกนาซีตายไปอีก แต่ความเป็นจริงไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการถึงการค้นพบเรื่องที่ว่า

                ในหนังสือเล่มที่ว่าด้วยการตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์ที่น่าสนใจเล่มหนึ่งชื่อ The Desecrated Abbey ที่ตีพิมพ์ไปเมื่อปี 2007 นั้น บอกว่าไฮนริค ฮิมเลอร์ ส่งทหารนาซีเข้ามาที่สเปนที่วิหารมอนเซรัท (Monserrat Abbey)ใกล้ๆ บาร์เซโลน่าในปี 1940 โดยเบาะแสสำคัญที่ฮิมเลอร์เชื่อมาจากโอเปร่าเรื่อง พาร์ซิฟาล (Parsifal) ที่ “ริชาร์ด วากเนอร์” เขียนไว้เมื่ออดีต แต่ฮิมเลอร์คว้าน้ำเหลวเพราะในโบสถ์นั้นไม่มีใครรู้จักหรือรู้ว่ามีจอกศักดิ์สิทธิ์จริง เขาออกมาจากสเปนด้วยมือเปล่า และเกิดทฤษฎีใหม่ว่ามันน่าจะอยู่ใน Montségur ประเทศฝรั่งเศสแทน

                แต่ฮิมเลอร์ก็ไม่ยอมแพ้ เขาส่งออตโต้ ราห์น นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันซึ่งศึกษาเรื่องราวของจอกศักดิ์สิทธิ์ เดินทางไปตามหาทั่วยุโรป เลยไปยังตะวันออกกลางและแอฟริกาจนถึงเอธิโอเปีย และใช้เวลานานในอิหร่าน รวมถึงปราสาทคาธาร์ในพีเรนีส จนกระทั่งสงครามโลกจบลง ออตโต้ ราห์นก็ยังหาไม่เจอ

                แต่ข้อถกเถียงในเรื่องนี้ก็ยังมีว่า แท้ที่จริงแล้วมรดกศักดิ์สิทธิ์ที่ฮิตเลอร์ตามหานั้นอาจจะไม่มีประโยชน์อะไรต่อการสงครามของนาซีเลย เพราะว่าหนึ่งในของศักดิ์สิทธิ์ที่ฮิตเลอร์ต้องการนั้น เขาได้ครอบครองจริงๆ นั่นคือ หอกลองกินุส ที่ได้ดื่มเลือดของพระเยซูขณะที่ถูกตรึงกางเขน

                ทว่าหลังครอบครองหอกได้ 7 ปี เยอรมันก็พ่ายแพ้สงคราม ฮิตเลอร์ฆ่าตัวตายพร้อมอีวา บราวน์ หอกโดนยึดโดยกองทัพที่ 7 ของสหรัฐฯ และในเวลาต่อมามันก็ถูกส่งคืนกลับไปยังเวียนนา…สิ่งนี้เป็นข้อที่ฝั่งหนึ่งโต้แย้งว่า จริงๆ มันอาจจะไม่มีพลังอะไรเลยในเรื่องราวของมรดกศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู

/

เรื่องโดย. ทิวากร สุวพานิช

ภาพโดย. en.wikipedia.org, www.worldhistory.org, commons.wikimedia.org, alanconrow.com, wallpapercave.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •