3 พฤษภาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

            เรื่องราวแปลกๆ ในช่วงที่โควิดระบาดละแวกบ้านผู้เขียนนั้นมีเรื่องแปลกๆ และเรื่องผีๆ มากมาย แต่น่าเสียดายที่ในระยะนี้ผู้คนไม่เป็นอันทำอะไร เพราะมีแต่ความหวาดกลัวในการจะใช้ชีวิตประจำวันเหลือเกิน ไม่กล้าออกไปไหน ไม่ทำอะไรทั้งนั้น หมกตัวกันอยู่แต่ในบ้านตามคำเตือนและร้องขอของรัฐบาล

            ซึ่งในระยะนี้ ผู้เขียนเองก็ไม่ได้ไปไหน พี่ๆ และเพื่อนแถวบ้านที่คบหากันมานานต่างก็แยกย้ายจากลากันไปหมด บางคนก็เสียไปแล้ว บางคนก็ย้ายบ้าน ย้ายถิ่นฐานกระจัดกระจาย รวมตัวกันไม่ได้อีก อดีตแห่งความสนุกสนานและการผจญภัยเล็กๆ น้อยๆ กับพรรคพวกเพื่อนพ้องในช่วงเวลาหนึ่งกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ระลึกถึงแล้วมีความสุขเท่านั้น

            แต่ทว่าในวันนี้ ช่วงนี้ เหลือเพียงผมกับนายปูเพียงสองคน ที่จริงมีพี่เล็กอีกคนหนึ่ง แต่ตั้งแต่พี่แป้นเสียไป พี่เล็กก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน เวลานี้แกก็ด้วยเรื่องโควิด 19 กับการเดินทางที่ต้องกักตัว 14 วันอยู่ที่เชียงใหม่ ยังลงมาไม่ได้สักที ดังนั้นในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ก็เลยเหลือเพียงผมและนายปูสองคนเท่านั้นเองที่ยังรักการผจญภัยกันอยู่ และบ่ายวันนี้เอง ผมพบนายปูอีกครั้ง เขามาหาผมที่บ้าน มาพร้อมกับเอาต้นกระบองเพชรที่เขาเลี้ยงขายมาให้สองกระถาง พร้อมกับเรื่องแปลกที่เขาเพิ่งได้ยินมาจากผู้คนแถวทางรถไฟสามเสนไม่นานนี้เอง

            เขาบอกกับผมว่า “เนี่ยพี่มด ปูเพิ่งได้ยินมาเลย ตอนไปซื้อกับข้าวที่ทางรถไฟกับโย” เขาหมายถึงแฟนเขา “โยเองก็ไปซักถามเค้าด้วย ได้เรื่องแปลกๆ มานะพี่”

            “เรื่องอะไรวะ?” ผมเองก็อดไม่ได้ที่จะถามเค้า เพราะใจหนึ่งก็อยากรู้เรื่องแปลกๆ ที่เขาว่า

            “พี่มดจะเชื่อรึเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่ปูกับโยได้ยินมาอย่างนี้” แล้วเขาก็เล่าเรื่องแปลกๆ นั้นว่า “ปูไปถามเรื่องที่เค้าลือกันว่าเห็นอะไรแปลกๆ พวกนั้นเขาเล่าให้ปูฟังเลยนะพี่ เขาว่าวันก่อนที่ท้ายสวนหลังทางรถไฟ ตรงที่เป็นที่รกร้างเพราะรื้อถอนตึกที่เคยเป็นร้านสัตวแพทย์ไปแล้ว พี่นึกออกมั้ย เลยร้านรถเสบียงไปน่ะ” ผมพยายามนึกตาม ก็นึกออกถึงบ้านร้างหลังหนึ่ง บ้านร้างหลังนี้ สมัยที่พวกพี่ๆ ยังอยู่กันครบเมื่อสิบกว่าปีมานี้ บ้านหลังนี้ยังไม่ร้าง และครั้งหนึ่งพี่อ้อมเคยพาพวกเราเข้าไปพิสูจน์ผีและถูกหลอกมาแล้วด้วย

            แต่จากนั้น เจ้าของก็อยู่ไม่ได้เพราะผีดุมาก หลวงตาบัวท่านเคยไปทำพิธีกำราบมาคราวหนึ่ง แต่ไม่นานท่านก็มรณภาพไป ผีพวกนั้นก็เลยกลับมาอาละวาดอีก คราวนี้ไม่มีใครปราบแล้ว

ไม่นานเจ้าของเค้าก็ขายบ้านทิ้ง เพราะผีดุมากเกินจะปราบไหว ขายไปแล้วบ้านนั้นก็ไม่มีคนมาซื้อต่อ เพราะข่าวเรื่องผีดุขจรขจายไปทั่ว ใครๆ ก็รู้กัน เลยไม่มีคนกล้ามาซื้อต่อ สุดท้ายมันก็ทรุดโทรมผุพังไปหมด จนคราวหนึ่งมีพวกลักลอบขนยาเข้ามาทำการในบ้านนั้น ก็ถูกปราบไป มีคนร้ายคนหนึ่งถูกวิสามัญฯ ที่นั่นด้วย

            คราวนี้ข่าวลือเรื่องผีดุก็ยิ่งลือกันไปทั่ว และตั้งแต่นั้นก็ไม่มีใครกล้ามาเช่าบ้านร้างหลังนี้อีกเลย มันพังลงในวันหนึ่งเพราะปลวก และเคยเกิดเพลิงไหม้แต่ช่วยกันดับทัน ตั้งแต่นั้น ทางการก็เข้ามารื้อบ้านให้ราบลง และไม่มีใครกล้าเข้าไปยังที่รกร้างแห่งนั้นอีกเลย เพราะใครขืนผลีผลามเข้าไป ก็ถูกผีหลอกกลับออกมาทุกครั้ง แต่มาในคราวนี้ นายปูมาบอกว่าที่รกร้างตรงนั้นมีผีกระสือ เพราะมีคนเห็นลูกไฟลอยออกมาหลายครั้ง นอกจากนั้นลูกไฟที่ว่าก็มีหน้าตาท่าทางเป็นผีกระสือ มีหัวกับไส้ลอยไปลอยมา

            คนที่เป็นผีกระสือนั้น เค้าลือกันว่าเป็นผู้หญิงที่ทำงานกลางคืนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้น ไปไหนมาไหนเธอจะใส่แว่นดำตลอด แต่งตัวเฟี้ยวและมีใบหน้าที่สวยคมมาก ผมถามเค้าว่าทำไมถึงเป็นผู้หญิงคนนี้ที่จะต้องเป็นผีกระสือด้วย…นายปูบอกว่า เพราะมีคนเห็นผีกระสือตัวนี้มีใบหน้าที่เหมือนกับผู้หญิงคนนั้น คนเค้าก็เลยลือกันว่าเธอเป็นผีกระสือ แต่เธอก็ออกไปทำงานและใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาๆ ออกไปตากแดด และเดินตามท้องถนนเหมือนคนปกติ ไม่ได้หลบสายตากลัวคนอย่างที่คนเป็นผีกระสือจะเป็นเลย

            ดังนั้น คนก็ได้แต่ตั้งข้อสงสัยกัน แต่ไม่มีหลักฐานอะไรจะไปพิสูจน์ว่าเธอเป็นผีกระสือ อีกอย่างเธอทำงานกลางคืนที่อาบอบนวดแห่งหนึ่งแถวรัชดาฯ มีคนเคยไปเจอเธอบ่อยๆ มันก็เลยทำให้เรื่องที่เธอเป็นผีกระสือตกไป แต่กระนั้น พวกที่กลัวอย่างงมงายและเชื่ออย่างหัวปักหัวปำก็ยังคงฟันธงลงไปว่าเธอเป็นผีกระสือ ทั้งที่เธออาจจะไม่ได้เป็นก็ได้

            นายปูเลยถามผมว่า…ตอนนี้เหลือแค่เราอยู่สองคน พี่เล็กก็ไม่อยู่ด้วย พี่มดสนใจจะไปพิสูจน์เรื่องนี้ด้วยกันมั้ย ผมเองเป็นคนที่ขี้สงสัยอยู่แล้ว และเชื่อว่าเรื่องนี้อาจจะมีคนปรักปรำเธอว่าเป็นผีกระสือ ดังนั้นการสืบเสาะและหาว่าใครเป็นกระสือหรือไม่ได้เป็น จึงตกเป็นหน้าที่ของเราสองคน”

            “เอ้า ไปก็ได้ ยังไงถ้าพบอะไรไม่ชอบมาพากลค่อยเผ่นก็แล้วกัน เอายังไงดี คืนนี้กี่โมง?” ผมถามนายปู และพยายามนัดกันให้เป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะอย่างไรคืนนี้ก็มีแค่ผมกับเค้าเท่านั้นเอง เมื่อตกลงเวลากันได้แล้ว ผมก็เข้ามาทำธุระส่วนตัว

            ทุ่มครึ่ง นายปูก็มาเรียกผม ผมหาผ้าปิดปากมาสวมสองชั้น แล้วเราก็ออกไปที่ทางรถไฟสามเสนด้วยกัน เราออกไปทางท้ายซอย เดินไปในเส้นทางไปซอยมิตรอนันต์ เราพากันเดินผ่านบ้านเรือนและตรงดิ่งไปยังปากซอย กะว่าจะทำให้จบก่อนสามทุ่ม เพราะเดี๋ยวจะเคอร์ฟิว เราจะเข้าบ้านไม่ทัน

            คิดได้อย่างนั้นเราก็รีบเดินจ้ำอ้าวมาจนถึงหน้าปากตรอก มองซ้ายมองขวา ไม่มีรถ ดีแล้ว  และคนก็ไม่พลุกพล่าน ช่วยให้ทำอะไรได้ง่ายขึ้นมาก เราตรงไปยังบ้านร้างที่ว่างหลังนั้น เราหาทำเลดีได้ คือมันมีแคร่ไม้ไผ่อยู่ นายปูล้วงหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าที่สะพายอยู่ มันคือมุ้งไนล่อนพับได้ เค้าเอามากางออกแล้วชวนผมเข้าไปในนั้นกันยุงกัด เค้าเอามุ้งขึ้นมากางบนแคร่ มุ้งไนล่อนแบบเก็บได้นั้น พอแกะแล้วก็กางออก เค้าแบกมันขึ้นไปบนแคร่แล้วให้เราสองคนเข้าไปนั่งในนั้น

            หญ้าที่สูงท่วมหัว หากมองมาจากนอกถนนไม่มีทางมองเห็น เพราะทั้งมืดทั้งรก ตกลงเราแก้ปัญหาไปได้เปลาะหนึ่ง จากนั้นก็นั่งรอเวลา

            เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ปกติตอนนี้ยังไม่ถึงสองทุ่มดี แต่ทว่าระยะนี้มันเงียบมาก ไม่มีใครออกจากบ้าน คนก็ไม่กล้าออกมาเดิน รถราก็ไม่มีวิ่ง ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุให้ความเงียบเข้าครอบงำ มันหลอนมากจริงๆ ปกติหัวค่ำแบบนี้ อย่างน้อยก็มีคนกลับบ้านกันตรึม สถานีรถไฟคนแออัดกันแน่น ถนนหนทางเต็มไปด้วยรถรามากมาย แต่ในวันนี้ทุกอย่างกลับตาลปัตร ในถนนและบนทางเดินเท้าไม่มีคนแม้แต่คนเดียว อย่าว่าแต่คนเลย แม้สุนัขหรือแมวสักตัวก็ไม่มี เรานั่งรอกันเพียงชั่วอึดใจ อะไรบางอย่างก็ปรากฏขึ้น

            อะไรบางอย่างที่ว่านั้น ผมและนายปูเห็นเป็นลุกไฟสีออกส้มลอยขึ้นมาจากดงหญ้ารกๆ แถวที่มีน้ำคลำในท้องร่องนั่นแหละ ลูกไฟนั้นสว่างวูบๆ และเริ่มลอยตัวสูงขึ้น “พี่มดดูนั่น มันลอยมาทางนี้แล้ว” นายปูบอกผม ผมเองหันไปมองก็เห็นลูกไฟที่ว่านั้นพอดี มันเป็นดวงไฟสีส้มขนาดใหญ่ที่มีอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน มันลอยมาทางนี้โดยไม่รู้ว่าตรงนี้มีผมกับนายปูนั่งแอบดูอยู่ มันลอยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงขนาดที่เราพอจะมองเห็นภายในดวงไฟสีส้มนั้นได้

            ในดวงไฟสีส้มนั้นมีอะไรบางอย่างอยู่ด้วย รูปร่างมันเป็นหัวคนและมีตับไตไส้พุงติดมา ทุกอย่างห้อยร่องแร่งทีเดียว ส่วนหัวมันหันมองรอบๆ ผมก็เห็นจริงว่าใบหน้าในดวงไฟนั้นเป็นใบหน้าของผู้หญิงที่หน้าตาสะสวย แต่ทว่ามีแค่ดวงตาเท่านั้นที่ไม่เหมือนคนธรรมดา มันดูแปลกและประหลาดมาก เพราะดวงตาดูเล็กกว่าปกติเหลือเกิน

            นายปูกับผมสะดุ้งเฮือก เพราะเราต่างจดจำใบหน้าในดวงไฟได้ จริงแท้แน่แล้ว เพราะใบหน้านั้นเรารู้จักดี มันคือใบหน้าของสาวที่ทำงานกลางคืนที่อาบอบนวดคนนั้นนั่นเอง แต่แล้วแสงไฟสว่างวูบวาบก็ห่างไกลออกไป โดยไม่รู้ว่าตรงนี้มีเราสองคนซุ่มซ่อนตัวอยู่ หน้านั้นทำเอาเราสองคนหลอนมากๆ ผมคิดว่าถ้ามีพี่เล็กอยู่ตอนนี้อีกคนคงจะช่วยเราได้มากทีเดียว

            พอดวงไฟหน้าคนลับสายตาไป ผมกับนายปูก็ย่องออกมาจากมุ้งไนล่อนแล้วจรดปลายเท้าย่องไปดูตามหลังว่ามันลอยไปที่ไหน แล้วก็พบว่ามันลอยหายไปทางสวนที่มีน้ำเฉอะแฉะและออกจะสกปรก ผมดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เวลานี้จวนจะสามทุ่มเต็มที ผมเลยชวนนายปูกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน เพราะเกินสามทุ่มเราอาจจะถูกจับได้ พอนายปูเก็บมุ้งไนล่อนลงเป้แล้วเราก็วิ่งตื๋อข้ามถนนไปยังซอยมิตรอนันต์ทันที

            ตลอดทางนายปูกับผมพูดอะไรไม่ออกบอกอะไรไม่ถูก มันขมไปทั้งปาก เราหวาดแต่ไม่ถึงกับหวั่น ไม่เสียอาการ และยังพอประคองตัวกลับบ้านกันได้ ถึงจะไม่ตื่นเต้นตกใจจนเกินเหตุ แต่ก็ไม่อยากเจอหรือพบพานอะไรแบบนี้อีก ไม่นานเราก็มาถึงบ้านแล้วต่างแยกย้ายกัน คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยจะหลับเพราะภาพผีกระสือที่มีใบหน้าเป็นหญิงสาวสวยนั้น ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

            ดึกดื่นคืนนั้น เราได้ยินเสียงคนร้องกรี๊ด…ด…ด…ด ดังแว่วๆ มาแต่ไกล หรือว่าผีกระสือมันไปทำอะไรคนแถวนั้นเข้าแล้ว เรื่องนี้ตรงตามที่ทุกคนที่เจอเล่าเอาไว้ไม่ผิดทีเดียว…

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้

เรื่องโดย. จุติ จันทร์คณา

ภาพโดย. จุติ จันทร์คณา, www.reddit.com, store.steampowered.com, www.flickr.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •