25 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

            ทุกครั้งที่มีวันหยุดยาว พวกเรามักจะรวมตัวไปเที่ยวต่างจังหวัด ครั้งนี้ก็เช่นกัน เรารวมตัวกันทั้งหมดถึง 12 คน ดูน่าจะเป็นทริปที่สนุกและมีความสุข แต่ก็มิได้เป็นเช่นนั้น งั้นมาจะเล่าให้ฟัง…

            รถยนต์สี่คันขับเรียงตามกันมุ่งสู่จังหวัดหนึ่งที่มีน้ำตกที่สวยงาม ธรรมชาติป่าเขาที่ยังอุดมสมบูรณ์ มักจะมีผู้คนนิยมไปกางเต็นท์หรือพักผ่อนในรีสอร์ตตามความสะดวก พวกเราเลือกจะไปกางเต็นท์เพื่อสัมผัสธรรมชาติให้มากที่สุด ทุกคนรู้สึกสนุกสนานโหวกเหวกโวยวายอย่างเต็มที่เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง “ยะฮู้ วู้ๆๆๆ….ถึงแล้วเว้ย ช่วยกันขนของ อย่าลืมอะไรกันนะ เพราะเราต้องเดินเข้าไปที่จุดกางเต็นท์ใกล้น้ำตก….เดี๋ยวลุงเจ้าของเขาเดินมานั่นแล้ว เขาจะพาเราเข้าไป”

            สถานที่ที่เราจะเข้าไปพักเป็นรีสอร์ตที่มีเจ้าของค่ะ แต่พวกเราเลือกที่จะกางเต็นท์กันมากกว่า

            “เออๆ…เดินไกลหรือเปล่าวะ ของกูทั้งเตา กระทะ หม้อ ป๋อม มึงมาช่วยถือหน่อย อย่ามายืนสวย เร็วๆ”

            “เดี๋ยวโดนบ้องหูเลย…ไหน..โห…กูขนเต็นท์กะกระเป๋าแล้วกัน มึงชอบหม้อ มึงถือหม้อไปดีละ…ฮ่าๆๆ”

            “เฮ้ย เดินเร็วๆ อย่ามัวแต่กัดกัน สองตัวนี่” เสียงเย้าหยอก ด่าทอ ต่อล้อต่อเถียงกันไม่ขาดปาก ซึ่งทุกคนเป็นเพื่อนตั้งแต่เรียนมหาลัยฯ ถึงแม้จะจบมาหลายปี ต่างคนต่างทำงานแล้วก็ตาม เวลาที่เจอกันก็ยังเหมือนเด็กที่เล่นหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานไม่มีฟอร์ม

            พอถึงจุดหมายที่เหมาะ ทั้งแก๊งก็ช่วยกันกางเต็นท์ทั้งหมดห้าเต็นท์ ที่มาเป็นคู่สองคู่นอนเต็นท์ละสองคน นอกนั้นเพื่อนๆ ก็นอนรวมๆ กันอีกสามเต็นท์ เรามีผู้หญิงทั้งหมดสี่คน ผู้ชายแปดคนด้วยกัน ยังดีนะ ถ้าเต็มทีมจะมากกว่านี้ ซึ่งบางคนก็แอบเสียดายที่มาไม่ได้เพราะติดภารกิจ ร้องโอดโอยอยากมากันเป็นแถว หลังจากกางเต็นท์เรียบร้อย เรารีบก่อกองไฟก่อนที่จะมืดจนควันฟุ้งไปทั่ว

            “ดีเลย ควันเยอะๆ จะได้ไล่ยุงไปในตัว…เอากระทะมาตั้งสิไอ้หน่อย”

            “ทำกับข้าวเหรอ กูเอาเตาแก๊สที่ใช้แก๊สกระป๋องมา แต่กองไฟก่อไว้จะได้ไม่มืด ไฟฉายอย่างเดียวไม่พอหรอก กันพวกแมลงพวกสัตว์ด้วย” โอ๊คบอกเพื่อน น้ำเปลี่ยนนิสัยที่พกกันมาถูกกรอกลงคอกันอย่างชื่นมื่น เสียงพูดคุยเฮฮาสลับกับเสียงกีตาร์และเสียงร้อง มันเป็นความสุขที่สุขมากจริงๆ…ความมืดมาเยือนอย่างรวดเร็ว อยากจะบอกว่ามันมืดมาก มืดสนิทจริงๆ

            “แล้วตรงนี้มีแต่กลุ่มเรากลุ่มเดียวเลยรึไงวะ”

            “ก็ดีแล้ว มีแต่พวกเรา แหกปากไปเลยไม่ต้องเกรงใจใคร…สุดเหวี่ยงเลยเพื่อน นี่คือความสุขที่พวกคุณสัมผัสได้ แม่งเจ๋งจริงๆ…วู้ๆๆๆ” พอไอ้ปูส่งเสียงกู่ร้องออกไปก็มีเสียงร้องวู้ๆ ตอบกลับมา ทุกคนเงียบพร้อมกัน ฉันเลยพูดขึ้นว่า “คงเป็นกลุ่มอื่นทางด้านโน้นมั้ง เพราะตอนเราเข้ามาก็เห็นมีอีกกลุ่มนี่นา ฉันว่าพวกเราก็เบาลงนิดนึงแล้วกัน เพราะเสียงมันก้องนะเว้ย”

            “ไม่เป็นไรหรอก นี่เรามาเช่าที่สวนลุงเขา เขาก็คงร้องรำทำเพลงเหมือนพวกเราแหละ กูว่าเอาหมูมาย่างที่กองไฟนี่ดีกว่า เตาแก๊สเอาไว้ต้มมาม่า”

            “เออ บอกกันก่อนนะเพื่อน จะปวดฉี่ปวดอึอะไร ไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อนนะเว้ย อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า แม่กูบอกไว้”

            “ไม่ทันแล้วเพื่อน กูยิงกระต่ายตายไปหลายตัวละ…ฮ่าๆๆ” ทว่ากลับมีเสียงหัวเราะฮ่าๆ ตามมาเมื่อไอ้หน่อยหัวเราะจบ

            “ไม่มีไรหรอก กลุ่มอื่นก็คงหัวเราะแหละ มึงอย่ามาสร้างบรรยากาศมาคุ มาเที่ยวชิลๆ สนุก  เมาเปล่าเนี่ย หรือว่าง่วงก็ไปนอนเลยอีแต๋ม”

            ฉันได้แต่หัวเราะที่ถูกเพื่อนรุมด่า คงจริงอย่างที่พวกมันพูดแหละ ฉันคิดมากไปเอง เราดื่มไปร้องเพลงกันไปสนุกสนาน ไม่รู้ว่ากี่โมงกี่ยาม ใครง่วงหรือว่าเมาก็ค่อยๆ ทยอยกันเข้าเต็นท์ไปนอน แต่เรายังสุมกองไฟเอาไว้จนกว่าจะมอดดับไปเอง….

            ถึงจะมีฤทธิ์จากเบียร์อยู่บ้าง ฉันก็ยังนอนหลับๆ ตื่นๆ อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ฉันนอนอยู่เต็นท์เดียวกับนังมุก อยู่ระหว่างกลางของทั้งห้าเต็นท์ อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเหมือนคนหลายคนกำลังเดินไปเดินมา ทีแรกคิดว่าเป็นพวกเราบางคนที่ยังไม่นอน มีเสียงพูดคุยดังแผ่วๆ ฉันเงี่ยหูฟัง ตั้งใจว่าจะออกไปสมทบ กำลังจะลุกขึ้นนั่งและมองออกไปที่กองไฟ เห็นมีคนนั่งยองๆ ตะคุ่มๆ อยู่สามคน นั่งนิ่งๆ อยู่ข้างกองไฟ คิดว่าเป็นเพื่อนที่ยังไม่นอน ฉันขยับไปที่ประตูเต็นท์ตั้งใจจะออกไปสมทบ ขณะที่หนึ่งในสามคนนั่นเงยหน้าขึ้น แสงจากกองไฟที่พอจะมองเห็น….ใบหน้านั้น ไม่ใช่เพื่อนคนในกลุ่ม….เป็นใครกัน หรือว่าจะเป็นพวกขโมย…ฉันเอื้อมมือดึงขานังมุก กระตุกอยู่สองสามครั้งมันก็ลืมตาขึ้นมาแล้วถามฉันว่า “ทำไม…อะไร….มีอะไร มึงไปนั่งจ๋องดูอะไร”

            ฉันต้องทำมือให้มันพูดเบาๆ และพยักหน้าให้มันมาดูอะไรที่ประตูเต็นท์ ซึ่งมันก็กระเถิบมาดู ฉันกระซิบเบาให้พอได้ยินกันสองคนว่า “ใครวะ…มึงดูสิ ไม่ใช่พวกเรา แล้วมันมานั่งทำอะไรกันที่หน้ากองไฟ”

            “เออ…พวกขโมยหรือเปล่า ไอ้พวกนั้นคงเมาหลับกันหมด ทำไงดีวะ”

            “หรือว่ามันมานั่งเพราะเห็นมีไฟ คงหนาวหรือเปล่า”

            “มึงอย่าแหกปากเสียงดัง…เดี๋ยวก็รู้กันพอดีว่าเราดูอยู่ ดูไปก่อนว่าพวกนั้นมาทำอะไรกัน”

  แล้วทั้งสามนั่น เหมือนจะรู้ว่าเรากำลังมองอยู่ ต่างหันขวับมาทางเรา ฉันใจหายวาบที่เห็นใบหน้าแบบเต็มๆ ทั้งสามคน เราสองคนบีบมือกันแน่น…เพราะใบหน้าของคนที่หันมามันเต็มไปด้วยเลือดที่เปรอะเปื้อนไปทั้งหน้า ส่วนอีกคนที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ตัวเขาสูงขึ้น สูงขึ้น สูงขึ้น จนส่วนหัวขึ้นไปติดที่กิ่งไม้ด้านบน เขาก็ยังไม่หยุดสูง และแขนขาก็ยืดยาวออกมาเรื่อยๆ ฉันได้ยินเสียงกิ่งไม้หักดังลั่น

            “แก….ผะ….ผะ…” นังมุกพูดไม่เป็นภาษา ซึ่งตัวฉันเองก็เหมือนก้อนอะไรขึ้นมาจุกที่คอหอย แล้วเราสองคนต่างก็พร้อมใจกันพุ่งตัวกลับไปที่นอนแล้วคลุมโปง ได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเองที่ออกมาเต้นอยู่ข้างนอก ดังตึกตักๆ กับเสียงนังมุกที่ครางฮือๆ ด้วยความกลัว ไม่รู้ว่าเราหลับไปอีตอนไหน จนกระทั่งเช้าได้ยินเสียงโวยวายเรียกปลุก

            “เอาดีๆ….เมื่อคืนมีใครเห็นอะไรไหม” ปูพูดเสียงอ่อยแล้วชวนทุกคนเก็บข้าวของ ซึ่งทุกคนสรุปว่าเห็นเหมือนกันหมด แต่ไม่มีใครกล้าเดินออกมาจากเต็นท์…เรามาฟังจากปากของเพื่อนแต่ละคน หลังจากที่เราเก็บสัมภาระและรีบเผ่นออกจากที่นั่น เรามาจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งโอ๊ตเล่าก่อนว่า

            “กูจะออกมาฉี่ พอดีได้ยินคนเดินอยู่รอบเต็นท์ พวกเราก็สงสัยว่าพวกมาขโมยของหรือเปล่า เลยปลุกไอ้ปูให้ช่วยกันดู…เป็นผู้ชายสามคน หน้าตามันน่ากลัว ได้ยินมันพูดกันว่า….มันจะกินคนไหนก่อน มันหิว….ทีแรกก็คิดว่าฟังผิด แต่มันพูดย้ำว่ามันอดอยาก อยากกินตับไตไส้พุง…อีกคนยังพูดว่าใครออกมาก็กินคนนั้น กูงี้เยี่ยวหดเลย แต่ก็คว้ามีดเอาไว้ก่อน ก็ไม่รู้ว่าคนหรือผี เข้ามากูเสียบแน่…แต่ที่น่ากลัวคือพอมันพูดเสร็จ มันทำท่ากระโจนเหมือนกระโดด แล้วมันก็พรึ่บ กลายเป็นค้างคาวบินไปเกาะต้นไม้อย่างกับหนังผี กูขนหัวตั้งเลย ผีแน่ๆ บอกตรงๆ กลัวมาก สั่นไปหมด…รีบคลุมโปงยกมือไหว้ ขอให้หลวงปู่ทวดช่วย ดีนะที่ห้อยหลวงปู่ทวดเอาไว้ที่คอ”

            “โคตรน่ากลัว หลอนสุด ส่วนกูนะได้ยินเสียงแหบๆ มาพูดตรงหัวนอนว่าขอน้ำกินหน่อยๆ เสียงแบบจะแหบก็แหบ จะแหลมก็แหลมปนๆ กัน ฟังแล้วขนลุก ทำบุญให้ด้วย…ทำบุญให้ด้วย กูก็คิดว่าพวกมึงมาแกล้ง แต่มานอนนึกใครจะมาแกล้ง มันดึกมากแล้วก็เข้านอนกันหมดแล้ว…ตอนนั้นน่าจะตีสาม ไม่กล้าเปิดโทรศัพท์ดู กลัวมันรู้ว่าเราได้ยิน….เสียงแม่งเย็นแหบๆ น่าขนลุก กับเสียงเดินรอบเต็นท์ หัวใจจะวายกลัวมันพังเข้ามา”

            “เต็นท์กูเหมือนกัน มีคนเดินวนอยู่รอบๆ ไอ้หนิงนอนร้องไห้กอดกูแน่น”

            “หือ…ฟอร์มผีล่ะมึง ลองกอดกันแน่น”

            “ฟังให้จบก่อน กูสงสัยเลยแอบดู แม่งเปรต ขายาวสูงปรี๊ด แม่งก้มหัวลงมาพูด ทำบุญให้ด้วย ทำบุญให้ด้วย…อูยยย คิดสภาพ อย่าว่าแต่ไอ้หนิงเลย กูเองก็น้ำตาไหล ทำไมเราต้องมาเจออะไรกันอย่างนี้วะ ว่าไหม”

            “ส่วนกู…ได้ยินเสียงเหมือนคนเล่นน้ำ ก็คิดว่ามึงไอ้โอ๊ต กะว่าจะโผล่หน้าไปด่าสักหน่อย…เจอเหมือนกัน เปรตเดินย่ำน้ำ เดินไปเดินมา ทีแรกก็ว่าต้นไม้อะไรวะเคลื่อนที่ได้ พอเงยหน้าขึ้นมอง หูยยย มันสูง ต้นไม้อะไรจะเดินได้ ที่เล่านี่เหมือนชิลๆ นะ แต่ตอนนั้นกูแทบขี้แตก”

            สรุปเราโดนกันถ้วนหน้า จนมานั่งวิเคราะห์ว่าอาจเป็นเพราะเราเข้ามาในเขตที่ลึกเกินไป ซึ่งตรงส่วนที่เรามาตั้งแค้มป์ไม่มีกลุ่มอื่นเลยนอกจากกลุ่มเรา และอีกอย่างป่าก็คือป่า กี่สิบกี่ร้อยปีที่อาจเคยมีคนอาศัยอยู่แล้วตายไป ยังวนเวียนไม่ได้ไปผุดไปเกิดเพราะอาจจะมีกรรมก็เป็นได้ เราเลยพร้อมใจกันก่อนจะถึงกรุงเทพฯ ถ้าเจอวัดที่ไหนก็ให้แวะทำบุญอุทิศให้พวกเขา และเพื่อความสบายใจสำหรับทริปสุดหวีดครั้งนี้ด้วย

            พอดีไปเจอวัดหนึ่งที่มีทั้งไถ่ชีวิตโคกระบือ ทำบุญโลงศพ มีทำบุญสารพัด แถมยังมีให้ลอดโบสถ์อีก พอทำเสร็จพวกเราก็มีกำลังใจที่ดีขึ้น โดนประพรมน้ำมนต์สักหน่อย พระท่านยังทักว่าไปไหน ทำอะไรกันมา แต่พอได้ทำบุญทุกคนก็รู้สึกสบายใจขึ้น จังหวะเดียวกับที่มีแม่ค้าขี่จักรยานมาขายสลาก มันเป็นชุดห้าใบ ปูกะโอ๊ตออกความคิดว่าให้พวกเราช่วยกันออกเงินรวมตัวซื้อ คือบังคับคนละ 40 บาท ส่วนปูกะโอ๊ตออกคนละ 50 บาท

            “ถ้าถูกรางวัลที่ 1 นะ แบ่งกันรวยเลยพวกเรา แต่ถ้าสองตัวสามตัว หมูกระทะอย่างเดียว”

            “เริ่ดมาก เราทำบุญให้แล้ว เผื่อผีพวกนั้นจะตอบแทนมั่ง แต่รางวัลที่ 1 ฝันเฟื่องไปเปล่าวะ”

            “กูเก็บเอง ถ้าถูกนะกูหนีเลย”

            “งั้นขอกระทืบล่วงหน้าก่อนเลย ฮ่าๆๆๆ”

            หลังจากวันนั้น พวกเราต่างก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเอง ใครทำงานอะไรก็ทำๆ ไป ถ้ามีเวลาว่างเสาร์อาทิตย์ก็จะนัดเจอกัน ทุกคนลืมเรื่องลอตเตอรี่ที่ซื้อกันไปหมด จนกระทั่งมารวมตัวเฮฮากันอีกครั้ง “เออ…แล้วเลขสลากที่ซื้อกันวันนั้นที่วัด มึงตรวจหรือยังถูกเปล่า เงียบเชียวนะมึงไอ้ปู”

            “เออใช่ๆ กูลืมตรวจเลย ตรวจในเว็บได้” พวกเรามารุมสุมหัวตรวจในเว็บ เป็นสิ่งน่าอัศจรรย์มาก เราถูกเลขหน้าสามตัวทั้งห้าใบ เป็นเงินถึงสองหมื่นบาท เสียงไชโยโห่ร้องเพราะนอกจากเอาไปกินหมูกระทะแล้วยังเหลืออีกเยอะ เราไม่ลืมที่จะนำเงินไปซื้อสังฆทานถวายพระ อุทิศบุญให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นอีกครั้ง

            อย่างนี้เรียกว่าผีให้โชคได้สินะ แต่ถ้าให้เราไปพักที่นั่นอีก คิดว่าคงไม่ดีกว่า ทุกคนลงความเห็นตามนั้น เพราะพวกเราไม่ใช่นักเสี่ยงโชค แค่ความบังเอิญเท่านั้น และนี่ก็คือเรื่องทริปสุดหวีดของเรา

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. กฤตยา อยู่ประเสริฐ

ภาพโดย. travelinspiredliving.com, outdoorcommand.com, moustachebanana.itch.io, aversionofthetruth.com, lbb.in


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •