26 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                เรื่องนี้ต้องขอย้อนกลับไปใน 40 กว่าปีก่อน ขณะนั้นผู้เขียนมีอายุเพียง 10 ขวบ พร้อมได้เข้าร่วมพิธีศพของพี่สาวลูกของป้า ที่เธอเสียชีวิตด้วยการเป็นไข้ทับระดู มีอาการจับไข้ตัวร้อนแต่มือเท้าเย็น พี่รำไพมีอาการไข้สูงนาน 3 คืนก่อนจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 17 ปีเท่านั้น

                ทั้งนี้ระหว่างพิธีฌาปนกิจศพ ซึ่งต้องเข็นร่างพี่สาวเดินวนรอบเมรุ 3 รอบ โดยตัวผู้เขียนเป็นผู้ถือดวงตะเกียงที่ตั้งไว้หน้าศพเดินนําหน้าร่วมกับญาติพี่น้อง ซึ่งจำไม่ได้ว่าที่ต้องถือดวงตะเกียงใครขอร้องให้ถือนะคะ เหตุเพราะหลังจากงานศพพี่รำไพผ่านไป ผู้เขียนก็เริ่มมีอาการเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตามมา บางคราวก็เห็นในเรื่องที่ไม่ควรเห็น แล้วเก็บเรื่องต่างๆมาเล่าให้พ่อแม่ฟัง

                ท้ายที่สุดพ่อได้พาเข้าวัดเพื่อให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์เรียกขวัญให้กลับมา พร้อมกับคำพูดที่หลวงพ่อท่านย้ำหนักหนา “หากไม่ใช่พ่อแม่ญาติพี่น้องตาย ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องไปงานศพใคร…เพราะเขาจะตามมาง่าย ทั้งญาติและไม่ใช่ญาติ!” ผู้เขียนรู้เพียงแค่นี้ แต่ภายหลังเมื่อเติบใหญ่ มีสังคมคบหากับผู้คน เมื่อสังเกตตัวเอง ไม่ว่าจะเข้าร่วมพิธีศพใครก็ตาม ขากลับต้องเตรียมใจนอนเป็นไข้ได้เลย อย่างน้อย 1-2 วัน เมื่อรู้สภาวะตนเองว่าเป็นอย่างนี้ เมื่อมีใครบอกข่าวการตายของบุคคลใด ก็ได้แต่ใส่ซองทำบุญน้อมจิตใจขออโหสิกรรมแก่ผู้วายชนม์ พร้อมปลงใจว่าจบไปอีกหนึ่งภพชาติ

                สำหรับเรื่องที่จะเขียนถึงนี้เกิดขึ้นมาจากงานศพเช่นกัน เรื่องมีอยู่ว่า ช่วงค่ำของวันเสาร์ที่ 4 ส.ค. 61 ซึ่งตรงกับวันพระ เมื่อกลับจากวัดตอนช่วงบ่าย ราว 1 ทุ่มตรงเพื่อนบ้านที่อยู่รั้วติดกันก็มาเรียกพร้อมของฝาก เป็นปลาดุกทอดขมิ้นเหลืองกรอบใส่กล่องมาเต็มกล่องทีเดียว ปกติเราสองบ้านมีของฝากถึงกันบ่อยจึงไม่ได้ถามถึงที่มาที่ไปของของฝาก เพราะปกติพี่คนนี้แกชอบทำกับข้าวมาแลกสู่กันกินกับผู้เขียนบ่อยครั้ง

                และคืนนั้นทั้งคืน ผู้เขียนเริ่มมีอาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวจรดเช้า วันอาทิตย์ได้นอนจับไข้ทั้งวัน ตกตอนเย็นเพื่อนอีกคนที่อยู่ห่างจากบ้านผู้เขียนราว 2 กิโลเมตรได้เดินทางมาเที่ยวหา เมื่อเห็นอาการก็ตกใจ จึงเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน หากทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อยู่ในหนึ่งในสามจังหวัดชายแดนใต้ เคสการเจ็บป่วยธรรมดาๆ จึงถูกปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล อ้างว่าติดภารกิจ…ท้ายที่สุดต้องไปเคาะเรียกเจ้าหน้าที่อนามัยใกล้บ้านที่รู้จักกันเพื่อขอยารับประทาน

                หากตอนนั้นเมื่อนอนวัดไข้จากปรอท ไข้สูงถึง 40 องศา เจ้าหน้าที่อนามัยเลยขอให้ผู้เขียนนอนดูอาการบนสถานีอนามัยไปก่อน เนื่องจากผู้เขียนอาศัยอยู่ตามลำพัง ขณะนั้นจึงให้เพื่อนที่มาส่งเดินทางกลับไปก่อน อย่างไรเราก็อยู่ใกล้หมอแล้ว

                สำหรับสถานีอนามัยหรือปัจจุบันเรียกว่าโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้นี้ เมื่อเจ็บป่วยเป็นไข้ฉุกเฉินสามารถเดินทางมาเรียกหมอพร้อมตรวจรักษาได้ถ้าอาการไม่หนักจนเกินไป กระทั่งเวลา 4 ทุ่ม อาการไข้ก็ยังไม่ลง คุณหมอหญิงที่มีชื่อเล่นๆ ว่ามดแดง ได้ขอให้นอนดูอาการอยู่ที่เตียงคนไข้ไปเรื่อยๆ ก่อน…โดยเธอจะเดินไปมาระหว่างที่ทำงานกับบ้านพักที่อยู่ด้านหลังนี่ล่ะ หากซึ่งเมื่อไฟฟ้าของสถานีอนามัยเปิดสว่าง กลับมีคนไข้มาขอยาลดไข้ปวดท้องปวดหัวไม่ขาดช่วง

                ระหว่างที่คุณหมอมดแดงนั่งตรงหน้าคอมพิวเตอร์จึงเอ่ยกับคุณหมอไปว่า รู้สึกเกรงใจที่หมอต้องมีภาระดูแลคนไข้ยามวิกาลเพิ่มเติม ซึ่งปกติที่หมู่บ้านผู้เขียนอาศัยถือเป็นชานเมือง ตกสองทุ่มถนนจะเงียบกริบ…จากนั้นผ่านเลยเวลาเที่ยงคืนไป หมอมดแดงเลยขนหมอน ขนที่นอนมานอนเป็นเพื่อนกับฉัน โดยก่อนนอนคุณหมอพูดปลอบใจว่า “หากพรุ่งนี้ตัวยังไม่เย็นลง หมอจะขับรถไปส่งที่โรงพยาบาลในตัวเมืองเองค่ะ ไม่ต้องกลัว ขอให้หลับให้สบายนะคะ สิ้นคำพูดจากคุณหมอ เสมือนว่ามีกำลังใจเพิ่มพูนมาก็เป็นได้นะคะ เพราะสมองได้ดำดิ่งหลับลงทันที แต่ทันใดนั้นกลับเหมือนว่าตัวเราได้ลืมตาตื่นขึ้น (หากในความจริงได้หลับฝันไป)

                ภาพแรกที่เห็นคือผู้หญิงมุสลิมนั่งหันหลังให้ เหมือนเธอกำลังอุ้มลูกอยู่ในอ้อมอก…เสียงดูดนมจากอกแม่ได้ยินถนัดชัดเจน….บางคราวสลับกับเสียงร้องอุแว้ อุแว้…เธอคงมารอหมอ ฉันคิด ภาพสลับถัดมาเป็นเด็กวัยรุ่นผู้ชายกำลังยืนเอามือกุมที่หน้าอกตัวเอง…และบริเวณหน้าอกของเขามีเลือดค่อยๆ ซึมไหลออกมา ในที่สุดเลือดแดงฉานได้ไหลท่วมเสื้อยืดที่เขาใส่ แม้รู้สึกตกใจกับภาพดังกล่าว แต่ต้องแข็งใจลุกจากเตียงนอนเพื่อตามหาหมอมดแดง เธอไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน?

                ระหว่างที่เดินตามหา ปากได้ร้องเรียก “คุณหมอ คุณหมอ” หากบริเวณสถานีอนามัยนั้นไม่มีแม้แต่เงาของคุณหมอ ใจหนึ่งคิดว่าคุณหมอเธอคงเดินไปฝั่งตรงข้ามกับสถานีอนามัยที่เปิดเป็นร้านค้าจิปาถะ ทันทีที่จะก้าวพ้นบันไดของสถานีอนามัยกลับได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อ“ พี่รัตน์ พี่รัตน์ ตื่นค่ะ ได้ยินที่หมอเรียกไหมคะพี่”

                ฉันสะดุ้งตกใจตื่นอีกครั้ง แสงแรกที่เห็นไม่ใช่แสงไฟยามค่ำคืน แต่เป็นแสงจากดวงอาทิตย์สาดส่องเข้าหน้าต่างส่องมาที่ตา เช้าแล้วหรือนี่ รู้สึกว่าไม่ได้นอนเลยเรา…ฉันคิด สำหรับคุณหมอมดแดงนั้นดูหมอโล่งใจที่ฉันรู้สึกตัว “หมอตื่นขึ้นมาเห็นพี่ยังตัวร้อน แต่มือเท้าเย็นเฉียบ รู้สึกตกใจเลยเรียกจนพากันตกใจหมด ต้องขอโทษด้วยนะคะ” ซึ่งคุณหมอพูดต่อไปว่า หากอาการของฉันยังไม่ดีขึ้นก็จะพาส่งโรงพยาบาลทันที ขอให้ฉันคิดตัดสินใจ จึงบอกคุณหมอ “ไปโรง’บาลก็ไปค่ะ พี่ยังไม่ดีขึ้นจริงๆ”

                เมื่อคุณหมอเช็ดหน้าให้จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เมื่อคืนคุณหมอคงไม่ได้นอนเลยใช่ไหม เพราะเห็นคนไข้หนักบาดเจ็บมาเลย เป็นเด็กวัยรุ่น เขาเป็นอย่างไรบ้าง เคสนี้รถโรงพยาบาลใหญ่คงมารับแน่ๆ เพราะเลือดท่วมตัว ว่าแต่น้องเค้าไปโดนอะไรมาคะ?”

                “เมื่อคืนพี่เห็นเหตุการณ์นี้หรือคะ?”

                “ใช่ค่ะ พี่เห็น อ้อ แล้วผู้หญิงอิสลามแม่ลูกอ่อนคนนั้นเป็นลูกหรือแม่คะที่ไม่สบาย รู้สึกเห็นใจคุณหมอจริงๆ ไหนจะต้องรับคนเจ็บกลางดึก ไหนจะเรื่องความปลอดภัยอีก! ต้องขอบคุณคุณหมอจริงๆ”

                คุณหมอมองหน้า สบตาดิฉันก่อนร้องถาม “พี่เห็นผู้หญิงมุสลิมแม่ลูกอ่อนอีกหรือคะนี่?”

                “อ้าว ก็เธอนั่งอยู่ข้างๆ ที่พี่นอน ทําไมจะไม่เห็นล่ะ…ว่าแต่ พี่กำลังร้องเรียกหาคุณหมอ” คิดได้แค่นี้รู้สึกว่าเจ็บที่หัวจี๊ดขึ้นมาก่อนที่จะหลับตานอนต่อไป และมารู้สึกตัวอีกคราวพบว่าตัวเองนอนอยู่ในห้องรวมหญิงของโรงพยาบาลประจำจังหวัด ฉันบอกกับตัวเอง คุณหมอมดแดงเธอได้มาส่งฉันเข้ารักษาตัวต่อไป เรื่องต่างๆ ควรยุติลง

                แต่เปล่าเลยค่ะ เพราะเมื่อดิฉันลืมตาตื่น เพื่อนคนที่ขับรถไปส่งฉันที่สถานีอนามัยเธอได้ติดตามเดินทางมาเยี่ยมดิฉันที่โรงพยาบาลอีกครั้ง และเมื่อมีเวลาพูดคุยกัน เพื่อนได้ถามถึงต้นสายปลายเหตุของความเจ็บป่วยที่อยู่ๆ ดิฉันเกิดเป็นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ยกตัวอย่างเช่น ก่อนเป็นไข้ตัวร้อน เธอไปไหนมา เธอกําลังทำอะไร กินอะไร ซึ่งต้องขอเรียนแจ้งให้ทราบว่าคนแถบนี้เขายกอันดับความเชื่อเรื่องเร้นลับเป็นลำดับแรกๆ อันเป็นเครื่องนำพาความเจ็บป่วยค่ะ…เขาเชื่อกันอย่างนี้จริงๆ ซึ่งฉันได้ตอบไปว่าเมื่อเช้าวันพระ ฉันไปทำบุญที่วัด ขากลับก็นอนเล่นอยู่ภายในบ้าน ตกตอนค่ำๆ อยู่ๆ ก็เป็นไข้ไม่สบาย…

                เรื่องมีอยู่เท่านี้ ซึ่งเพื่อนบอกว่าเดี๋ยวเธอจะไปถามแม่หมอ หมอดูประจำตัวเธอให้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน (หมายถึงเรื่องที่ไม่เห็นตัวตน) ส่วนเพื่อนคนนี้ที่ต้องพึ่งพาแม่หมอเพราะเพื่อนทำธุรกิจหลายอย่างในตัวเมือง ย่อมมีทั้งคนรักคนชังซึ่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้นี้เรื่องการทำของทำคุณไสยใส่กันยังมีอยู่จริงในปัจจุบัน และแพร่หลายเสียด้วย ตกลงบ่ายวันนั้นเพื่อนขอวันเดือนปีเกิดฉันพร้อมที่อยู่บ้านเลขที่พักอาศัย ไปให้แม่หมอสตรีมุสลิมวัย 90 ปีตรวจดวงชะตา (บ้านพำนักของแม่หมออยู่ อ. รามัน จ.ยะลา)

                ค่ำวันเดียวกัน เพื่อนเดินทางกลับมาเยี่ยมฉันอีกครั้ง ประโยคแรกที่เห็นหน้า เพื่อนพูดเลยว่า “ของเน่าของคนตายน่ะอยู่ในบ้านเธอ มันอยู่ในที่เย็นๆ แม่หมอบอกให้รีบกลับไปค้นหาดูแล้วเอาไปทิ้ง ไม่อย่างนั้นทำอย่างไร รักษาอย่างไรเธอก็ไม่หาย เพราะดวงของเธอน่ะมันชงกับผี เกิดวันที่ 24 ไง พอจะนึกออกมั้ยว่ามีของแปลกๆ อะไรเก็บเข้ามาไว้ในบ้านบ้าง?”

                ตอนนั้นเมื่อเพื่อนพูดอย่างนี้ ทำให้นึกถึงปลาดุกทอดกรอบคลุกขมิ้นสีเหลืองน่ารับประทานที่พี่แต๋วเพื่อนบ้านนำมาให้กล่องใหญ่ และฉันได้เก็บอาหารกล่องนี้ไว้ในตู้เย็น…มันจะเกี่ยวข้องกันมั้ยล่ะ?! ซึ่งเพื่อนขอให้ฉันลองพูดคุยโทรศัพท์กับพี่แต๋วดูว่าไปซื้อปลาดุกทอดมาจากไหน (ปกติการให้ของเพื่อนบ้านรับประทาน อย่างดีก็แค่หนึ่งถ้วยหนึ่งจาน แต่นี่มาเป็นทัพเพอร์แวร์กล่องขนาดกลางเลยทีเดียว ปรุงอาหารได้เป็นอาทิตย์) ทั้งนี้พี่เมื่อพูดคุยเลียบเคียงไต่ถามพี่แต๋วเธอให้คำตอบว่า…

                อาหารพวกนี้เธอนำมาจากงานศพของน้องชาย เมื่อวันศุกร์พี่ไปช่วยงานศพน้องชาย ลูกของน้าที่อยู่ปัตตานี เค้าถูกลอบยิงที่หน้าบ้านเลย น้าสาวพี่คิดว่าอย่างไรก็จับตัวคนร้ายไม่ได้เลยรีบเผาศพ ศพน้องชายเพิ่งเผาเมื่อวันพระที่ผ่านมานี่เองค่ะ ส่วนอาหารของกินนั้นเหลือมากมายเทียวค่ะ พี่คิดถึงน้องก็เลยแบ่งมาฝาก…ว่าแต่ มีอะไรรึเปล่าคะ ท้องเสียหรือเปล่า ฉันเลี่ยงตอบว่า “ไม่มีอะไรค่ะ” เพื่อไม่ให้เพื่อนบ้านเสียน้ำใจ

                ต่อมาจึงรีบมอบกุญแจบ้านให้เพื่อนไปช่วยจัดการนำปลาทอดกล่องนั้นแอบไปเททิ้งเสียโดยด่วน โดยความเชื่อส่วนตัวของฉันนั้นเชื่อว่าอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนตายมักนำพาความเจ็บป่วยมาสู่ตัวฉันไม่มากก็น้อย เพื่อนออกจากโรงพยาบาลไปบ้านฉันเพื่อดำเนินเรื่องตอนสองทุ่ม สักพักใหญ่เพื่อนโทร.กลับมาว่าได้เทปลากล่องนั้นให้สุนัขกินเรียบร้อยแล้ว…เบ็ดเสร็จเด็ดขาด พร้อมย้ำ หากเชื่อว่าของคนตายเป็นสาเหตุแล้ว คืนนี้เธอต้องหายป่วยไข้ (สำหรับอาการป่วยของฉันนั้น นอกจากไข้ขึ้นสูงแล้วยังมีอาการแน่นหน้าอกควบคู่กัน ตัวช่วยนั้นคือยาหอมละลายกับน้ำอุ่น เมื่อรับประทานอาการจะดีขึ้นเป็นระยะๆ)

                และไม่รู้ว่าเป็นอุปาทานหรือเปล่าที่คืนนั้นฉันนอนหลับเต็มคืน ตื่นขึ้นมาตอนเช้าอาการไข้ไม่มีแล้ว…ร่างกายมีความพร้อมที่จะออกโรงพยาบาล เมื่อกลับถึงบ้านก็อดที่จะโทรศัพท์ไปขอบคุณอีกท่าน คือคุณหมอมดแดง ถ้าไม่ได้คุณหมอพาร่างฉันส่งโรงพยาบาลในเช้าวันวาน ฉันคงนอนป่วยไข้อย่างทรมานแน่ ระหว่างที่พูดคุยกันทางโทรศัพท์กับคุณหมอ ฉันได้ยินเสียงร้องอุแว้…อุแว้ของเด็กอ่อนแว่วดังเข้าหูอีกครั้ง จึงถามคุณหมอ

                “มีคนไข้รอตรวจหรือคะ” คุณหมอตอบว่า “ไม่มีค่ะ ปกติช่วงบ่ายวันพุธจะว่าง” หากเมื่อบอกคุณหมอไปว่าพี่ได้ยินเสียงเด็กอ่อนร้องดังแว่วเข้าโทรศัพท์ นึกว่าคุณหมอยุ่ง และคุณหมอได้พูดต่อไปว่าขอตัวเดินกลับไปที่บ้านพักก่อน โดยฉันไม่ต้องวางสาย คุณหมอมีเรื่องคุยให้ฟัง

                คุณหมอมดแดงเล่าว่า…ปกติเงื่อนไขที่ตกลงกันระหว่างโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพขนาดเล็กนี้ หากไม่มีเหตุจำเป็นจริงๆ จะไม่เปิดบริการในตอนกลางคืน ส่วนที่ฉันคุยให้คุณหมอเธอฟังว่า ได้เห็นคนมารักษากับคุณหมอในยามวิกาลนั้น…เรื่องมีอยู่จริง แต่เป็นภาพย้อนอดีตใน 10 กว่าปีก่อนที่โรงพยาบาลยังมีสถานะเป็นสถานีอนามัย ขณะนั้นคุณหมอเพิ่งโอนย้ายจาก จ. ตรัง เข้ามาประจำการที่สถานีอนามัยแห่งนี้

                “ตอนนั้นที่อนามัยเรายังมีห้องรอคลอดและห้องคลอดทารกอยู่นะคะ แต่ภายหลัง หลังจากมีเคสผู้หญิงมุสลิมคลอดลูกแล้วเสียชีวิตทั้งแม่และเด็ก ทางคุณหมอซึ่งเป็นหัวหน้าของมดแดงอีกที ท่านเสียใจมาก เลยขอยุติที่จะรับคนไข้คลอดตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และภาพที่พี่รัตน์เห็นก็คงเป็นเธอกับลูก เพราะมีคนเห็นกันบ่อยมาก เห็นเป็นร่างผู้หญิงสวมผ้าคลุมนั่งหันหลัง เป็นท่าให้นมลูก บางคราวเด็กก็ส่งเสียงร้องครางเหมือนเสียงแมว ได้ยินบ่อยออกค่ะ ยิ่งโดยเฉพาะตอนกลางคืนที่อนามัยปิดไฟแล้วเสียงร้องอุแว้ของเด็กดังขึ้นมา พี่นึกเอาก็แล้วกัน แต่เจ้าหน้าที่อย่างหนูก็ต้องทนฟัง เพราะเราต้องอยู่กับเขาไปอีกนาน

                ซึ่งคนมุสลิมเขาไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเชิญดวงวิญญาณกลับบ้านอะไรหรอกค่ะ เขาคิดว่าเมื่อคนของเขาจิตดับคือตาย ดวงวิญญาณจะได้ขึ้นไปอยู่บนสรวงสวรรค์กับพระเจ้าทันที แต่เนื้อหาความจริงทั้งแม่และลูกไม่ได้ไปไหนเลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 49 นะคะ”

                เล่าถึงตอนนี้คุณหมอถอนหายใจเบาๆ “และเด็กวัยรุ่นที่พี่เห็นนั่นก็อีกรายค่ะ ที่มาเสียชีวิตบนสถานีอนามัย เด็กหนุ่มคนนี้เป็นมุสลิมเหมือนกัน…ญาติเอามาส่งตอนที่เขาโดนแทง ซึ่งทางเรายังไม่ทันเตรียมเครื่องมือช่วยเหลืออะไร เค้าก็มาขาดใจสิ้นใจเสียก่อนค่ะ ก็ตรงใกล้ๆ กับเตียงที่พี่นอนพักในคืนก่อนนั่นล่ะค่ะ”

                จากนั้นผู้เขียนได้เล่าแลกเปลี่ยนประสบการณ์ตามความเชื่อของตนเองจากวัยเยาว์อายุ 10 ขวบ จรดปัจจุบันอายุ 55 ปี ให้คุณหมอมดแดงทราบตามเนื้อความข้างต้นที่เขียนเล่า คุณหมอออกความเห็นไว้ดังนี้ “เรื่องของกินตามงานศพที่บ้านหนู จ. ตรัง บางครอบครัวก็ถือ บางครอบครัวก็ไม่ถือ เอากลับไปกินที่บ้านต่อ…หากอาหารเหลือครอบครัวที่เค้าถือนั้นส่วนมากจะเป็นครอบครัวที่มีครูอาจารย์ อย่างพวกครูมโนราห์ ครูหนังตะลุงเนี่ยค่ะ หากไปแสดงที่บ้านคนตาย ครูใหญ่แกจะสั่งเด็กในคณะเลย เลี่ยงได้ก็สมควรเลี่ยงกินของเจ้าภาพ เพราะบางคนมีดวงชงกับเรื่องวิญญาณ สื่อถึงกันได้ ดีไม่ดีคนตายจะตามเรากลับ! หากดวงเราตกจะพาไปอยู่ด้วย หรือขั้นที่เบาๆ ก็ทำให้เจ็บไข้ได้ป่วย”

                “ส่วนเพื่อนบ้านที่เอาอาหารมาให้พี่รัตน์ กับข้าวคงเหลือเยอะจริงๆ และที่บ้านเรานั้นมีเรื่องแปลกอยู่ อย่างวันพระเค้าก็เผาศพกัน แต่ทางบ้านหนูที่ จ. ตรัง นั้นเค้าจะไม่เผาศพในวันพระ และศพคนตายไม่ดีก็ไม่เอาไว้ในบ้าน จะเก็บตั้งสวดที่วัดอย่างเดียว แต่ก็ให้เข้าใจนะคะ ที่เมืองปัตตานีวัดมีอยู่น้อย ญาติพี่น้องคงไม่สะดวก และคนตายก็ถูกลอบยิง ทางญาติๆ ก็เลยรวมกลุ่มกันอยู่ที่บ้าน อย่างน้อยก็เพื่อความปลอดภัยด้วย”

“ต่อไปเมื่อรู้อย่างนี้พี่รัตน์ต้องดูแลตัวเองหน่อยก็แล้วกัน เพราะสามจังหวัดชายแดนใต้นั้นเรื่องราวเยอะจริงๆ ค่ะ และมาแปลกๆ เสียด้วย” คุณหมอสรุปเรื่องเพื่อให้ผู้เขียนได้ระวังตัวไว้บ้าง เพราะมนุษย์เราไม่ว่าเป็นฉัน หรือใครๆ เรื่องต่างๆ ที่ไม่น่าเกิดย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ

                ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตามหลักพุทธศาสนา ความดีเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตได้อยู่รอดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง ดั่งคำที่พระท่านกล่าว ใจดีเป็นบุญ ใจขุ่นเป็นบาป

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. montreal.ctvnews.ca, www.qleanair.com, www.freepik.com, www.pngkey.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •