28 มีนาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ราวๆ ร้อยปีก่อน ประเทศไทยยังเต็มไปด้วยเรื่องราวลึกลับที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ และแม้จะนับว่ากรุงเทพเป็นเมืองหลวงที่เจริญที่สุดในยุคนั้นก็ตาม แต่พอออกมาที่เขตชานเมืองเท่านั้น สภาพต่างๆ ก็แทบไม่ต่างจากภูมิภาคต่างจังหวัด

                ยุคดังกล่าวเพียงแค่เดินทางออกมาแค่เขตพญาไทก็ถือว่าเป็นขอบพระนครแล้ว เส้นทางถนนไม่ใช่ทางหลักในการสัญจร ช่วงนั้นผู้คนต่างไปไหนมาไหนกันด้วยการเดินทางทางน้ำเป็นหลัก

                วิเวกหรือ “เวก” นั้นเป็นทหารหนุ่มที่พบรักกับบุญศรีหรือ “ศรี” ที่พระนครในช่วงที่เป็นทหารประจำการ และได้ตกลงมั่นหมายว่าจะเป็นคู่ผัวตัวเมียกันจึงได้แต่งงานกัน…ต่อมาศรีก็จะต้องย้ายมาอยู่กับเวกที่บ้านเขตประเวศซึ่งเวลานั้นยังเป็นถิ่นห่างไกลพระนครมากยิ่งกว่าชานเมืองเสียอีก ทำให้ต้องนั่งเรือหลายชั่วโมงกว่าจะไปถึงบ้านของเวก

                ก่อนหน้านั้นศรีรู้เพียงคร่าวๆ ว่าเวกมีที่นาจำนวนหนึ่ง และเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียว งานหลักของเขาหลังปลดประจำการก็คือการทำนา ชีวิตของเขาเรียบง่าย..กลางวันทำนาตกกลางคืนก็กลับมานอนบ้านเท่านั้น เรื่องราวทั้งหลายดูจะเป็นเรื่องพื้นๆ ที่แทบไม่แตกต่างจากผู้คนสมัยนั้น

                คู่ผัวหนุ่มเมียสาวมาถึงบ้านแม่ของเวกที่เขตประเวศช่วงสายๆ จากนั้นผัวหนุ่มเมียสาวต่างก็ช่วยกันขนย้ายข้าวของที่จะใช้อยู่ร่วมกันออกมาจากในเรือ แล้วเอาขึ้นไปไว้บนเรือนซึ่งเป็นเรือนไม้สองชั้นดูเก่าแก่มาก และคงไม่ใคร่ได้ทำความสะอาดเพราะดูเก่าและโทรม

                ศรีนั้นต้องการไปไหว้แม่ของเวก แต่เวกบอกว่าปล่อยให้แกนอนหลับอยู่ในห้องชั้นล่างเถอะ แกแก่แล้ว และไม่ค่อยสบาย ไม่อยากออกไปไหนมาไหน ครั้นศรีบอกว่าจะเคาะประตูเรียกแกเพราะอยากเห็นหน้ากันบ้าง เวกก็ทำสัญญาณเอามือปิดปากว่าอย่าไปรบกวนเลย เวลานั้นศรีได้แต่คิดในใจว่าแม่สามีที่ชื่อยาย “วา” นั้นทำตัวลึกลับไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะเกรงใจเวกผู้เป็นสามี

                เย็นนั้นศรีทำกับข้าวกินกับกับเวก มีเผื่อไว้ให้แม่ของเวกด้วย แต่เมื่อทำท่าจะเรียกยายวาออกมา เวกก็บอกเหมือนเดิมว่าไม่ต้องไปเรียกหรือไปยุ่งกับแก แม้ว่าจะได้ยินเสียงไอโขลกๆ อยู่ในห้องก็ตาม แต่เวกก็ปล่อยให้เป็นไปตามสภาพแบบนั้น ตกลงเย็นนั้นทั้งเวกและศรีต่างก็กินข้าวกันลำพังสองคนเท่านั้น แม้จะจัดสำรับไว้สำหรับสามคนก็ตาม

                ตกกลางคืน เวกก็หลับไปก่อนเพราะความอ่อนเพลียในการเดินทาง ไหนจะยกข้าวของขึ้นบ้านอีก ทำให้เขานอนหลับไปหลังจากหัวถึงหมอนไม่นานนัก ในขณะที่ศรีนั้นยังไม่หลับในทันที คงเป็นเพราะแปลกที่ ทำให้กว่าจะหลับได้ก็ดึกพอสมควร แต่ท้ายที่สุดก็หลับสนิท

                นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่ศรีหลับไป แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งตกใจตื่นเมื่อพบว่าฝันร้ายกลางดึก ทำให้ศรีลืมตาโพลงอยู่ในมุ้ง พลางมองไปรอบๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองมานอนบ้านสามี และเมื่อมองไปที่หน้าต่างห้องนอนบนชั้นสองที่ยังปิดไม่สนิทก็ต้องตกใจเมื่อ เห็นแถบสีแดงวาบๆ สว่างขึ้นในช่องระหว่างบานหน้าต่าง…

                ศรีแปลกใจไม่น้อยกับสิ่งที่เห็น ทำให้เธอลุกขึ้นมานั่งและมองออกไปที่บานหน้าต่างที่ยังปิดไม่สนิท และกำลังคิดว่าจะตลบมุ้งออกไปปิดหน้าต่างเสียที ขณะที่มือกำลังตลบชายมุ้งเพื่อยกขึ้นนั้นก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงกระแทกดัง “ปัง” ที่หน้าต่างห้อง คล้ายกับมีมือของใครบางคนที่ตบมันให้ปิดลงมาให้สนิทกัน

                เสียงดังนั้นทำให้ศรีปล่อยมือจากชายมุ้งที่รวบตลบขึ้นมาและทิ้งมันลงอย่างเก่าพร้อมกับตกใจตัวสั่น นั่นก็เพราะเธอนึกขึ้นมาได้ว่าห้องที่เธอกับเวกนอนหลับอยู่นั้นมันอยู่บนชั้นสองที่อยู่สูงจากพื้นดินไม่น้อย หากมีใครปิดหน้าต่างได้ก็คงไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ คิดแบบนั้นแล้วได้แต่สยองจนต้องนอนคลุมโปงกระทั่งเช้า

                ศรีคิดว่าใครหรืออะไรก็ตามที่มาจงใจส่งแสงสีแดงวาบๆ ก่อนจะปิดหน้าต่างอย่างรุนแรงนั้นต้องไม่ใช่คนแน่นอน แต่จะเป็นอะไรก็เหลือเดา หากแต่ในช่วงนั้น แม้แต่ในพระนครอันเป็นที่อยู่ของเธอนั้นก็ได้ชื่อว่ามีผีกระสือล่องลอยอยู่ตามเขตชานเมือง เช่น แถบพญาไท แถบภาษีเจริญ แถบสามเสน และแถบคลองเตย จนเป็นข่าวลือกันไปทั่ว และเมื่อเธอมาอาศัยอยู่ที่เขตประเวศในครั้งนี้ ซึ่งอยู่ไกลเสียยิ่งกว่าชานเมืองเสียอีก ก็แน่นอนว่าจะต้องหนีเรื่องพวกนี้ไม่พ้น

                เวกตื่นแต่เช้า แต่ก็ยังสายกว่าศรีที่ตื่นขึ้นมาหุงหาอาหารเตรียมให้เวกกินก่อนจะออกไปทำนา รวมทั้งยังจัดเตรียมมื้อกลางวันให้เอาไปกินตอนเที่ยงด้วย…หลังอิ่มมื้อเช้านั้น ศรีได้จังหวะคุยกับเวกถึงสิ่งที่เธอได้พบเจอมาเมื่อคืน ตลอดจนเรื่องราวความสงสัยว่าจะเจอเข้ากับผีกระสือเข้าให้แล้ว แต่เวกกลับบอกว่าเธอคิดมากไปเอง ให้ลืมๆ เรื่องดังกล่าวเสีย อย่าเพ้อเจ้อเลย..เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วศรีจึงปิดปากเงียบไม่พูดต่อไป คงปล่อยให้เวกเตรียมของแล้วออกไปทำนา

                ระหว่างที่ศรีอยู่ที่บ้านก็จัดของทำความสะอาดบ้านเก่าๆ นั้นไปเรื่อย เธอสังเกตเห็นรอยหยดเลือดเป็นหย่อมๆตามพื้นไม้ รอยนั้นยังไม่เก่าเกินไปนัก เธอคิดว่าคงมีใครสักคนเดินไปเหยียบของมีคมจนเกิดแผล…แต่ก็ไม่คิดมาก หากแต่เช็ดพื้นถูพื้นทำความสะอาดบ้านไปจนเสร็จสิ้น

                พอถึงเวลาอาหารกลางวัน ความที่เป็นสะใภ้ใหม่ทำให้ศรีเป็นห่วงยายวาผู้เป็นแม่สามี จึงไปเคาะประตูห้องเรียกให้แกออกมากินข้าว ศรีเคาะอยู่เป็นนานสองนานก็ไม่มีเสียงตอบรับ กระทั่งพักใหญ่จึงมีเสียงของหล่นโครมครามในห้อง พร้อมกับเสียงตะโกนแหบๆ ออกมาว่า “กูไม่หิว มึงกินไปเถอะ” เสียงตอบแบบนั้นทำให้ศรีโคลงหัวก่อนจะกลับมานั่งกินข้าวกลางวันคนเดียว

                เวลาผ่านมากระทั่งถึงช่วงเย็นซึ่งเป็นช่วงที่ศรีต้องเตรียมทำกับข้าวเย็น เธอก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อมีเสียงเปิดประตูจากห้องยายวา กลิ่นเหม็นตลบโชยออกมาจากห้อง และที่เหม็นยิ่งกว่าก็คือที่เนื้อตัวยายวาที่มีกลิ่นคาวคลุ้งน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก…ศรีนึกว่าแกจะมาหาอะไรกินจึงทักทายไป แต่ยายวากลับตอบว่าจะออกมาช่วยศรีทำกับข้าวสำหรับมื้อเย็น ยิ่งยายวามายืนใกล้ๆ ศรีแทบเป็นลมเพราะกลิ่นเนื้อตัวยายวานั้นแรงจัด ดูราวกับว่ากลิ่นนั้นไม่ใช่กลิ่นกายแก แต่เป็นกลิ่นของอะไรบางอย่างที่ติดอยู่บนเนื้อตัว เสื้อผ้า และสะสมอยู่บนร่างแกจนทำให้กลิ่นมันเน่าคลุ้งไปหมด เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงสุดจะทน ลงท้ายศรีก็ปล่อยให้ยายวาบรรเลงเพลงทำกับข้าวไปเพียงคนเดียว

                สักพักเวกก็กลับจากทำนา แล้วก็ตรงไปอาบน้ำอาบท่า จากนั้นจึงออกมากินข้าวกันพร้อมหน้าทั้งแม่และเมีย ต่างคนต่างกินกันเงียบๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา สักพักก็แยกย้ายกันไปเข้าห้องใครห้องมัน เมื่ออยู่ในห้องนอนนั้น ศรีนึกอยากจะถามอะไรเวกอีกหลายประเด็น แต่แล้วก็เหมือนมีบางสิ่งทำให้เธอไม่อาจขืนตาต่อไปได้ เธอรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน พอหันหน้าไปทางเวกก็พบว่าเขาหลับไปก่อนเธอเสียอีก พลางกรนเสียงดังไปก่อนหน้าแล้ว ส่วนเธอเองก็สุดจะฝืนหนังตาต่อไปได้ จึงหลับไปราวกับคนอดนอนมานานแสนนาน

                พอถึงเช้าวันใหม่ ศรีตื่นแต่เช้า และเมื่อลงบันไดบ้านมาก็ต้องชะงักเมื่อได้กลิ่นเหม็นเน่าเหม็นคาวแรงคลุ้งไปทั่วบ้าน พอมีลมพัดเข้ามาจึงค่อยๆ เจือจางลงไปบ้าง พร้อมกันนั้นก็พบรอยหยดเลือดตามพื้นบ้านอีก จึงทำความสะอาดไป จากนั้นจึงไปทำอาหารเช้าให้เวก…

                พอตกเย็นยายวาก็โผล่ออกจากห้องลึกลับของแกแล้วก็มาช่วยทำกับข้าวมื้อเย็นอีกด้วยสภาพแบบเดิมๆ จากนั้นก็รอกระทั่งเวกกลับจากทำนาแล้วก็ร่วมวงกินข้าวกันสามชีวิต หลังกินมื้อเย็นเสร็จศรีและเวกก็ง่วงจัดหนัก ตาหนักทันทีจนกลายเป็นคนหลับสนิทตั้งแต่หัวค่ำยันเช้าวันใหม่….เหตุการณ์วนเวียนอยู่แบบนั้นราวหนึ่งเดือนเต็ม

                เมื่อแต่งงานครบหนึ่งเดือนแล้วศรีก็เดินทางเข้าพระนครเพื่อไปทำธุระพร้อมกับนัดเจอเพื่อนๆ โดยคุยกันสารพัดเรื่อง และลงท้ายด้วยการปรึกษาปัญหาบางอย่างที่เธอสงสัยตลอดช่วงเวลาของการแต่งงานคราวนั้น…กระทั่งเพื่อนๆ พาไปหาหมอดูสตรีที่ทำนายโชคชะตาได้แม่นยำจนเลื่องลือท่านหนึ่งแถวบางลำพู โดยเชื่อกันว่าหมอดูสตรีรายนั้นคงล่วงรู้ความนัยที่มีเงื่อนงำบางอย่างอยู่ที่บ้านสามีของเธอที่ประเวศ

                “แม่หนู ทำไมใจกล้านัก กล้าเข้าไปอยู่ในบ้านนั้นได้อย่างไร เอางี้ วันนี้กลับไปบ้านนะ เธอต้องไม่กินข้าวเย็น น้ำก็ไม่ต้องกิน แต่ที่ต้องทำให้ได้ก็คือต้องปิดประตูหน้าต่างทุกบานในบ้านเอาไว้ให้หมด ให้ทำตามนี้แล้วจะได้รู้กันว่าที่สงสัยมานานน่ะมันเป็นอะไรกันแน่” แม่หมอพูดแบบนั้น ส่วนศรีก็รับฟังแบบมึนๆ ว่าแม่หมอจะให้ไปเจอะเจอกับอะไรกันแน่

                เมื่อศรีเดินทางกลับไปบ้านเย็นนั้น เธอไปทำกับข้าวมื้อเย็นไม่ทัน จึงเป็นหน้าที่ของยายวาที่จัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพ กระทั่งถึงเวลากินข้าวเย็นพร้อมกัน ศรีทำทีเป็นตักข้าวตักกับใส่จานน้อยมาก กะว่าคงกินได้แค่ไม่กี่คำ แต่เอาเข้าจริงๆ ระหว่างที่ผัวกับแม่ผัวกำลังกิน เธอตักเข้าปากทำเป็นเคี้ยวๆ แต่ไม่ได้กลืนลงคอ จากนั้นก็ทำทีเป็นออกไปคายข้าวนอกบ้านไม่ให้ใครรู้ แม้แต่น้ำในบ้านนั้นเธอก็ไม่ได้กิน

                พอได้เวลานอนเธอก็แอบลงมาปิดประตูหน้าต่างทุกบานตามที่แม่หมอบอกเอาไว้ คืนนั้นเธอรู้สึกแปลกประหลาดที่ไม่รู้สึกง่วงเร็วเหมือนที่เคยเป็นมาตลอดหนึ่งเดือนเต็มที่ผ่านมา ทุกอย่างดูกลับคืนสู่ธรรมชาติแบบเดิมที่เคยเป็นมา นั่นคือเธอจะเริ่มง่วงเองตอนราวๆ สักสามทุ่มหลังจากที่เวกหลับไปนานแล้ว จากนั้นเธอจึงค่อยๆ หลับไป

                ศรีไม่รู้ว่าตัวเองนอนหลับไปนานเท่าไหร่ แต่มาสะดุ้งตกใจตื่นก็ตอนที่ได้ยินเสียงดัง “ตึงๆ” สลับกับเสียง “โครมๆ” ของอะไรบางอย่าง ตอนนั้นเธอนึกว่าบ้านกำลังถูกโจรบุกปล้นหรืออย่างไร หรือมันพยายามจะบุกเข้ามาในบ้าน…แต่แล้ว เมื่อเธอลุกขึ้นในมุ้งแล้วมองไปตามเสียงนั้น สิ่งที่ได้เห็นเบื้องหน้าก็คือมีแสงสีแดงวาบๆ สว่างขึ้นในความมืด…แสงนั้นสว่างมากพอที่จะทำให้เห็นส่วนหัวที่อยู่เหนือแสงว่าเป็นส่วนหัวของยายวาที่กำลังล่อยลอยอยู่ นางกำลังพุ่งเอาหัวชนหน้าต่างเพื่อให้หน้าต่างเปิดออก นางจะได้พุ่งออกไปสู่ภายนอกบ้านได้ แต่สิ่งที่นางพยายามอยู่กลับไร้ผลเพราะหน้าต่างและประตูทุกบานถูกลงกลอนปิดเอาไว้แน่นหนา

                นางลอยขึ้นลง ไปทางหน้าต่างบานโน้นที บานนี้ที พร้อมเอาหัวพุ่งชนไม่ได้หยุด เพื่อที่จะหาทางออกไปนอกบ้านให้ได้ ภาพที่เห็นเบื้องหน้าแม้จะมีมุ้งกั้นก็ตาม ทำให้ศรีกลัวจนขี้ขึ้นสมอง เธอเอามือปิดปากกลั้นเสียงร้องเอาไว้อย่างแน่นหนาในขณะที่น้ำหูน้ำตาไหลพรากเนื่องจากความกลัวสุดขีดจนทำอะไรไม่ถูก เธอใช้มือข้างหนึ่งปลุกเวกให้ลุกขึ้นมาช่วยกันในยามหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนั้น

                แต่ปลุกเท่าไหร่ เขย่าตัวก็แล้ว ทำอะไรหลายต่อหลายอย่างก็แล้ว เวกก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาช่วยเธอ ดูราวกับว่าเขาต้องมนต์สะกดให้ไม่สามารถลุกขึ้นมาดูอะไรในโลกนี้ได้อีกแล้ว ขณะที่ศรีใช้มือทั้งสองข้างปลุกเวกพร้อมกับร้องไห้สะอึกสะอื้นไปมา ทำให้ไม่มีมือที่มาปิดปากกลบเสียงสะอื้นของตนเอง…เสียงสะอื้นจึงดังไปถึงหูยายวาที่ล่องลอยอยู่ในบ้าน นางรีบลอยมาที่มุ้งของศรีทันที หัวน่าเกลียดน่ากลัวของนางลอยวนอยู่รอบๆ มุ้ง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ

                “มึงนี่เองที่ปิดประตูหน้าต่างไม่ให้กูออกไป มึง มึง มึง” เสียงนางกระสือแก่ที่มีแต่หัวพร่ำพูดแบบนั้นพร้อมกับเอาหน้าแนบมุ้ง ท่าทีที่จะพุ่งเข้ามาให้ได้นั้นทำให้ศรีตกใจสุดขีด

                “กรี๊ด” ศรีร้องออกมาได้คำเดียวก็เป็นลมสลบไปด้วยความกลัว ส่วนนางผีกระสือพยายามจะเข้าไปทำร้ายศรี แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะน้ำมนต์ที่แม่หมอพรมมาบนศีรษะของศรีนั้นยังมีอานุภาพแรงพอที่จะสกัดกั้นอำนาจของมันไม่ให้เข้ามาในมุ้งหรือเข้ามาทำอันตรายใดๆ กับศรีได้

                เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงกระทั่งถึงตอนเช้า…ศรีย่องลงบันไดบ้านมาอย่างหวาดๆ…เธอหยิบฉวยเสื้อผ้าข้าวของบางอย่างเท่าที่พอหยิบได้ จากนั้นก็รีบว่าจ้างเรือจ้างแถวนั้นให้รีบล่องเรือออกไปจากเขตประเวศแล้วมุ่งหน้ากลับสู่พระนครทันที

                ศรีเล่าประสบการณ์น่าสยดสยองที่พบเจอมากับตัวให้ครอบครัวของเธอรับรู้ ทุกคนรับฟังอย่างใจหายใจคว่ำและตัดสินใจไม่ยอมให้ศรีกลับไปอยู่ที่บ้านอันแสนน่ากลัวนั้นอีกต่อไป และแม้ว่าเวกจะเดินทางมาขอร้องให้ศรีกลับไปอยู่กับเขาหลายครั้งหลายหนเพียงใดก็ตาม หากแต่ศรีนั้นไม่มีวันยอมกลับไปยังบ้านหลังนั้นอีกแล้ว เพราะคิดว่าเธออาจจะไม่โชคดีรอดชีวิตมาได้เหมือนคราวนี้

                เวกนั้นแม้จะรักศรีเพียงใด แต่ด้วยความที่เขาเป็นห่วงแม่มากมาย จึงทำให้ทิ้งแม่ไม่ได้ ท้ายที่สุดเรื่องดังกล่าวก็ทำให้ทั้งศรีและเวกต้องแยกจากกันไป

                เรื่องของศรีกับเวกและยายวา เป็นเพียงหนึ่งในหลายร้อยหลายพันเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผีกระสือในยุคร้อยปีก่อน…แค่นึกขึ้นมาทีไรก็สยดสยองทุกคราวไป

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏในเรื่องใช้เป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น

เรื่องโดย. วรพจน์

ภาพโดย. www.researchgate.net, collection.sciencemuseumgroup.org.uk, www.desikahaniyaan.com, www.cosmopolitan.com, www.wallpaperflare.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เรื่องที่เกี่ยวข้อง