27 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ที่คำโบราณกล่าว “เพื่อนเราเผาเรือน” ประโยคนี้ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย พร้อมนำมาเทียบเคียงกับเพื่อนรัก คู่ผัวตัวเมียสองครอบครัว แต่บทสรุปของคำว่าเพื่อนเก่าได้ถูกกลืนหายไปโดยอำนาจแห่งความอิจฉาริษยาตามวิสัยสตรี

                บุญตา เป็นภรรยาของบรรจบ ข้าราชการที่ไต่เต้าขึ้นมาในฐานะผู้บริหาร เนื่องจากความชื่อสัตย์และขยันขันแข็งของเขา สำหรับตัวของบุญตาที่ปัจจุบันได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของนาย…เธอมักจะทำคอแข็งเมื่อเห็นผู้ที่ด้อยกว่า เพียงหวังเพื่อให้ใครต้องยกมือไหว้เธอ แต่หลายคนมักกล่าวลับหลัง “ช่างติช่างเตียนก็ที่หนึ่ง หน้ารึก็งอเป็นตะหวักตักแกง จะดีก็ตรงโปะทองโปะเพชรให้ตัวเองดูดีก็เท่านั้น”

                สำหรับสตรีที่ติดสอยห้อยตามบุญตา ที่ใครคิดว่าเป็นคนรับใช้มากกว่าเพื่อนเก่าก็คือ น้ำริน ซึ่งน้ำรินนี้เธอเป็นภรรยาของอำพล ลูกน้องคนสนิทของหัวหน้าบรรจบ ทั้งสองได้แต่งงานกันก็เพราะหัวหน้าบรรจบชักพา ต่อมาเรื่องไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นกับผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีเฉกหัวหน้าบรรจบ

                หลังจากกลับจากการดื่ม เมื่อขับรถ จู่ๆ ขาสองข้างของคุณบรรจบเกิดอ่อนแรง ความมืดเข้ามาแทนที่ เพื่อนพื้นตื่นที่โรงพยาบาล ต่อมาเขาได้กลายเป็นอัมพาตชั่วคราวตามที่แพทย์ปลอบใจ ในระยะแรกบุญตาก็ดูเอาใจสามี คิดว่าอีกไม่นานเขาคงกลับมาเดินได้เป็นปกติ

                วันเวลาผ่านไป ตั้งแต่สะโพกลงไปจรดปลายเท้าได้เล็กลีบในเวลาต่อมา…ทั้งที่คุณบรรจบได้เฟ้นบีบนวดด้วยตนเอง เพราะหากได้เอ่ยเรียกวานบุญตา คำว่าไอ้ควาย ไอ้ห่านี่จะติดปาก ด่าตามอารมณ์ที่ปรวนแปรของเธอ แต่เขาก็มิถือสาภรรยาที่อายุอ่อนกว่าเกือบ 20 ปีแต่อย่างใด

                เขาเข้าใจ อายุบุญตาเพิ่งจะย่างเข้าเลข 4 ยังมีเวลาโลดแล่นกับชีวิต แทนที่จะมาทนอยู่กับคนพิการทุกเช้า-ค่ำ แล้วเธอก็พูดกับน้ำริน เพื่อนเก่าอย่างไม่อ้อมค้อม “ฉันมีความจำเป็นต้องไปเรียนขับรถ รถจอดทิ้งไว้ 3- 4 คัน ลูกเต้าก็ไม่มี ต่อไปเธอก็จะมีหน้าที่มาเฝ้าพี่จบแทนฉัน แล้วฉันจะพูดกับอำพลเอง เธอเตรียมตัวก็แล้วกัน”

                นิสัยที่ชอบบังคับคนของบุญตายังใช้ได้ดีกับน้ำริน ผู้เขียนได้รู้จักกับสองครอบครัวนี้ผ่านทางน้ำริน จากนั้นบุญตาก็ขอให้ช่วยเปลี่ยนสายท่อปัสสาวะให้คุณบรรจบ โดยไม่ต้องจ้างพยาบาลให้เดินทางไปมาอีกต่อไป ส่วนคุณบรรจบนั้นเธอชอบอ่านหนังสือแนวธรรมะและกฎแห่งกรรมมาก ช่วงหนึ่งของการสนทนาเมื่อคุ้นเคย

                “ที่ผมล้มป่วยนั้นไม่ใช่อะไรหรอก กรรมมันตามทันน่ะครับ สมัยก่อนผืนป่าแก่งกระจาน อู้ย…ช้างนี่เดินสวนกันเป็นว่าเล่น ตอนนั้นเพิ่งรับราชการใหม่ๆ รุ่นพี่ก็พาเข้าป่าล่าสัตว์ เราเองก็คะนองมือ พอจับไรเฟิลได้ก็ลงกดช้างก่อนเลยเพราะมันเยอะ งวงงาอะไรก็ไม่อยากได้กะเขาหรอก ฆ่ามันก็เพราะสนุกมือ…ก็หลายเชือกอยู่นะที่ล้ม”

                “ตอนเราอายุมากขึ้นก็ได้คิด การฆ่าสัตว์ใหญ่ที่มีอายุยืน กรรมมันแรง เพราะไปด่วนตัดวงจรชีวิตเขาก่อนกำหนด ก็ไม่คิดเลย อายุอานามก็ยังไม่หกสิบ จู่ๆ ก็มาเป็นอัมพาตเฉียบพลัน ถ้าไม่ใช่กรรมก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ก็ได้แต่ปลอบใจตัวเอง สักวันเราต้องเดินได้ ต้องเจอะเจอยาที่ถูกฝาถูกตัวเข้าสักวันนะ ก็หวังไว้”

                ต่อมาภาพที่เห็นคือคุณอำพลต้องกลายมาเป็นพ่อครัวทำอาหารในทุกมื้อเย็น คุณน้ำรินต้องกลายมาเป็นแม่บ้านปัดกวาดเช็ดถู รวมไปถึงการซักเสื้อผ้าให้คุณบรรจบ ต่อมาระยะหลังคุณบุญตามักกลับบ้านค่ำมืด หรือบางคืนก็ไม่กลับเลย คำที่อ้างกับน้ำริน “ฉันไปคลายเครียดมันเสียหายยังไง ก็แค่สังสรรค์กับเพื่อนกลุ่มธุรกิจขายตรง เงินเดือนค่าจ้างของเธอพี่จบเขาก็จ่าย กับข้าวในตู้เย็นก็เต็มเอี๊ยด จะเอาอะไรกับฉันอีก”

                แต่สิ่งที่น้ำรินมาเล่าให้ผู้เขียนเข้าใจ “หัวหน้าจบ ยังไงเขาก็อยากให้เมียอยู่ติดบ้านบ้าง ช่วงหลังนี่หนูเห็นท่านตาแดงๆ อยู่บ่อยๆ ก็สงสารท่าน บางทีหนูกับพี่พลก็ต้องนอนเฝ้าท่านเพราะตาเขาไม่หลับ” หากเมื่อถูกคุณจบเธองอนๆ บ้าง ภรรยาถึงอยู่ติดบ้านที

                หากแต่ละวรรคตอน บุญตามักจะถือวิสาสะกอดคอตบไหล่อำพลเมื่อพูดคุยถึงตอนที่สนุกสนาน แม้ภาพจะไม่งาม แต่คุณจบผู้สามีก็แอบพูดคุยกับน้ำริน “อย่าไปถือสาแม่ตาเลยน้ำรินเอ๊ย ยังไงก็เพื่อนเก่าที่รักกัน อยู่ในบ้าน เราเห็นเขาดีกว่าให้ไปซ่กๆ กับที่อื่น ถ้าฉันตาย ของทุกชิ้นในบ้านก็ยกให้เธอทุกคน แม้ไม่ได้เป็นญาติ แต่ก็รักยิ่งกว่าพี่กว่าน้อง ส่วนแม่ตานั้น คงเป็นกรรมของฉันที่หลงรักเขาตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งวันนั้นรักเขาอย่างไร วันนี้ก็คงรักอยู่อย่างนั้น”

                น้ำรินมากระซิบเล่าในคำพูดของหัวหน้าบรรจบให้ผู้เขียนฟัง ขึ้นชื่อว่าผู้หญิง ต่อให้แสนจะเรียบร้อย แต่เมื่อชีวิตเริ่มเข้าตำรา ‘เพื่อนเราแอบเผาเรือน’ ย่อมไม่มีใครยอมได้ “หัวหน้าบรรจบพูดจาแปลกมากค่ะ คล้ายจะให้พี่พลกับบุญตาลงเอยกัน ท่านอยากให้บุญตาอยู่ใกล้ๆ ท่าน แต่ทำไมต้องมาบงการชีวิตครอบครัวของหนูด้วย”

                เมื่อถามว่าคุณพลคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ “พี่เขาอึดอัดใจเป็นทุนอยู่แล้ว ที่ต้องเข้านอกออกในบ้านหัวหน้า จนเพื่อนร่วมงานเย้าแหย่ แถมวันดีคืนดีบุญตาก็แวะซื้อข้าวไปให้ หนำซ้ำเมื่ออยู่ในครัวกันสองต่อสอง ก็แกล้งจับก้นบีบนมพี่พลเล่น ที่พลมาเล่าให้ฟังทุกเรื่อง ถ้าไม่คิดว่าหัวหน้าท่านเคยมีพระคุณกับเราก็คงไม่กลับไปดูแลท่านอีก”

                ขณะที่สองครอบครัวกำลังมีปัญหาคลื่นใต้น้ำกันอยู่ หากแล้วในค่ำคืนของวันอาทิตย์ที่ 23 มิ.ย. 56 เป็นคืนที่พระจันทร์เต็มดวง คุณอำพลโทรศัพท์มาหาในกลางดึกด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก “จู่ๆ รินก็มีเลือดออกปากออกจมูกครับ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล” แล้วเขาก็ขยายความ “พระจันทร์คืนนี้กลมโตสวยมาก ก็เรียกรินให้ลุกจากที่นอนมาถ่ายรูป เขาปกติดีทุกอย่าง แต่พอพ้นชายคาบ้าน รินก็ร้องกรี๊ด ชักเกร็ง มันเร็วมาก เมื่อมีสติก็โทร.ไปบ้านหัวหน้า แล้วก็โทร.หาพี่”

                เมื่อกล่าวกับคุณอำพลว่าจะไปเยี่ยมน้ำรินแต่เช้า คุณบุญตาก็โทร.เข้ามา “พี่นอนรึยังคะ รินเขาเข้าโรงบาลแน่ะ เห็นพี่พลโทร.บอกพี่จบ ไม่รู้จะโรคอ้อนผัวรึเปล่า เพราะพักหลังๆ มานี้ ไม่รู้รินจะอะไรนักหนากับตา เอาแต่คอยหึงพวงพี่พล ก็โถ…พี่ก็เห็น คนกันเองทั้งนั้น ตาก็สนิทกับทุกคน”

                คืนนั้นดูคุณตาไม่ใส่ใจต่ออาการป่วยเฉียบพลันของเพื่อนเก่า “เนี่ย…เชื่อได้เลย ถ้าออกโรงพยาบาลก็คงบ้ากว่าเก่า รับรอง!” ก็งงที่คุณตาทำไมพูดจาว่าเพื่อนได้เพียงนี้ เพราะเท่าที่น้ำรินเข้าไปดูแลคุณจบ ซึ่งเธอจะปฏิเสธก็ได้ แต่เธอเป็นคนดีจึงยอมให้บ้านตัวเองรก แต่กลับมาทำงานให้บ้านเพื่อนด้วยใจ

                รุ่งเช้า เมื่อเดินทางถึงโรงพยาบาล คุณรินเพิ่งออกมาจากห้อง ICU มาอยู่ห้องพิเศษ สายวันนั้นได้เจอมารดาคุณพลที่เดินทางมาจาก จ.ปัตตานี เมื่อพบร่างลูกสะใภ้ นางพูดได้คำเดียว “น้ำรินเขาโดนทำ” ซึ่งคุณแม่เล่าว่าลูกสะใภ้โทรศัพท์มาเล่าเมื่อวันก่อน “แม่ หนูเป็นอะไรไม่รู้ อยู่ๆ ก็หงุดหงิด ใจร้อน อยากด่าคน โดยเฉพาะพี่พล รินเกลียดเขา อยากกระทืบ อยากทุบ อยากตี ปกติลูกสะใภ้จะเป็นคนพูดน้อย พูดช้า แต่นี่มันเจ้าโทสะมาก เหมือนไม่ใช่ตัวเขาเอง นี่ดีนะที่แม่พกน้ำมนต์ของหลวงพ่อทวดติดมาด้วย ตระกูลแม่ผูกพันอยู่กับวัดช้างให้ตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า ถ้าลองไม่ใช่โรคเวรโรคกรรมแล้ว หลวงพ่อทวดท่านเมตตาทุกคน รินมันคงโดนของมานานเหมือนกัน พอวันพระใหญ่ของจึงแรง เข้าตัวจนกระอักเลือด”

                แล้วคุณแม่ก็นำถุงน้ำมนต์เทใส่ขัน ท่องคำภาวนา ก่อนปะพรมน้ำมนต์ไปทั่วร่างน้ำริน ครั้นเมื่อลุกขึ้นนั่งได้ นางก็ให้ลูกสะใภ้ดื่มน้ำมนต์จนหมดขัน แล้วไม่นานเธอก็อาเจียน มีเศษผ้าสีขาวคล้ำเป็นริ้วสองชิ้นติดอาเจียนออกมา ส่วนกลิ่นนั้นเหม็นเน่าคละคลุ้ง ตอนนั้นตกตะลึงมากว่าผ้าสองริ้วนั้นเข้ามาอยู่ในท้องน้ำรินได้อย่างไร

                แม่รีบคว้ากระโถนเข้าห้องน้ำทันที เมื่อออกจากห้องน้ำ เหงื่อเม็ดเล็กใหญ่ผุดเต็มใบหน้าท่าน “โอ้! ของมันแรงมาก ขนาดอยู่ในเว็จของต่ำมันยังดิ้นได้ ต่อไปรินเอ๊ย…จะกินจะอยู่เราต้องระวัง แค่เขารู้ชื่อแซ่ มีรูปถ่ายก็ทำเราได้แล้ว คนรักๆ กันนั่นล่ะตัวดี ลองบทไม่ชอบหน้ากัน มีความอิจฉาริษยา มันทำได้ทุกเรื่อง แม่รินนี่ไม่ค่อยทันใครเขาหรอก…”

                “แล้วเพื่อนสนิทเขาที่ตัวดำๆ แต่ใส่ทองใส่เพชรเต็มตัวนั่นแหละ กดน้ำรินมันเสียอยู่ ไม่รู้คบกันมาได้ยังไงเป็นสิบๆ ปี ถูกเขาใช้ให้ทำนั่นทำนี่ก็ทำ ส่วนของที่เขาโดนนี่ ดีไม่ดีแม่ว่านะ ถ้าคนทำมันไม่ระวังตัว ไม่ทำกันของคืน รับรองไม่เกิน 3 วันเข้าตัวแน่ๆ” ที่คุณแม่กล่าว น้ำรินได้แต่นอนฟังเงียบๆ ตามวิสัยของเธอ

                28 มิ.ย. 56 ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ แรงจูงใจนั้นคือข่าวคุณบุญตาล้มป่วย นอนซมด้วยพิษไข้ ใครพูดอะไรเหมือนไม่รู้ความ เป็นคุณบรรจบที่โทร.มาเล่าเรื่องภรรยา “ตาเขาซมพิษไข้มาสองเดือนแล้ว น้ำก็ไม่อาบ ลุกได้นิดหน่อยก็ล้มตัวนอนต่อ เฮ้อ ทางฟากโน้นอาการก็เพิ่งจะดีขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนผมกันรึเปล่า เวรกรรมผมคงยังไม่หมด!” คุณบรรจบเล่าด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. Ai


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •