1 พฤษภาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ฉันมีพี่น้อง 3 คน แม่ไม่ได้ทำงานประจำ แต่บางทีก็รับมาทำที่บ้าน งานหลักของแม่คือแม่บ้านเลี้ยงลูก พ่อทำงานรับจ้างทั่วไป พี่ชายคนโตชื่อสิงห์ ฉันคนกลาง น้องชายคนเล็กอายุอ่อนกว่าฉัน 3 ปี เป็นออทิสติกเกี่ยวกับการสื่อสารช้า ตอน 3 ขวบยังพูดไม่ได้ กว่าจะพูดคำว่าแม่ได้ น้องก็อายุ 5-6 ปีแล้ว

                บ้านของปู่ย่ายกพื้นสูง ด้านข้างพอมีเนื้อที่กว้างจึงต่อเติมสร้างบ้านหลังเล็กๆ ชั้นเดียว เป็นชุมชนขนาดกลางตั้งมานานแล้ว รั้วบ้านจึงติดๆ กัน ใช้สังกะสีเป็นเขตกั้น ปกติพี่ชายจะนอนกับยายที่ใต้ถุน ส่วนฉันกับน้องชายจะนอนรวมกับพ่อแม่

                หลังเลิกเรียนต้องเรียนพิเศษที่ซอยครูมา ที่อยู่ถัดจากบ้านไป 3 ซอย เด็กๆ จะมาเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติม เพราะส่วนใหญ่ครูที่สอนในห้องเรียนจะสอนไม่หมด กั๊กเก็บไว้ไปสอนพิเศษให้กับนักเรียนที่มาเรียนเพิ่ม

                ค่าเรียนนั้นไม่แพง แต่ก็ไม่ถูก ข้าวของถูกกว่าสมัยนี้หลายสิบเท่า ฉันนั่งเรียนวันละชั่วโมง ครูมาสอนดีมาก ใส่ใจจริงๆ เรียกว่าได้ความรู้คุ้มเกินค่าเงินที่จ่าย

                ฉันกับพี่มักแวะกินน้ำแข็งไสก่อนเข้าบ้าน วันหนึ่งขณะนั่งกินขนมอยู่ พี่นิดคนขายได้คุยกับลูกค้าคนหนึ่ง ฉันกับพี่ที่นั่งใกล้ๆ จึงได้ยินถนัด

                “ต้องมีคนที่บ้านป้าเนียนเป็นผีกระสือแน่ๆ เห็นแสงไฟมันออกมา และหายเข้าไปที่บ้านแก” เขาบอกว่า เป็นคนไปดักเฝ้าผีว่ามันจะกลับไปทางใด เพียงแต่ยังหาหลักฐานไม่ได้…

                “ผีมันก็อยู่ส่วนผี พี่สังข์จะไปเดือดร้อนทำไมกัน” พี่เรียกชื่อชายคนนั้นว่าสังข์ คงรู้จักกันเป็นอย่างดี พอได้ยินชื่อจึงหันไปดูหน้าแกหน่อย เพราะคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไรนัก ลือกันว่าเป็นนักเลงหัวไม้ ถ้าไม่ทะเลาะกับญาติพี่น้องก็ทะเลาะกับคนอื่น ตอนนี้มาหาเรื่องผีแทนอีก

                จากนั้นรีบกลับบ้านไปเล่าเรื่องผีกระสือบ้านยายเนียนให้พ่อกับแม่ฟัง พ่อบอกเคยดักจับกระสือได้หลายปีก่อน ไม่รู้จะตัวเดียวกันหรือไม่

                ตอนค่ำพ่อเอาผ้าถุงเก่าๆ ของแม่มาตากที่ราวข้างรั้ว ที่ติดกับรั้วบ้านยายเนียน ฉันยืนมองและยังไม่ทันอ้าปากพูดอะไร พ่อยิ้ม แล้วยกนิ้วแตะริมฝีปากทำท่าจุ๊ๆ ไม่ให้ส่งเสียง พ่อกระซิบเบาๆ ว่า “เดี๋ยวผีมันได้ยิน รอก่อน คราวนี้จะได้รู้ว่าใครเป็นกระสือตัวจริง” พ่อดีใจอย่างน่าประหลาด

                พอเข้าบ้าน พ่อรู้ว่าฉันเป็นคนขี้สงสัยช่างถาม จึงบอกให้ฟังก่อนจะถูกซักไซ้เกี่ยวกับผ้าที่ตากนั้น คนไม่ค่อยตากผ้ากลางคืนแล้ว เพราะไม่มีแดด ผ้าจะเป็นรา

                ส่วนผ้าที่มันเช็ดปากเป็นผ้าซิ่นที่ถือเป็นของต่ำ อีกอย่างผ้าที่ตากผืนนั้นมีกลิ่นชวนให้มันมาเช็ดปากอีกด้วย ฉันจึงเข้าใจ และคิดว่านี่คือเหตุที่พ่อดีใจ

                เรื่องกระสือคนแถวบ้านยังพูดถึง แต่ไม่กล้าปักใจว่าเป็นยายเนียนหรือหลานสาวที่ทำตัวแปลกๆ ไม่ค่อยคบหาพูดคุยกับใครสักเท่าใด คนเก่าแก่จะรู้ว่ายายเนียนเป็นเศรษฐี มาอยู่กับหลานสาวเพียงสองคน เป็นคนพูดน้อย มิตรสหายไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเอาเสียเลย

                แต่แกชอบทำบุญตอนเช้ามืด จะรอตักบาตรพระที่หน้าบ้านทุกวันโกน วันพระ ถ้ามีคนแจกซองบุญ แกก็จะใส่เงินร่วมทุกครั้ง เมื่อเป็นอย่างนี้ชาวบ้านจึงไม่เชื่อคนปล่อยข่าวผีกระสือยายเนียนสักเท่าไร

                พ่อต้องไปทำงานตั้งแต่เช้า อาจค้างคืนที่ทำงานด้วย ฉันอยากรู้เรื่องผีกระสือเช็ดปากจึงไปดูที่ราวตากผ้าว่ามันมีความเปลี่ยนแปลงอะไรหรือเปล่า ไม่เห็นรอยปากของผีกระสือเลยจึงถามแม่ว่ารู้เรื่องพ่อดักจับกระสือบ้างไหม แม่กำลังพับผ้าก็เงยหน้าขึ้นตอบ

                “จะไปเชื่ออะไรกับพ่อเจ้า หือ…คราวก่อนก็บอกผีกระสือให้ทองก้อนมา ผีมันจะพกทองมาด้วยทำไมลูก พอขอดูก็ไม่มี บอกว่าให้ไอ้สังข์เอาไปขายแบ่งเงินกัน” พ่อรู้จักกับนักเลงชื่อสังข์ด้วย…ฉันเปรย

                “สมัยพ่อเป็นวัยรุ่นโน่น…ตอนนี้มีลูกสามคน ไม่ได้เกเรอีกแล้ว ขยันทำงานหาเงินแต่ก็ยังไม่พอ…” (หยุดชะงัก ได้ยินเสียงข้างรั้ว)

                จู่ๆ ยายเนียนก็โผล่หัวมาที่รั้ว ฉันกับแม่ตกใจ อุทานพร้อมกัน รั้วไม่สูงมาก ถ้ายืนบนเก้าอี้นั่งซักผ้าก็พอเห็นทั้งหัว ยื่นถุงในมือบอกเอาไปให้ลูกกิน

                “ฉันเพิ่งไปวัดกลับมา พระให้ขนมมาเยอะ ที่บ้านไม่มีคนกิน ยกให้เด็กๆ กินดีกว่า” แกพูดไม่สบตาแม่กับฉันเลย พอพูดเสร็จก็ไป แต่ฉันเห็นแกมองไปที่ราวตากผ้าซิ่น ทำจมูกฟึดๆ แปลกๆ

                ในถุงเป็นพวกขนมที่คนมักใส่บาตรพระ แกคงไปวัดมาจริงๆ แล้วอย่างนี้แกจะเป็นผีได้ยังไงกัน?

                แม่มักสอนว่า อย่าไปเชื่อเรื่องที่เขาพูดกัน แล้วไปด่าทับถมตามเขา เพราะเราไม่เห็นกับตาจะบาปปาก เพราะไม่รู้เรื่องจริงที่เขาต้องเผชิญมากับตัวหรอก มันมีหลายปัจจัยจึงไม่ควรตัดสินตามคนอื่น

                ฉันยื่นถุงขนมให้พี่ชาย บอกยายเนียนข้างบ้านให้มากิน พี่ชายก็ทำหน้ากลัวว่า ถ้ากินแล้วจะเป็นกระหัง ถ้าฉันกินก็จะกลายเป็นทายาทผีกระสือ พวกเราไม่กล้ากินจึงเอาขนมไปแจกเด็กๆ ข้างนอกแทน

                คืนนี้พ่อยังไม่กลับบ้าน แต่ก่อนพ่อไปได้สั่งฉันกับพี่ชายว่า ถ้ามีรอยปากติดที่ผ้าซิ่น อย่าเอาไปซัก เอาเก็บไว้ก่อนรอพ่อกลับมา พวกเราก็รับปาก…

                คืนนี้ผีกระสืออาจมาก็ได้ เราสองคนคิดประสาเด็กๆ แล้วกระสือมันก็มาจริง พวกเราหลับไม่รู้เรื่อง…แม่ปลุกแต่เช้า เตือนลูกๆ ว่าวันนี้โรงเรียนมีงานไหว้ครู ฉันจึงรีบอาบน้ำแต่งตัวออกไปแต่เช้า โดยลืมเรื่องผ้าซิ่นเสียสนิท

                วันนี้งดเรียนพิเศษจึงกลับมาเร็ว ไปดูที่ราวก็ไม่เห็นผ้าที่ตากไว้ จึงถามแม่ว่าผ้าซิ่นของพ่อหายไปไหน แม่ก็ว่าทิ้งไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่าผ้ามันสกปรกเหม็น เพราะตากค้างวันค้างคืน ทำไมผ้าถึงสกปรกได้ล่ะ? ถึงถามว่าแม่ทิ้งไว้ที่ไหน ฉันร้อนรน เหมือนไม่ช่วยพ่อทำหน้าที่เฝ้าผ้า

                แม่ได้ชี้ไปที่ถังใส่ขยะข้างบันได ฉันเข้าไปดูเห็นบนผ้ามีรอยดวงๆ เหม็นมากลักษณะเหมือนปากคน จึงเก็บใส่ถุงพลาสติกแขวนไว้ข้างๆ ถังขยะ บ่นเบาๆ ว่า “ของพ่อเขา อย่าเอาไปทิ้งอีกนะ” แม่ทำเป็นนิ่งเฉย

                แล้วจู่ๆ หลานสาวยายเนียนเดินเข้ามาถึงลานบ้านที่พวกเรานั่งเล่น พอดีฉันอยู่ใกล้ทางเข้า ในมือหิ้วตะกร้าใส่ผัก บอกเก็บมาจากสวนที่บ้านกินไม่ทัน มีทั้งผักบุ้ง ผักกาดขาว ต้นหอมผักชี ผักพื้นบ้าน หันมาทางฉันยื่นตะกร้ามาให้ แต่ฉันไม่รับ แม่จึงลุกมารับแทน ขอบอกขอบใจตามมารยาท

                หลานสาวยายเนียนชื่อน้อย น่าจะมีอายุพอๆ กับแม่ แล้วถามเรื่องอะไรที่แปลกๆ

                “พี่หญิงไม่ได้ตากผ้าซักผ้าหรือจ๊ะ” แม่บอกปัดไปว่า “วันนี้ไม่ได้ซักผ้าหรอก” แล้วหันมาที่ถังขยะและถุงที่ฉันแขวนไว้ ยิ้มแหะๆ แล้วขอตัวกลับบ้าน

                คืนนั้นแม่บอกรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ตอนดึกกำลังหลับกันอยู่ ได้ยินเสียงกุกกักๆ ดังอยู่นอกบ้าน เสียงเหมือนมีตัวอะไรมาคุ้ยที่ถังขยะ

                แม่หยิบไม้คมแฝก ถ้าเป็นขโมยหัวแตกแน่ แม่ไม่เคยกลัวอะไร ผู้ชายบางคนยังต้องเกรงใจแม่ด้วย ตอนแม่เปิดประตู เหมือนมีคนอยู่ข้างนอก อาจได้ยินเสียงประตูเปิด รู้ตัวก่อนจึงหายไปทันที พอมองไปที่ถังใส่ขยะมันถูกรื้อค้นจริงๆ ด้วย

                แม่ไม่พูดอะไร บอกให้เข้านอน เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าพ่อกลับมาค่อยว่ากัน ฉันกระซิบกับพี่ว่าต้องเป็นผีกระสือแน่ๆ มันต้องมาหาผ้าซิ่นที่เช็ดปากไว้ แต่พอดีฉันฉลาด เอาถุงผ้ามาซ่อนไว้ในห้อง มันเลยหาไม่เจอ พี่ชายจึงหัวเราะบอกเออ ฉลาดๆ เราจึงหลับต่อ โชคดีพรุ่งนี้วันหยุดจึงตื่นสายกันได้

                ตอนเย็นๆ …พ่อกลับมาบ้าน ซื้อของกินมาเยอะเลย เราเล่าเรื่องผ้าถุงที่ตากแล้วหยิบถุงใส่ผ้ามาให้พ่อดู พ่อเปิดออกก็ยิ้มบอกว่า “ใช่แล้วลูก นี่แหละผีมันเช็ดปากไว้”

                แม่ก็เล่าเรื่องเมื่อคืนให้พ่อฟังอีกว่าเหมือนมีตัวอะไรเข้ามารื้อค้นขยะในถัง ทั้งที่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย

                แล้วนางน้อยหลานยายเนียนก็มาทักอีก เอาผักมาให้ตะกร้าหนึ่ง แบบรู้จักมานาน ไม่เห็นเคยมีน้ำใจหรือแม้จะยิ้มทักให้ด้วยซ้ำ พ่อจึงถามแม่ว่าแล้วผักอยู่ไหน แม่ว่าใส่กะละมังอยู่ข้างตุ่ม

                พ่อก็ว่าเออดี…อย่าไปกิน ตอนเช้าพ่อจะทำอะไรให้ดู ตอนสายๆ พ่อเอากระทะมาตั้งน้ำร้อนเดือดๆ จากนั้นเอาผ้าที่ผีกระสือเช็ดปากไว้ใส่ลงไปต้มในกระทะน้ำร้อนเดือดปุดๆ

                วันนี้แม่ไปฝั่งธนกับยายจึงเหลือกันแค่สี่คน คือพ่อกับลูกๆ ทั้งสาม ฉันเล่นกับน้องไป ชะเง้อคอมองว่าจะเกิดอะไรขึ้น

                เมื่อผ่านไป 15 นาที นางน้อยหลานยายเนียนก็เกาะรั้วจากฝั่งบ้านตัวเอง แล้วชะโงกหน้ามาถามว่าทำอะไร พ่อไม่ตอบ นางน้อยจ้องมองไปที่กระทะเห็นน้ำร้อนกำลังเดือด มีผ้าถูกต้มผืนหนึ่ง จึงทำหน้าขึงขังและหายเข้าบ้านไป

                พ่อบอกให้ลูกๆ ทุกคนนั่งในชายคา ห้ามออกมาด้านนอก

                สักพักเหมือนยายเนียนกับหลานกำลังเข้าบ้านเรามา ฉันกับพี่จึงเข้าไปหลบอยู่ในห้อง แอบดูทางหน้าต่างกัน

                พ่อยังคงต้มผ้าต่อไปและใส่ดุ้นฟืนให้ไฟร้อนมากยิ่งขึ้น พอยิ่งร้อนเหมือนยายเนียนจะชัก แกใช้ผ้าขาวม้าคลุมหัวพาดชายมาปิดปากตัวเอง แกถามพ่อว่า “พ่อสิน ผ้าผืนนั้นขายให้ข้าได้ไหม” แกเรียกชื่อพ่อ

                พูดแล้วแกก็หยิบถุงผ้ามีเชือกดึงผูกเป็นหูรูดส่งให้พ่อทั้งถุง พ่อมองหน้าแกแต่แกก้มหน้างุดๆ พ่อรับมาแล้วเปิดถุงออกดู ดูเสร็จก็รูดปิด ทีนี้โยนถุงเบาๆ แบบกะน้ำหนักว่าหนักสักเท่าไร และอมยิ้มก่อนบอก “เอาสิ เอาไปเลย…”

                ยายเนียนสั่งให้หลานสาวเข้าไปเอา แต่พ่อยกมือห้ามแล้วพูดว่า “อย่าเล่นตุกติกกับฉันนะป้า…ป้าก็รู้ว่าฉันรู้ความลับอะไรของป้า..แต่…” เสียงหนักเอาจริง

                “เออๆ ป้าไม่กล้าหลอกพ่อสินหรอก ป้าไม่ไหวแล้วนะ เอางี้ ป้าให้นี่อีกอย่าง แล้วให้นางน้อยมันเอาผ้าขึ้นเสียที แกดึงถุงแดงที่เหน็บเอวอีกใบส่งให้พ่อ…เอ้า…พ่อสิน”

                พ่อรับถุงมาแล้วเปิดดูอีกครั้ง แล้วพยักหน้าไปที่หลานสาวแก ให้เอาผ้าต้มไปได้ หลานยายเนียนจึงเอาไม้ตักผ้าขึ้นมาใส่ตะกร้าหวายที่หิ้วมาด้วย พอปิดฝาเสร็จหันมาถลึงตาใส่ ราวกับโกรธเกลียดพ่อมากๆ

                พ่อก็บอกว่ามองหน้าทำไม หรือจะไม่เอาผ้าแล้ว ยายเนียนตีไปที่แขนหลานเสียงดังฉาด แล้วพูดเสียงเบาๆ ก่อนจะหันออกไป “ไม่มีอะไรหรอก ฉันขอบใจพ่อมากนะ”

                “ไปเถอะป้า อย่าให้มันมีอะไรแล้วกัน ถ้าเป็นคนอื่นน่าจะหนักกว่านี้นะ เห็นเป็นเพื่อนบ้านติดกันรู้จักกันมานานก็เอาแค่นี้แหละ” พ่อพูดเป็นนัยๆ เหมือนรู้กันแค่สองคนกับยายเนียน

                พอยายเนียนกับหลานออกไปพ้นบ้านแล้ว พ่อเอาขวดน้ำมนต์ที่ไปขอในโบสถ์มาราดรด แล้วเรียกลูกๆ ให้ออกมาได้

                พวกเราทำหน้าสงสัย เหมือนพ่อจะรู้จึงบอกว่า “เห็นเป็นแค่กระสืออย่างนี้เหอะ มันมีมนต์วิชาดี วันนั้นมันเอาผักมาให้แม่ ก็เพราะมันจะมาสำรวจดูผ้าซิ่น ผืนที่ยายมันเช็ดปากนั่นเอง ไปดูผักสิลูก แม่เขาวางไว้ เหี่ยวเฉาหมดทั้งที่ใส่น้ำไว้ ของอะไรที่มันให้มา ผ่านมือผี ห้ามกินเด็ดขาด!!”

                ส่วนขนมที่บอกเอามาจากวัด แล้วให้มา ดีแล้วที่ลูกๆ ไม่กิน คนอื่นกินก็ไม่เป็นอะไร เพราะมันสั่งมาเล่นคนที่ให้กินเท่านั้น ฉันตกใจมาก ไม่คิดว่าจะน่ากลัวเหมือนกัน พ่อบอกไม่เป็นไร ลองของกัน

                ตอนบ่ายแม่กลับมา พ่อเอาทองในถุงแรกที่ยายเนียนส่งให้มาอวดแม่ แม่เทออกดู เป็นทองก้อนขนาดเท่านิ้วก้อยหลายสิบก้อน ส่วนถุงแดงใบที่สองเป็นสร้อยทอง 3 เส้นหนักอีกเกือบ 10 บาท

                พ่อจึงว่าเห็นไหม พ่อไม่ได้โกหก แม่ก็พยักหน้า แล้วกำชับลูกๆ ว่าเรื่องนี้ห้ามเล่าให้ใครฟังเด็ดขาด อันตราย

                พ่อกับแม่จึงเอาทองไปขายที่ร้านทองได้เงินมาก้อนใหญ่ แม่ถามทำไมรีบขาย ไม่เก็บไว้ให้ได้ราคาดีกว่านี้ พ่อบอกว่ากลัวทองที่เห็นจะเปลี่ยนเป็นทองปลอมทองมนต์ พวกนี้มันเก่ง เห็นทองเดี๋ยวกลายเป็นก้อนหินขึ้นมาก็อดกันพอดี “ยังดีที่แกไม่กล้าเล่นตุกติก”

                จากนั้นอีก 3 วัน พวกเราก็ย้ายบ้านไปอยู่ที่ใหม่ บ้านกว้างขึ้น มีพื้นที่ให้วิ่งเล่นและแม่ปลูกพืชสวนครัวได้อีก พ่อเอาเงินไปซื้อบ้านที่มีคนขายด่วน ราคาไม่แพง เหลือแบ่งให้ปู่ย่าใช้อีกนิดหน่อย

                มิน่าเขาถึงว่าผีกระสือรวยทอง ในหนังตอนกระสือจะตายจึงหลอกให้ลูกหลานไปขุดทอง แล้วบ้วนน้ำลายในน้ำให้ดื่ม เป็นทายาทกระสือคนต่อไป ฉันก็ไม่ได้กลับไปที่บ้านเดิมอีก จึงไม่รู้ว่านางน้อยจะกลายเป็นทายาทของยายเนียนคนต่อไปหรือไม่นะ

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย. อุษา

ภาพโดย. Ai


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •