30 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

            เรื่องนี้เกิดจากประสบการณ์โดยตรงจากคนในครอบครัวดิฉัน เริ่มจากใน 20 ปีก่อน อาสะใภ้ของดิฉัน ขอเรียกเธอว่าอานิด ซึ่งอานิดได้จากโลกนี้ไปด้วยอายุเพียง 40 ปีต้นๆ เท่านั้น

            คุณอานิดจากโลกนี้ไปด้วยโรคหัวใจกำเริบ ส่วนคุณอาปาน สามีเหมือนจะทำใจต่อการจากไปของภรรยา เนื่องจากระยะหลังก่อนอาสะใภ้จะจากไป อานิดเข้าออกโรงพยาบาลเปาโลเป็นว่าเล่น

            ระหว่างงานพิธีศพของอานิด จากที่คุณอาทั้งสองท่านได้ทำงานธนาคารสำนักงานใหญ่ จึงทำให้มีแขกเหรื่อไปร่วมงานศพของอานิดมากมาย โดยงานศพจัดขึ้นที่วัดไผ่ตัน ย่านสะพานควาย (ส่วนบ้านของอานิดอยู่ย่านสุทธิสารค่ะ)

            ทั้งนี้ช่วงระหว่างงานศพ ได้มีกำหนดสวดพระอภิธรรมรวม 7 วัน โดยขณะนั้นทางวัดได้จัดการปิดศาลาในเวลา 4 ทุ่ม เมื่อแขกเหรื่อญาติพี่น้องได้เดินทางกลับ จึงเหลือเพียงสัปเหร่อ ภรรยาสัปเหร่อซึ่งก็คือคุณป้าแม่ครัว ได้ถูกว่าจ้างให้เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อย เช่น การจุดธูป ต่อธูป บอกกล่าวดวงวิญญาณ เตือนสติว่าคุณอา…ได้จากโลกนี้ไปแล้ว

            ซึ่งเมื่อถึงวันฌาปนกิจ ความที่คุณแม่ของดิฉันเริ่มจะสนิทสนมกับคุณป้าแม่ครัว อยู่ๆ คุณป้าแม่ครัวได้เรียกคุณแม่มานั่งพูดคุย โดยช่วงหนึ่งคุณป้าเล่าเบาๆ

            “เหมือนดวงวิญญาณคนตายเค้าไปไม่สงบนะคุณ เหตุเพราะฉันเห็นเธอมานั่งร้องไห้ที่ข้างโลงทุกคืน เห็นจนครบ 7 วัน ที่ว่าคุณเธอเค้าตายนั้น เป็นโรคหัวใจจริงหรือคะ?”

            คุณแม่ได้ตอบไปว่า…คุณอานิดเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่สาวๆ แล้ว ซึ่งเมื่อแต่งงานกับอาปาน ทำให้เธอไม่สามารถมีบุตรด้วยกันได้ แต่คุณอาทั้งสองคนท่านรักใคร่ดูแลกันดี คงเป็นช่วง 3 วัน 7 วันเท่านั้นที่วิญญาณไม่รู้ตัว!

            หลังจากเมื่อเผาร่างแล้ว วิญญาณคงเดินทางไปตามบุญกรรมที่ตนทำมา

            “ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ ที่ฉันถามนั้นเพราะคิดว่าเธอเสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่น เช่น มีอุบัติเหตุทำให้ตกใจก่อนตาย! ฉันดูเธอเฮี้ยนเอาการ จากประสบการณ์ที่เคยนอนเฝ้าศพ เรื่องนี้แฟนฉันที่เป็นสัปเหร่อถึงกับเอ่ยปากบอกสงสาร ดูเธออาลัยอาวรณ์กับโลกนี้ มีอาการห่วงใยหลงเหลืออยู่มาก ส่วนแฟนคนตายนั้น เห็นแฟนฉันพูดว่าก่อนเดินพ้นศาลา ทุกครั้งขากลับเค้าวางเงินเหรียญไว้เพื่อซื้อที่ให้วิญญาณอยู่ที่วัด ไม่ให้ตามกลับบ้าน”

            ทั้งนี้คุณแม่บอกว่า แม่เป็นเพียงพี่สะใภ้ของอาปาน ไม่ค่อยรู้กับเรื่องในครอบครัวของเขานัก

            กระทั่งถึงช่วงฌาปนกิจผ่านพ้นไป ความที่คุณอานิดเธออยู่ในแวดวงสังคม ต้องพบปะผู้คน ทำให้ชุดลำลองของคุณอานิด ทั้งชุดที่ตัดแล้วสวมใส่แค่ครั้งสองครั้ง กับชุดผ้าชีฟองที่ยังไม่ได้สวมใส่เลยก็มี รวมๆ แล้วนับร้อยชุดเลยนะคะ ซึ่งเมื่องานศพผ่านไปได้ไม่กี่วัน คุณอาปานได้เอ่ยปากบอกคุณแม่ฉันในเวลานั้น

            “พี่ขนทุกอย่างไปให้หมดเลยนะครับ เสื้อผ้า ข้าวของทุกชิ้นของนิด พี่เอาไปเลย ไปแจกจ่ายใครก็ได้ ข้าวของเครื่องใช้กระจุกกระจิก เสื้อผ้ารองเท้านั่น”

            ส่วนคุณแม่ได้ย้อนถามอาปาน “ทำไมไม่เก็บของสำคัญเอาไว้ดูต่างหน้าบ้าง หรือว่ากลัวอะไร?”

            อาปานตอบเพียงว่า…เค้าได้เก็บของอานิดไว้แต่พวกเครื่องประดับที่มีค่า เพราะส่วนหนึ่งถือว่า…เป็นเงินของเขาเหมือนกัน ซึ่งฟังแทบไม่เชื่อหูตนเองค่ะ

            สุดท้ายเมื่อทำบุญกระดูกอานิดแล้วเสร็จ ครอบครัวฉันต้องเป็นฝ่ายขนข้าวของของอานิดมาเก็บไว้ที่บ้าน (ซึ่งผู้เขียนลืมเล่าไปว่า อานิดนั้นเธอเป็นบุตรบุญธรรมของครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเมื่อสิ้นคุณพ่อคุณแม่บุญธรรมที่เลี้ยงดูมา เธอเปรียบเสมือนคนที่ไม่มีญาติพี่น้อง และโดยความสัมพันธ์ส่วนตัว อานิดจะสนิทกับแม่ดิฉันมาก)

            หากทว่าความลับไม่มีในโลกนั้นเป็นเรื่องจริงค่ะ เนื่องจากไม่พ้นงานทำบุญร้อยวัน อาปานได้พาผู้หญิงทำงานที่เดียวกันเข้ามาอยู่ร่วมชายคาบ้าน และแน่นอนว่าผู้หญิงคนนี้ย่อมรู้จักกับอานิดเป็นอย่างดี เพราะทำงานในองค์กรเดียวกัน

            เรื่องราวเหล่านี้ทำเอาคุณพ่อดิฉันถึงกับอึ้ง พูดอะไรไม่ออก ส่วนของอาปานนั้นได้ขึ้นชื่อเป็นน้องชายคนสุดท้องที่คุณย่าโอ๋ตามใจมาก ยิ่งเขารวบรัดพาผู้หญิงเข้าบ้านได้รวดเร็วอย่างนี้ เชื่อว่าทั้งสองคนคงมีใจให้กันมานานแล้ว

            โดยตัวดิฉันขณะนั้นอายุ 20 ปีกว่าๆ ได้ฟังคุณพ่อคุณแม่พูดคุยเรื่องราวให้พอปะติดปะต่อเรื่องได้ว่า ก่อนอานิดจะมีอาการโรคหัวใจกำเริบ เธอได้พบเจออะไร อยู่ในสถานการณ์ไหน ถึงได้ตกใจสุดขีด! จนหัวใจวายตาย เป็นไปได้ทั้งนั้นค่ะ

            และจำได้ว่าภายในชั่วเวลาไม่ถึงเดือน คุณอาปานก็ได้ขนเตียงนอนมาขอเก็บฝากไว้ที่บ้านฉันอีก อ้างว่าได้ซื้อเฟอร์นิเจอร์เครื่องนอนเข้าบ้านใหม่ หากก่อนกลับ อาปานได้เอ่ยขึ้นว่า “สำหรับเตียงนอน พี่จะยกให้ใครก็ให้ไปเลยก็ได้ ถ้าคนคนนั้นไม่กลัว” อาปานหยุดคำพูดไว้เท่านี้

            และความที่บ้านดิฉันเป็นบ้านต่างจังหวัด (สุพรรณบุรี) เมื่อคุณพ่อเห็นเป็นเตียงไม้สักอย่างดี จึงยกเตียงไม้หลังดังกล่าวไปตั้งไว้ที่บริเวณหน้าบ้านใต้ร่มมะขามเพื่อนอนเล่นในเวลากลางวัน (เมื่อกลับมารับประทานอาหารกลางวันที่บ้านในมื้อเที่ยง และต้องเดินทางไปทำงานต่อในช่วงบ่าย)

            หากเมื่อถึงเวลาตื่นนอน คุณพ่อมักจะลืมตาไม่ขึ้น โหยหาการนอนหลับเป็นอย่างมาก…ส่วนในช่วงบ่ายของวันหยุด บางวันคุณพ่อได้นอนหลับบนเตียงเลยไปจนถึงเวลาย่ำค่ำ เมื่อถูกคุณแม่เรียกปลุกให้ตื่นนอน เสมือนท่านตกใจว่าทำไมเวลาถึงได้ผ่านไปรวดเร็วนัก เหมือนเพิ่งล้มตัวนอน

            ซึ่งเมื่อคุณพ่อลุกจากเตียงเดินเข้าบ้าน ความเงียบกริบเข้ามาแทนที่ทันที…เสียงจักจั่นเรไรที่ก่อนนั้นเคยร้องรำไร กลับย้ายเสียงไปร้องที่ดงมะม่วงหลังบ้านแทน ด้วยเหตุผลจากคำพูดของคุณแม่ที่แอบเล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่แม่เกิดมาจนอายุ 60 ปี เพิ่งได้เห็นนกฮูก นกเค้าแมวตัวเป็นๆ ก็คราวนี้…

            ด้วยช่วงกลางดึกราวตีสอง ตีสาม นกพวกนี้จะส่งเสียงร้องครางเหมือนคนกำลังหนาวสั่น ฟังเสียงครั้งใด ไม่สบายใจก็คราวนั้น รู้สึกใจคอไม่ดี!

            ความที่คุณแม่เป็นคนตักบาตรพระหน้าบ้านทุกเช้า วันหนึ่งหลวงตาที่เดินมารับบาตรได้เอ่ยทัก “ว่างๆ ให้ครอบครัวไปรดน้ำมนต์ที่วัดบ้างก็ดี”

            ความที่คุ้นเคยกับหลวงตาท่าน แม่ถามหลวงตากลับไป “มีอะไรหรือเจ้าคะ” หลวงตาตอบสั้นๆ “มี แต่ฉันไม่พูด”

            ซึ่งวันเดียวกันนั้น ที่คุณพ่อคุณแม่รวมถึงตัวฉันได้ไปกราบหลวงตาถึงกุฏิ ประโยคแรกที่หลวงตาท่านพูดนะคะ “เราเป็นแค่ญาติ ไปรับของคนตายมาเก็บไว้ทำไม ทีลูกผัวเขายังไม่สนใจ แล้วเราน่ะ…เป็นใครกัน”

            เป็นคุณพ่อนะคะที่จับประเด็นได้ก่อนใคร “ปานมันเป็นน้องไงครับท่าน มันขอฝากให้เก็บอะไร ผมก็เก็บไว้”

            “เออ! รู้ใจแต่คนเป็นนะ ไม่ยักรู้ใจคนตาย เคยถามเค้ามั้ย เค้าอยากอยู่ที่บ้านโยมรึเปล่า?”

            วันนั้นจำได้คร่าวๆ ว่าหลวงตาให้คุณพ่อนำของของอานิดทุกอย่างถวายเป็นทานแก่คนทั่วไป ไม่ให้เก็บไว้ในบ้าน ส่วนคนไหนที่รับของอานิดไปแล้ว ให้ทำบุญกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้อานิด บอกกล่าวชื่อ นามสกุลของคุณอาให้รับอนุโมทนา และต้องบอกด้วย คนทำบุญให้เป็นใคร ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ต้องตามทวงหนี้กันไปถึงชาติหน้า

            ซึ่งภายในสองวันจริงๆ ค่ะ ที่สมบัติเครื่องใช้ส่วนตัวของอานิดเกลี้ยงบ้านฉันเลย ส่วนนกฮูก นกเค้าแมวไม่ได้มาเกาะที่เตียงนอนเล่นอีกต่อไป เพราะยกให้เพื่อนบ้านไปหมดแล้ว

            ทั้งนี้ในคืนที่สองดังกล่าวนั้นเอง ขณะที่ฉันนอนอยู่บนเรือน ได้ยินเสียงลอยมาตามลม เรียกชื่อคุณแม่ว่า “พี่สมศรี พี่สมศรี”

            ส่วนบริเวณชั้นล่างที่คุณพ่อคุณแม่นอน (มาเล่าสู่กันฟังภายหลัง) เป็นเสียงเดินและเหมือนเป็นเสียงอะไรขูดกับฝาผนังทั้งคืน ทั้งพ่อและแม่ไม่เป็นอันข่มตานอนจนฟ้าสาง…

            ซึ่งเมื่อคุณแม่ตื่นนอน เดินสำรวจดู พบว่าเป็นหวีอันใหญ่ของอานิดตกอยู่ที่ข้างบ้าน และเมื่อแม่เก็บหวีอันนั้น ลองเดินขูดฝาผนังบ้านดู มันใช่เสียงเดียวกับเสียงที่รับฟังมาตลอดคืน!

            ส่วนพ่อของฉันได้ดุแม่ว่า “เธอเก็บของน้องนิดไว้ทำไม ในเมื่อหลวงตาบอกว่าต้องให้ทานไปให้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง”

            หากคุณแม่ได้อธิบายว่า หวีเล่มนี้อาจตกหล่นตอนที่เคลื่อนย้ายของก็เป็นได้ และเรื่องดังกล่าวทำให้รับรู้ได้ว่า…วิญญาณมีอยู่จริงเทียวล่ะค่ะ แม้คุณอาสะใภ้จากโลกนี้ไปนานนับปี แต่ดวงวิญญาณคงวนเวียน เสมือนดังว่าท่านห่วงหวงอะไรสักอย่าง ซึ่งคงจะไม่พ้นอาปาน สามีที่เธอรักและผูกพันมากที่สุด

            ชีวิตผู้คนต้องดำเนินต่อ ระหว่าง 10 ปีที่ผ่านมา ดิฉันต้องสูญเสียคุณพ่อและคุณแม่ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งทั้งสองงานนี้ไม่มีอาปานเดินทางมาร่วมงานแต่อย่างใด

            ทั้งนี้ก่อนที่คุณพ่อท่านจะจากไปด้วยโรคมะเร็ง คุณพ่อเคยบ่นเปรยถึงอาปานว่า…ขายบ้านที่สุทธิสารได้เงิน 7-8 ล้านบาทก็ไม่ได้ใช้เงิน เหตุเพราะเมียพาไปซื้อที่ดินที่ต่างจังหวัด บ้านเดิมของฝ่ายหญิง ถ้าเมียคนนี้มีนิสัยใจคอเหมือนอานิด พ่อจะไม่เป็นห่วงคุณอาเลย…

            ซึ่งเมื่อคุณพ่อได้จากโลกนี้ไป สิ่งที่ท่านเคยพูดเอาไว้เป็นความจริงที่สุด โดยเมื่อต้นปี 2561 ที่ผ่านมานี่ล่ะค่ะ…อาไก่ ภรรยาใหม่ของอาปาน เธอได้โทรศัพท์มาถามไถ่ความเป็นอยู่ของฉัน และได้ขอความเห็นว่า

            “เธอเป็นหลานแท้ๆ ของอาปาน ไม่คิดที่จะเอาอาปานไปดูแลบ้างหรือ ตอนนี้เค้านอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลนะ”

            เมื่อดิฉันถามถึงอาการของคุณอา

            “เธอไม่รู้หรือ อาของเธอน่ะ เค้าเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง เรียกว่ากินเหล้าจนหลอน และตอนนี้ฉันก็ไม่อยากดูแลเค้าแล้วด้วย เอาอย่างนี้ หากเธอคิดได้ว่าอาเป็นน้องแท้ๆ ของพ่อเธอ เธอมาเยี่ยมเค้าบ้างก็ได้ หรือมารับไปอยู่ด้วยก็ดี ตอนนี้ฉันเองก็แก่แล้ว ต่างคนต่างแก่น่ะนะ”

            ทั้งนี้โรงพยาบาลดังกล่าวนั้น เป็นโรงพยาบาลของอำเภอหนึ่งใน จ.ชลบุรี จนฉันมีเวลารวบรวมเงินค่ารถได้ จึงเดินทางไปเยี่ยมคุณอาที่ตึกจิตเวช อาคารผู้ป่วยชาย ทันทีที่เห็นคุณอา ภาพแรก…ฉันมองผ่านเลยไป คิดว่าเราขึ้นมาผิดตึก

            คุณอาอายุเพียง 80 กว่าปีเท่านั้น ส่วน 4 เตียงดังกล่าวมีแต่ผู้ป่วยสูงอายุทุกคน นอนเรียงกัน 1, 2, 3, 4 กระทั่งคุณพยาบาลได้ยืนยันว่าเตียง 4 นั่นล่ะ คือคุณอาปานที่นอนรักษาตัว

            ภาพที่เห็นคือชายแก่ผิวขาวและมีเพียงเนื้อหนังหุ้มติดกระดูก และทันทีที่ทราบว่ามีคนมาเยี่ยม อาปานร้องไห้โฮ พูดว่า “นิดให้อภัยพี่ นิดกลับมาแล้วใช่ไหม นิดมารับพี่ไปอยู่ด้วยใช่ไหม”

            เมื่อฟังคำพูดของอาปานพูดถึงภรรยาคนแรกคืออานิด ตอนนั้นดิฉันเข้าใจว่า…อาปานคงคิดถึงอานิดมาก แต่… “พี่ไม่น่าทำร้ายจิตใจนิดเลย พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ”

            ระหว่างนี้คุณพยาบาลได้อธิบายว่า…ตั้งแต่คนไข้มารักษาตัวด้วยอาการทางจิต คนไข้มักจะพูดถึงคนชื่อนิดตลอดเวลา ทั้งพูด ทั้งเพ้อ และมีพฤติกรรมคล้ายอยากสารภาพอะไรบางเรื่อง

            ส่วนภรรยาของผู้ป่วย เมื่อสอบถามประวัติของผู้ป่วยว่ามีความเป็นมาอย่างไร ติดสุรามากี่ปี เธอก็เลี่ยงที่จะตอบคำถาม โดยทุกวันนี้เธอได้แต่โทรศัพท์มาสอบถามค่าใช้จ่ายของคุณอาและให้คนเดินทางมาดูแลค่าใช้จ่ายในรุ่งขึ้นของอีกวัน ซึ่งตัวเธอไม่ได้เดินทางมาที่โรงพยาบาลเอง

            คุณพยาบาลพูดอธิบายประมาณนี้ และเมื่อเจ้าหน้าที่ตึกทราบว่าดิฉันเป็นหลานแท้ๆ ของคุณอา ตัวดิฉันต้องพูดคุยกับแพทย์เจ้าของไข้ของคุณอา พร้อมเล่าถึงอดีตที่ผ่านมาให้คุณหมอรับฟังอย่างไม่เข้าข้างใคร

            ซึ่งเมื่อออกมาจากห้องพบแพทย์ เห็นว่าคุณพยาบาลสองคนกำลังพูดคุยกันเบาๆ ต่อมาคุณพยาบาลท่านหนึ่งที่อาวุโสสูงสุดได้เชิญดิฉันไปนั่งคุยที่ระเบียงด้านข้างตึก พร้อมยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้ดู ก่อนเอ่ยขึ้น

            “คืนนั้นดิฉันมาขึ้นเวรดึก ประมาณตีสอง ได้มีเสียงกดออดขอความช่วยเหลือจากเตียง 4 ดิฉันเห็นคุณอาของคุณจดบันทึกในยามที่เขาสติสัมปชัญญะกลับมาเหมือนทุกครั้ง…จึงถามออกไปว่าคนไข้ต้องการอะไรในเวลานี้ และเขายื่นกระดาษแผ่นนี้ให้ดิฉันเก็บไว้”

            “ตอนนั้นดิฉันกำลังจะอ้าปากดุเค้า แต่เมื่อสบตาคนไข้ นัยน์ตาเค้าไร้แวว เหมือนไม่ใช่ดวงตาคนอย่างเราๆ และกระดาษแผ่นนั้นฉันได้เก็บไว้เพื่อรอญาติ หรือภรรยาเค้ามาเยี่ยม คุณลองเปิดอ่านดูเถิดค่ะ”

            เมื่อดิฉันคลี่กระดาษเปิดออกอ่าน เป็นลายมือที่คุ้นตาเขียนว่า “22 พฤศจิกายน จะรับพี่ปานกลับบ้าน รอนะคะคนดี”

            ขณะที่เขียนเรื่องนี้ คือวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ฉันคิดเรื่องของคุณอา นึกทบทวนไปมา คุณอาปานอาจมีส่วนทำให้อานิดจากโลกนี้ไปก็เป็นได้ ด้วยเหตุผล เพราะหลังจากวันที่ฉันเดินทางไปเยี่ยม หรือผู้หญิงคนไหนเดินเข้าใกล้เตียง 4 ที่อาปานนอนป่วย คุณอามักจะยกมือขอโทษ พูดสำนึกผิดต่างๆ นานา โดยเรียกผู้หญิงที่เห็นนั้นว่าอานิดเสมอๆ ค่ะ

            ก่อนจบเรื่องนี้ สิ่งใดที่ดิฉันคิดและเขียนด้วยข้อมูลที่อาจคลาดเคลื่อน เพราะมิได้เป็นตัวอาปาน อานิด และอาไก่ ตัวดิฉันไม่สามารถเข้าไปนั่งในความคิดของใครได้ ต้องขออโหสิกรรม และกราบขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้

            อย่างไรก็ดี เมื่อเล่าเรื่องดังกล่าวสู่ครูบาอาจารย์ทางธรรม ทุกท่านตอบไปในทิศทางเดียวกัน…การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเสมือนล้อเกวียนที่หมุนตามรอบของมัน ไม่ว่าบุคคลนั้นเป็นคนดีหรือคนไม่ดี ทุกคนไม่สามารถเลี่ยงความตาย…ในเมืองมนุษย์ได้ เพราะเป็นสัจธรรมของทุกชีวิต

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. Ai


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •