2 พฤษภาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ขึ้นชื่อว่าผีใครๆ ก็กลัว แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถเห็นผีได้ ซึ่งปัจจุบันก็มีเยอะ เท่าที่ผู้เขียนได้รับรู้จากสื่อออนไลน์ต่างๆ และจากคำบอกเล่าสำหรับคนที่มีจิตสัมผัส…

                ด้วยทางบ้านฐานะยากจน ผมจึงได้บวชเป็นสามเณรและเรียนนักธรรมไปด้วย ผมเริ่มบวชตั้งแต่อายุ 16 ปี และเหตุการณ์เขย่าขวัญที่ผมได้ประสบมากับตัวเองนั้นผมยังจำได้แม่นยำ แม้ว่าจะผ่านมาเกือบสิบปีแล้วก็ตาม

                ผมบวชเป็นสามเณรได้สักระยะ หลวงพี่ศักดิ์ซึ่งเป็นพระที่ผมสนิทสนมด้วย แกใจดีมักจะชอบคุยเล่นกับผม และผมมักจะไปคลุกคลีที่กุฏิท่าน เวลาว่างจากกิจงานต่างๆ วันหนึ่งหลังจากที่ฉันเพลเสร็จเรียบร้อย ท่านบอกกับผมว่า “เณร เดี๋ยวถ้าว่างไปหาหลวงพี่ที่กุฏิหน่อยนะ มีอะไรจะคุยด้วย”

                ที่วัดเวลาเพล พระทั้งวัดเท่าที่มีจะมาฉันรวมกัน แต่ถ้าองค์ไหนมีกิจนิมนต์ก็ไป ผมรับคำ พอเสร็จจากช่วยเก็บกวาดเช็ดถูล้างถ้วยชามผมรีบตรงดิ่งไปหาท่านทันที ซึ่งท่านก็นั่งรออยู่แล้ว ผมรีบขึ้นไปนั่งตรงหน้าท่าน “มาแล้วครับหลวงพี่ มีอะไรครับ”

                “เณรอยากเรียนนักธรรมต่อไหม…ว่าแต่ตอนนี้เรียนบาลีไปถึงไหนล่ะ”           

                “ผมสอบได้เปรียญธรรมสามประโยคแล้วครับ ผมก็อยากเรียนต่อประโยคสี่แต่ที่นี่ไม่มี”

                “ใช่ คนเรียนน้อย เขาเลยไม่เปิดสอน หลวงพี่ก็เลยว่าจะชวนเณรไปที่วัด ที่เขามีโรงเรียนพระปริยัติธรรม ที่นี่นะเณรเรียนได้ถึงนักธรรมเอกเลย  อยู่ต่างจังหวัดแต่ไม่ไกลเท่าไหร่ สนใจไหม”

                “สนใจสิครับหลวงพี่…สุดยอดเลย ตกลงครับ” ผมดีใจมาก คิดว่าจะได้เรียนแค่นี้เสียแล้ว หลังจากนั้นหลวงพี่ท่านก็พาผมไปฝากที่วัดหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ไปถึงสำนักที่เรียน มีนักเรียนที่เป็นสามเณรเยอะมากจนหอพักหรือกุฏิเต็ม ไม่มีที่พัก ก็เลยต้องไปพักวัดใกล้เคียง ซึ่งห่างจากที่เรียนไปประมาณห้าหกกิโล หลวงพี่ที่พาไปท่านพาไปกราบหลวงพ่อที่วัดที่จะไปขออาศัยอยู่

                “จะเรียนก็ขอให้ตั้งใจเรียน หลวงพ่อจะให้ไปอยู่กุฏิเรือนไม้ ที่นั่นสงบเงียบเหมาะกับการเรียน  เวลากลางค่ำกลางคืนเณรจะได้มีสมาธิ กุฏิแถวนั้นมีหลวงตาแก่ๆ อยู่สองสามองค์

                “ครับหลวงพ่อ กุฏิไหนก็ได้ครับ” พอได้ที่พักแล้ว ผมก็ไปทำความสะอาดกุฏิซึ่งเป็นเรือนยกสูง แล้วคืนนั้นผมก็นอนเป็นคืนแรก ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี พอเช้าผมก็นั่งรถตุ๊กๆ ไปเรียนที่สำนักเรียน พอสี่โมงเย็นผมกลับมาถึงวัด สรงน้ำเรียบร้อยทำกิจกรรมส่วนตัวปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดกุฏิ พอได้เวลาสองทุ่มผมก็จะมานั่งทบทวนที่เรียน และแปลหนังสือคือแปลบาลี จนเวลาล่วงเลยไปประมาณสี่ทุ่ม ทุกอย่างก็ยังเงียบสงบ แต่อยู่ๆ ก็มีเสียงเรียกและเคาะประตูกุฏิ

                “เณร….เณร เปิดประตูหน่อย” ผมรีบลุกไปเปิดประตู เห็นเป็นหลวงตาท่านหนึ่งยืนอยู่ “เณร…ทำอะไรน่ะ”

                “กำลังแปลหนังสือครับ…ผมเรียนบาลี ตอนนี้กำลังศึกษาประโยคสี่อยู่ครับ”

                “เออดี…แปลให้หลวงตาฟังหน่อยได้ไหม หลวงตาอยากฟัง”

                “ได้ครับ…งั้นนิมนต์หลวงตาเข้ามานั่งฟังในกุฏิเลยครับ ผมจะแปลให้ฟัง”

                แกก้าวเข้ามานั่ง…พร้อมๆ กับกลิ่นเหม็นสาบ ผมชะงักนิดหนึ่ง แอบคิดในใจ หลวงตาแก่แล้วแกคงซักผ้าไม่ค่อยสะอาดแน่เลย ผมนั่งแปลไปสักพักแบบทนกลิ่นเหม็นสาบนั่นไม่ไหวจริงๆ ผมเลยบอกไปว่า “วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้หลวงตาค่อยมาใหม่นะ”

                  หลวงตาแกก็เดินกลับกุฏิไป เป็นอย่างนี้อยู่สี่ห้าคืน หลวงตาแกจะขึ้นมาหาผมตอนสี่ทุ่มทุกคืน มาฟังผมแปลบาลี ซึ่งผมก็แทบจะไม่มีสมาธิในการแปลหนังสือเพราะกลิ่นเหม็นสาบที่มาพร้อมกับตัวแก แต่ผมก็ไม่กล้าพูด

                จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ผมกลับมาถึงวัดเย็นหน่อย เกือบหกโมงเย็นเพราะว่าเขามีการทดสอบสิ่งที่เรียนไปแล้ว พอกลับมาก็เจอกับหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสที่เพิ่งออกมาจากลงโบสถ์พอดี ท่านก็เรียกผมเข้าไปสอบถาม “เป็นยังไงบ้างเณรการเรียน…แล้วเหงาไหม มีแต่พระแก่อยู่แถวนั้น”

                “ผมไม่เหงาครับหลวงพ่อ มีหลวงตาเข้ามานั่งคุยด้วยทุกคืนเลย”

                “ฮึ?…หลวงตา หลวงตาไหนเหรอมาคุยด้วย”

                “หลวงตาบุญครับ แกแวะมาหา มาฟังผมแปลหนังสือทุกคืนเลย”

                หลวงพ่อท่านทำหน้าตกใจแล้วพูดว่า “เณร…เณรจะย้ายกุฏิไหม”

                “ไม่เป็นไรครับหลวงพ่อ อยู่ตรงนั้นก็ดีอยู่แล้ว อีกอย่างหลวงตาบุญท่านก็มาอยู่เป็นเพื่อนผมทุกคืน”

                “เณร…ฟังหลวงพ่อพูดให้ดีนะ…ฟังนะ…หลวงตาบุญแกมรณภาพมาได้จะเดือนแล้วนะ”

                “จะเป็นไปได้ยังไงครับ แกมานั่งฟังผมแปลหนังสือทุกคืน” คราวนี้ผมตกใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังสองจิตสองใจ เพราะแกก็มาแบบเป็นคนเหมือนเรา เหมือนหลวงพ่อจะรู้ว่าผมลังเลไม่เชื่อ ท่านพูดต่ออีกว่า

                “เณร…หลวงพ่อจะโกหกเณรให้อาบัติทำไม พระไม่มุสา ว่าไงจะย้ายไหม”

                ผมเห็นนี่ก็ค่ำแล้ว ข้าวของขนย้ายจะลำบาก เลยบอกหลวงพ่อว่า “พรุ่งนี้ค่อยย้ายแล้วกันครับ คงไม่เป็นไร”

                หลวงพ่อท่านก็ไม่ว่าอะไร ผมก็กลับไปนอนที่กุฏิ คราวนี้ผมกลับนอนไม่หลับ หนังสือก็ไม่ได้แปลเพราะใจมันวุ่นวายว่าอะไรยังไง จนกระทั่งพอได้เวลาสี่ทุ่ม เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เอาละซี จะไปเปิดมันก็ยังไงๆ อยู่ แต่ไม่เปิดเสียงเคาะนั่นก็เคาะไม่หยุด แต่วินาทีนั้นผมคงไม่กล้าเปิด ได้แต่นอนคิด แล้วหลวงตาก็พูดเสียงดังๆ ว่า

                “เณรเปิดประตูให้หลวงตาหน่อย…เณร…รู้แล้วสินะ…ที่ไม่ยอมเปิด”

                แล้วเสียงนั้นก็เงียบไป ผมนอนนิ่งคิดไปคิดมาเรื่อยเปื่อย กำลังจะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงใบไม้ดังกรอบแกรบ  มีเสียงคนเดินช้าๆ วนอยู่รอบๆ กุฏิผม  แล้วเหมือนมาหยุดที่หัวนอนซึ่งมีหน้าต่างที่เป็นบานเกล็ดแล้วก็มีมุ้งลวด  ผมเอาผ้าจีวรเก่าๆ ไปปิดเอาไว้  ซึ่งกุฏิก็จะยกพื้นสูง ผมเลยค่อยๆ ย่องไปเปิดผ้าที่ปิดเอาไว้ ผมแง้มดูเห็นเป็นหลวงตาแกยืนอยู่ เหมือนแกรู้ว่าผมมอง แกเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผมทันที  ผมรีบผลุบหน้าหลบลงมาใจเต้น  แล้วที่แย่ไปกว่านั้น แกวิ่งขึ้นมาทั้งเคาะทั้งเขย่าประตูใหญ่เลย

                “เณร…เณร เปิดประตูเลย เปิดประตูให้หลวงตาเดี๋ยวนี้นะ  รู้นะว่ายังไม่นอน เร็ว…เปิดประตูเดี๋ยวนี้…ไอ้เด็กเวรนี่ กูบอกให้เปิดประตู…เปิด…เปิด…เปิดเดี๋ยวนี้!!”

                แกทั้งเคาะทั้งทุบ ทั้งร้องด่าผม ผมไม่มีวันเปิดให้เด็ดขาด ผมกลัวสติแทบแตก ผมพยายามรวบรวมสติสวดมนต์  แต่มันเหมือนความกลัวทำให้จับต้นชนปลายบทสวดมนต์ไม่ได้ แต่พอผมสวดแกกลับสวดกลับมาทุกบทที่ผมสวด แถมแกยังพูดอีกว่า “เออ…มึงจะสวดไล่กูน่ะเหรอ…มึงสวดอะไรกูสวดได้หมด”

                ผมกลัวจับใจ สติหลุดไปเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว ผมรีบขนข้าวของย้ายเลยครับ วิ่งมาหาหลวงพ่อเล่าให้ท่านฟัง ท่านบอกไม่แปลกหรอก ท่านก็โดนเหมือนกัน แล้วท่านก็ให้ผมไปพักที่กุฏิใหม่ ผมเลยถามว่าหลวงตาเขาเป็นอะไรตาย หลวงพ่อเล่าว่าหลวงตาบุญก็เรียนบาลีเหมือนกับท่าน ได้ประโยคหนึ่งสอง แต่ประโยคสามนี่แหละหลายปีไม่ผ่านสักที พระรุ่นน้องที่เรียนด้วยกันเขาก็พากันดูถูกท่านว่าถ่วงเขา เป็นภาระเขา จะเรียนไปทำไม ท่านน้อยใจเลยผูกคอตายที่กุฏิหลังที่อยู่ตรงข้ามที่ผมอยู่  มิน่าท่านถึงมาหาผมตลอด

                ผมได้ย้ายไปอยู่กุฏิหลังใหม่ใกล้ศาลาการเปรียญก็ไปปัดกวาดเช็ดถู แต่จิตใจก็ยังไม่ค่อยปกตินัก แบบกลัวๆ หลอนๆ แล้วเย็นวันนั้น ที่วัดมีการนำศพมาตั้งที่ศาลาตอนหัวค่ำ เขาก็สวดกันไปจนเสร็จ ผมเลยออกมาเดินเล่นที่หน้ากุฏิ คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว อยู่ๆ ก็มีชายมีอายุแล้วล่ะเดินเข้ามาทักทายผม “เณร ย้ายมาใหม่เหรอ  เป็นไง”

                “ครับ….ผมมาอยู่นี่ผมมาเรียน”

                “เป็นไงล่ะ มาอยู่นี่เจอดีหรือยังล่ะ”

                “โอย…เจอแล้ว เมื่อวานสดๆ ร้อนๆ เลยลุง”

                “เหรอ…ผมชื่อหงวนนะ เป็นสัปเหร่ออยู่ที่วัดนี้ ผมไม่อยากเป็นหรอก แต่พ่อผมเขาเป็นแล้วเขาชอบใช้ให้ผมฉีดยาให้ศพ พ่อบอกฉีดๆ ไปเถอะ ศพไม่เจ็บหรอก….ที่ไหนได้ ผมโดนเองผมยังเจ็บเลย..ไม่ไหว…เณร แล้วพรุ่งนี้เณรลงสวดหรือเปล่า…เจ้าของงานเขาอยากฟัง เณรไปสวดให้หน่อยนะ”

                “ผมไม่แน่ใจนะลุง เพราะไปเรียนแล้ว อีกอย่างพระท่านก็ลงสวดอยู่แล้ว”

                “เอาน่าเณร คนตายอยากได้ยิน” ลุงแกพูดเสียยืดยาว แล้วก็เดินจากไป พอดีหลวงพี่ที่อยู่กุฏิข้างๆ เดินออกมาถามผมว่าคุยกับใคร พอผมตอบออกไปว่า

                “อ๋อ…ลุงสัปเหร่อ…ลุงหงวนแกมาคุยกับผมเมื่อกี้ แกเดินไปแล้ว”

                “ฮ้า….อะไรนะ…คุยกะใครนะ ลุงหงวนที่เป็นสัปเหร่อแกก็นอนอยู่ในโลงบนศาลานั่นไง….แกตายแล้วนะ ตายเมื่อวาน”

                ผมคิดว่าหลวงพี่แกแกล้งผม เพราะรู้ว่าผมโดนหลวงตาบุญหลอกมาแล้ว แต่แกบอกว่าไม่ได้หลอก เรื่องจริง แล้วหลวงพี่ก็พาผมไปดูที่ตั้งศพลุงหงวน เป็นรูปหน้าแกเหมือนจะยิ้มแฉ่งให้ผมด้วย คราวนี้ไม่ต้องบอกว่าอาการผมเป็นยังไง ผมไม่กล้าออกมานอกกุฏิเลยสองวัน เป็นใครก็คงไม่ไหว เจอทั้งพระที่เป็นผีและคนที่เป็นผี ใครๆ ก็คิดว่าผมโดนขนาดนี้คงจะเผ่นแล้ว  ซึ่งก็จริง ผมแทบจะเผ่น แต่ว่าหลวงตามาเข้าฝันผม แกบอกว่า

                “เณร….เณรอย่ากลัวหลวงตาเลยนะ จะมาบอกว่าเรียนให้จบ เรียนแทนหลวงตาที…แล้วต่อไปเณรจะโชคดี แต่ถ้าเณรเลิกเรียนฉันจะตามเณรไปทุกที่” พอพูดจบ ผมก็เห็นแกเดิน แล้วเอาเชือกไปคล้องกับขื่อ ทำเป็นห่วงคล้องคอตัวเอง แล้วโยนตัวลงมาห้อยโตงเตง แกยังหันหน้ามาทางผมแล้วยิ้ม…ผมกลัวสุดขีดจนสะดุ้งตื่น

                ผมเลยกัดฟันสู้นะ ไม่ถอดใจ  เพราะหลังจากคืนนั้นหลวงตาแกก็ไม่เคยมาให้เห็นหรือเข้าฝันอีกเลย แต่ผมรู้ว่าแกคงเฝ้ามองผมอยู่…ผมอยู่ที่วัดนั้นสองปีจนได้เปรียญธรรมห้าประโยค ผมถือว่านั่นคือความโชคดี มุมานะที่สุดแล้วสำหรับชีวิตผม สำหรับความโชคดีของคนอื่นอาจเป็นเงินทองทรัพย์สิน แต่สำหรับผม ความรู้นี้ผมสามารถเอาไปต่อชีวิตได้ในอนาคตครับ

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏในเรื่องใช้เป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น

/

เรื่องโดย. กฤตยา อยู่ประเสริฐ

ภาพโดย. www.blindsgalore.com, www.wallpaperflare.com, www.thenewsstar.com, reedsy.com, tvline.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •