28 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ดิฉันมีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่ง เธอชื่อแน่งน้อย ดิฉันกับพี่น้อยได้พบกันในงานบุญต่างๆ เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งวัดในต่างจังหวัดที่ดิฉันอยู่อาศัยเป็นวัดเล็กๆ สายธรรมยุต ทางวัดไม่เคยจัดงานรื่นเริง และไม่มีเมรุเผาศพ

            ทุกวันโกน วันพระ พี่น้อยกับดิฉันมักจะเดินทางไปถือศีล 8 ด้วยกัน เป็นอย่างนี้ราว 5-6 ปี ครั้นเมื่อมาถึงต้นปี 59 พี่น้อยก็ได้หายเงียบไป งานปีใหม่ก็ไม่ไปทำบุญ จนจรดวันมาฆบูชา เมื่อถามถึงพี่น้อยกับใครต่างก็พากันส่ายหน้า ไม่รู้จริงๆ ว่าพี่น้อยทำไมถึงหายหน้าไป ส่วนบ้านพักนั้นหรือ ทราบเพียงว่าพี่น้อยเป็นคนที่อื่น แต่มาได้สามี (ที่อยู่ตำบลถัดจากวัดไป) ดังนี้ ดิฉันจึงตัดสินใจขับรถไปถามไถ่ถึงบ้านเธอ ราว 10 กิโลเมตรเห็นจะได้ ที่เดินทางก็ถามผู้คนไปตลอดเส้นทาง

            บ้านของพี่น้อยเป็นบ้านชั้นเดียว อยู่ติดถนนในซอยของหมู่บ้าน ภาพแรกที่เห็นคือพี่น้อยอุ้มเด็กวัย 5-6 เดือนเดินเล่นไปมา ร่างกายเธอซูบผอม ไม่สดใสเสมือนสวมชุดนุ่งขาวห่มขาวเมื่อคราวเจอกันที่วัด เธอดูดีใจมากที่พบดิฉัน…ทว่าความยินดีค่อยเลือนหาย เมื่อพี่น้อยเริ่มต้นเล่าถึงช่วงเวลาที่หายไป

            “สามีของพี่น่ะสิ จากปกติเค้าก็แข็งแรงดี แต่พอเริ่มเข้าสู่ปีใหม่เท่านั้นเค้าก็ล้มเจ็บ เมื่อพาไปหาหมอ หมอก็บอกเป็นโรคคนแก่ แต่ปกติเค้าชอบออกกำลังกายทุกวัน เพราะเคยรับราชการทหาร ส่วนอายุก็เพิ่งจะย่างเข้า 66 ปีเท่านั้น เค้าเกิดปีขาล ปีเดียวกันกับพี่ค่ะ ลำพังตัวของพี่ แม้ไม่ไหวแต่ก็ต้องไหวค่ะเวลานี้…” พี่น้อยก้มหอมศีรษะหลานที่อยู่แนบอก “อยู่ๆ แม่ของเจ้านี่ ลูกสาวคนเล็กของพี่ก็ต้องมาล้มเจ็บอีกคน หน้าเบี้ยวปากเบี้ยวโดยไม่มีสาเหตุ อายุก็เพิ่งจะ 30 เท่านั้น เมื่อพาลูกไปหาหมอ หมอก็บอกว่าลูกพักผ่อนน้อย ปลายเส้นประสาทที่อยู่บริเวณใบหน้าจึงอักเสบ อาจเป็นเพราะความเครียดด้วยที่เห็นพ่อเค้าต้องมาล้มเจ็บอย่างนี้”

            เมื่อถามถึงอาการของสามีพี่แน่งน้อย “โถคุณ! ใครจะคิดว่าเค้าจะนอนแบ็บ กิน-ถ่ายอยู่ที่เตียงเป็นสองเดือน วันที่จะเป็น เค้าก็ขี่จักรยานออกกำลังกายตามปกติ ครั้นพอกลับถึงบ้าน เขาซุกรถได้ก็เข้าห้องนอนทันที แล้วก็เดินไม่ได้มาจนทุกวันนี้”

            เมื่อถามว่าพี่น้อย เดิมทีเป็นคนอยู่กับวัด พี่ได้ไปหาพระหาเจ้าบ้างหรือเปล่า “ไปสิคะคุณ หอบไอ้ตัวเล็กตระเวนหาพระ เอาน้ำมนต์มารดให้ตา ให้แม่เค้า ไปมาหลายที่ค่ะแต่ก็ไม่ดีขึ้น ล่าสุดพี่ได้ไปพบซินแสคนหนึ่งแถบ อ.สามพราน ไปให้เค้าดูที่บ้านให้ ท่านบอกว่าที่ในบ้านของพี่นั้นมีเงาดำปกคลุมจนมองอะไรไม่เห็น เหมือนคนป่วยในบ้านถูกกระทำ อ้อ ท่านบอกอีกค่ะว่าคนที่เกิดปีขาลในปีนี้ (เรื่องเกิดปี 59) ชงกับเจ้าของปีนักษัตร 100 เปอร์เซ็นต์ค่ะ ส่วนลูกสาวคนเล็ก คนที่ป่วยก็เกิดปีขาลเหมือนกัน”

            “ท่านได้ช่วยแก้ไขโดยวิธีไหนได้บ้างคะ”

            “ท่านก็ให้พี่หมั่นสวดมนต์ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เรานับถือค่ะ อยู่อิริยาบถไหนก็ปฏิบัติได้ และท่านได้แนะว่าอย่าได้มองข้ามศาสตร์ของชาวจีนที่เอ่ยทักว่าปีนี้ปีนั้นชงปะทะ ขอให้เชื่อไว้บ้าง ประการสำคัญ คนปีชงถือเป็นคนที่ดวงอ่อน ดวงตกในปีนั้นๆ สิ่งที่ไม่ดีจะมาทักทายจิตใจได้ง่าย และเมื่อถามถึงตัวพี่กับท่านซินแส ท่านก็บอกให้ ที่คุณไม่ล้มหมอนนอนเสื่อเหมือนผัวเหมือนลูก แต่คุณก็รับภาระต่างๆ อย่างสาหัสมิใช่หรือ? ก็จริงของท่านนะ”

            พี่น้อยส่ายศีรษะอย่างหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ต่อมาจึงได้สอบถามถึงความเป็นไปในครอบครัวของพี่น้อย “พี่มีลูกสาวสองคนเท่านั้น แต่คนโตเป็นลูกของแฟนเก่าค่ะ”

            “แล้วตอนนี้เขาไปไหนแล้วล่ะ”

            “ลูกคนนี้เค้าไปๆ มาๆ บ้านพี่ค่ะ คือเค้าไม่ค่อยลงรอยกับน้องสาวและพ่อเลี้ยง อายุก็จะ 40 แล้ว แต่ก็ยังตั้งแง่กันอยู่ค่ะ” อะไรไม่ทราบที่ทำให้ดิฉันสะดุดใจกับลูกสาวคนโตของพี่น้อย ต่อมาเมื่อได้เข้ามาเยี่ยม ดูอาการของสามีพี่น้อย พบว่าได้นอนติดเตียง ร่างกายผ่ายผอม นัยน์ตานั้นกรอกไปมาได้ แต่พูดไม่ได้ ส่วนลูกสาวคนที่ป่วยเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ซึ่งเมื่อมองจากภาพถ่ายที่ติดอยู่บริเวณหน้าห้องนอน นับว่าเป็นเด็กสาวที่มีหน้าตาดีคนหนึ่งทีเดียว และจากอาการป่วยทางใบหน้า เด็กคงมีอาการเครียดมากทีเดียว น่าเห็นใจอยู่มาก

            ดิฉันได้วกความสนใจกลับมาที่ลูกสาวคนโตของพี่น้อยอีกครั้ง โดยผู้เป็นแม่พูดถึงลูกสาวคนโตไว้ดังนี้ “นังนี่มันไม่เคยจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหรอกค่ะ…ลอยไปก็ลอยมา นึกจะขึ้นเหนือล่องใต้ก็ไป ไม่ค่อยถูกกับคนที่บ้านนี้นักหรอก คนพี่ก็เอาแต่ใจ ส่วนคนน้องก็ไม่เคยลงให้ใคร คนที่ปวดหัวมากที่สุดนั้นก็คือพี่ เพราะนี่ก็ลูก อีกคนก็ลูก” พี่แน่งน้อยถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างน่าเห็นใจ “ข่าวว่าเพิ่งกลับจากปักษ์ใต้ ก่อนไปนะคะประจบเรา แม่อย่างนั้นแม่อย่างนี้ ไปทำงานที่นั่นได้แน่ๆ เดือนละ 2-3 หมื่น แต่พอตอนกลับมาไม่เคยเห็นเงินเลยสักกะบาท”

            พูดไม่ทันขาดคำ สตรีร่างท้วม ดูภายนอกนับว่าแต่งตัวเก่ง ได้ก้าวจากรถมอเตอร์ไซค์เดินมาที่เรานั่งกัน “แม่ ยืมรถใหญ่ก่อน เอ้านี่ กุญแจมอเตอร์ไซค์ จะรีบไปทำธุระ” เป็นลูกสาวคนโตของพี่น้อยที่กำลังพูดถึงนั่นเอง

            “ดูบ้างสิ ว่าแม่มีแขก”

            “สวัสดีค่า” เธอยกมือไหว้ดิฉัน ลากเสียงยาว

            “แล้วเอ็งจะไปกี่วัน”

            “โธ่แม่ นอนกันทั้งนั้น ใครจะใช้รถล่ะ?”

            “ก็กูนี่ไง”

            “แม่พูดกับหนูดีๆ ก็ได้ ไปค้างคืนเดียวเท่านั้นแหละ…ที่บ้านโป่ง วันเกิดเพื่อน” เธอพูดอย่างไม่สะทกสะท้านก็จริง แต่สำหรับฉันแล้ว คิดว่าเด็กสาวคนนี้เธอมีปมลึกๆ อยู่ในใจระหว่างแม่กับลูก ส่วนที่พูดจาฟังแล้วแย่ๆ นั้น ฉันคิดของฉันไปเองว่าเธอแสร้งทำประชด! แล้วดิฉันก็ชวนเธอพูดคุยถึงการที่ได้ไปทำงานที่ภาคใต้ใน 2-3 เดือนก่อน ดูเธอร่าเริงกว่าคราวแรกที่พบ เสมือนเธอได้มีตัวตนขึ้นมาก็ไม่ผิดนัก แล้วเธอก็พูดได้ชวนสงสารในตอนหนึ่ง

            “อายุก็จะ 40 แล้วคุณน้า ส่วนความรู้หนูก็เรียนแค่ ม. 6 ทำอยู่ที่แพปลาได้ไม่นาน เค้าก็รับเสมียนใหม่ อ้างว่าเราทำคอมฯ ไม่ได้ ก็นอนอยู่ที่ห้องเช่าจนเงินหมด เพราะหางานใหม่ไม่ได้ หากกลับมาบ้านก็โดนแม่ด่าอยู่ดี สุดท้ายเมื่อจนแต้มก็ต้องขึ้นรถไฟฟรีกลับบ้านค่ะ”

            “ไม่เป็นไร คนเราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ” ดิฉันแตะไหล่เธอเบาๆ แต่เธอกลับกอดดิฉันแน่น ทั้งนี้ ก่อนเธอจะจากไปก็ได้ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ในเครื่องของดิฉัน

            “แล้วหนูจะโทร.หาคุณน้านะคะ แต่ตอนนี้หนูต้องรีบไปจริงๆ เพราะกลัวเพื่อนรอ” ลูกสาวคนโตพี่น้อยสตาร์ตรถออกไปแล้ว ยังมิทันเอ่ยปาก

            “คุณคงคิดว่าพี่นั้นรักลูกไม่เท่ากัน”

            “มันเป็นทุกคนที่เป็นแม่ หนูเข้าใจพี่ค่ะ”

            “แต่คุณคงเข้าใจผิดเสียแล้ว เพราะใจของพี่นั้นรักนังส้มเช้ง ลูกสาวคนโตมากกว่าลูกคนเล็ก ทั้งรักทั้งห่วง ลูกคนนี้มันเป็นคู่ทุกข์คู่ยากกับเรามาก่อนที่พ่อมันจะตาย ส่วนลูกสาวคนเล็กเค้าเกิดมามีทุกอย่างแล้ว ไม่มีใครรู้ใจพี่หรอกค่ะคุณ”

            ไม่รู้ว่าการมาเยือนครั้งนี้ของฉันได้สร้างความทุกข์ใจสู่พี่น้อยกี่มากน้อย เนื่องจากพี่น้อยร้องไห้จนดิฉันเริ่มใจเสีย ทั้งนี้ ก่อนลาจากถึงกับตั้งปณิธานไว้ในใจ อยากช่วยเหลือครอบครัวพี่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเท่าที่จะช่วยเหลือได้ เย็นวันนั้น ฉันขับรถกลับบ้านอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก ครั้นพอถึงเวลานอนราว 3 ทุ่ม ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

            “ใช่เบอร์คุณน้ารึเปล่าคะ” จำได้ว่าเป็นเสียงของส้มเช้ง แม้น้ำเสียงฟังดูอ้อแอ้ด้วยฤทธิ์สุรา แล้วเธอก็ระบายความในใจต่างๆ เกี่ยวกับครอบครัวจนฉันต้องปลอบใจ และความเล่าในตอนหนึ่ง… “รู้ไหม ความที่หนูนั้นเกลียดพวกมันสองพ่อลูก เพราะเมื่อพวกมันเห็นหน้าหนูก็คอยแต่จะพูดจาเยาะเย้ยถากถาง และที่มันเป็นอย่างนี้ เพราะหนูจ้างหมอทำของใส่ให้มันทรมานกัน แต่มันคงไม่ทรมานเท่าที่มันสองคนพ่อลูกใช้หนูอย่างกับขี้ข้ามา 30 กว่าปีแล้วค่ะน้า”

            เมื่อถามว่าหนูทำอะไรพวกเขาบ้าง “ที่ทางภาคใต้เค้าเรียกทำมบ แม่ของเพื่อนหนูเค้าเป็นหมอทางนี้อยู่ที่พัทลุง เค้าสงสารที่หนูอาภัพถึงทำให้ สบโอกาสที่เขาดูแล้วดวงมันสองพ่อลูกตกพอดี ถึงทำง่ายและสำเร็จ!” ส้มเช้งอธิบายต่อไป “วิธีทำไม่ได้ยุ่งยากเลย แม่เพื่อนให้หาบาตรพระแตกมาที่บ้าน เมื่อได้บาตรแตกมาแล้วก็ทำพิธีทันที เขียนชื่อนามสกุลพวกมัน แล้วเขาก็สวด สวดนานอยู่หลายชั่วโมงก่อนจะเอาบาตรแตกไปฝังดินที่ทางสามแพร่ง บอกว่าอีกไม่นานผีตายห่าตายโหงก็จะเข้าไปทัก ไปทำพวกมันให้มีอันเป็นไปต่างๆ นานา”

            เมื่อได้อธิบายถึงบาปบุญคุณโทษไปบ้าง “รู้ว่าบาป แต่พวกมันไม่เคยมีความยุติธรรมให้กับหนู ส่วนแม่แท้ๆ ก็พูดไม่ออก เกือบทั้งชีวิตที่หนูต้องพลอยเป็นแพะรับบาปแทบทุกเรื่อง มันต้องเอาคืนเสียบ้างค่ะ และหากมันเป็นคนดีจริง แม่ของเพื่อนก็ทำให้ไม่สำเร็จ น้าคิดแค่นี้คงพอมองออกว่าพวกมันเป็นคนยังไง”

            หากได้มีอีกหลายต่อหลายเหตุการณ์ที่ส้มเช้งมีความเชื่อว่ามันไม่มีความยุติธรรมสำหรับเธอเลย ซึ่งใครเล่าจะแก้ไขได้…หากมิใช่ผู้เป็นแม่อย่างพี่แน่งน้อย ทั้งนี้วันถัดมา ฉันตั้งใจที่จะเลียบเคียงบอกข่าวถึงเรื่องโดนกระทำแก่พี่น้อย แต่เธอเอ่ยก่อนเลยว่า

            “รู้เรื่องหมดแล้ว เมื่อคืนมันเมา โทร.มาเล่าให้พี่ฟังตอนตีสอง แล้วยังเล่าว่า…เมื่อโทร.ไปคุยกับเพื่อนที่ใต้ เขาบอกว่าทำแล้วทำเลย แก้ไขอะไรไม่ได้ เป็นวิชาของคนดั้งเดิมที่นั่น พี่ปลงตกแล้วคุณ แล้วแต่เวรแต่กรรม ใครทำใครได้ก็แล้วกัน ชาติที่แล้วเขาสามคนคงผูกเวรกันมา แม้ตัวพี่ก็เถิด แม้เป็นผู้ดู แต่ก็ทุกข์ใจไม่แพ้ทุกคน”

            หลังจากที่พูดคุยทางโทรศัพท์กับพี่น้อยในวันนั้น จนทุกวันนี้พี่น้อยก็ได้แต่โทรศัพท์มาเล่า “ทั้งแฟนทั้งลูกสาวมีแต่ทรุดลงคุณเอ๊ย…ส่วนอีกคน มันก็เอาแต่เฮฮาปาร์ตี้ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ต่อไปพี่จะไม่ว่าไม่แช่งใครแล้ว กรรมเขาเคยก่อกันไว้ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีวันพ้นบ่วง อย่างน้อยพี่ก็มีหลานที่ต้องคอยเลี้ยงดู หากพี่แย่ไปอีกคน หลานก็ต้องกำพร้า เพราะพ่อเค้าก็ไม่มี บางคนเขาพูดกันค่ะ ที่มาเห็นสภาพครอบครัวพี่ โอ๊ย! ยายน้อย แกมันปีชง ชงกันทั้งบ้าน ก็จริงอยู่นะคะ แต่สิ่งที่เหนือกว่าปีชง…พี่ว่าคนเราหนีกรรมไม่พ้นค่ะ”

            ผู้ปฏิบัติธรรม…จิตใจย่อมเด็ดเดี่ยวเสมอ พี่น้อยสรุปจนไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อไป

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. www.jansatta.com, www.pngwing.com, www.desktophut.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •