27 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

            กุมารทอง เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ที่มาของกุมารทองมาจากการเลี้ยงภูตผีปีศาจไว้ใช้งาน โดยกุมารทองจะเป็นวิญญาณของเด็กผู้ชาย หากเป็นวิญญาณเด็กผู้หญิงที่คนเลี้ยงไว้จะเรียกว่า โหงพราย

            กุมารทองแรกเริ่มเดิมที มาจากวิญญาณของเด็กที่ตายในท้องแม่ หรือที่เรียกว่าตายทั้งกลม ผู้มีวิชาอาคมจะไปนำวิญญาณเด็กนั้นมาเลี้ยงไว้เป็นลูก จากหลักฐานที่พบในเอกสารโบราณ ระบุถึงการทำกุมารทองว่า ต้องหาศพที่ตายทั้งกลมแล้วประกอบพิธีกรรม ผ่าเอาศพทารกในท้องนั้นมาย่างไฟให้แห้งสนิทก่อนรุ่งอรุณ แล้วจึงลงรักปิดทองให้ทั่ว ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่ากุมารทอง

            ต่อมาสภาพสังคมและวัฒนธรรมพัฒนาไปมากขึ้น ทำให้ไม่สามารถสร้างกุมารทองจากศพทารกจริงๆ ได้ จึงได้มีการดัดแปลงกรรมวิธีการสร้างกุมารทองขึ้น โดยใช้ดินเจ็ดป่าช้าบ้าง ไม้รักซ้อนหรือไม้มะยมบ้าง ไปจนถึงโลหะมาสร้างเป็นรูปกุมาร แล้วปลุกเสกตั้งจิตตั้งธาตุทั้ง 4 และเรียกอาการสามสิบสองให้บังเกิดเป็นจิตวิญญาณของเด็กขึ้นมา

            กุมารทองนิยมสร้างเป็นรูปเด็ก ลักษณะเป็นเด็กไว้จุก นุ่งโจงกระเบนอย่างโบราณ กลายเป็นเครื่องรางของขลัง เชื่อกันว่าเสมือนมีวิญญาณเด็กอยู่ในรูปกุมารนั้น ผู้บูชาต้องเลี้ยงดูเหมือนลูกของตน ต้องให้ข้าวให้น้ำและต้องเรียกให้กินด้วย

            กล่าวกันว่าหากปฏิบัติดูแลดี กุมารทองก็จะช่วยค้ำคูณ อาทิ ช่วยคุ้มครองป้องกันเจ้าของ และครอบครัวจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ช่วยให้ทำมาค้าขึ้น ไปจนถึงเตือนภัยล่วงหน้าอีกด้วย

            จะคอยติดตามเฝ้าระวังบ้านเรือนจากโจรผู้ร้าย และศัตรูไม่ให้มากล้ำกราย ปัจจุบันผู้บูชานิยมไหว้ด้วยน้ำแดง เรื่องราวของกุมารทองถูกกล่าวถึงในวรรณคดีไทย เช่น ขุนช้างขุนแผน ซึ่งนับเป็นลูกกรอก เป็นกุมารทองด้วย

            เครื่องรางอีกประเภทหนึ่งที่คล้ายกันคือรักยม ทั้งกุมารทองและรักยม ปัจจุบันยังมีผู้นิยมบูชากันอยู่ไม่น้อยในสังคมไทย นอกจากนี้ยังมีเครื่องรางของขลังที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คล้ายๆ กุมารทอง คือตุ๊กตาลูกเทพ

            ตุ๊กตานี้มีขนาดตั้งแต่ 8 นิ้วขึ้นไป จนเท่าเด็กอายุ 7 ปี มักทำจากไวนิลอัดนุ่นและใส่เมล็ดธัญพืชข้างใน เพื่อถ่วงน้ำหนักและเป็นเคล็ดสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ จากนั้น แต่งหน้า ทำผม ลงอักขระที่หน้าผาก แต่งตัวให้สวยงาม รวมถึงปลุกเสก บางครั้งเพิ่มมูลค่าโดยอ้างว่ามีเทพสิงสถิต

            ผู้ศรัทธาเชื่อว่า ลูกเทพคือตุ๊กตาที่มีชีวิต แต่ต่างจากกุมารทอง เพราะกุมารทองต้องเอาไว้บนหิ้ง ต้องถวายน้ำแดง และต้องใส่ชุดไทย ส่วนลูกเทพมีสิ่งเหนือธรรมชาติสิงสู่อยู่ในตุ๊กตา ผู้ศรัทธาเลี้ยงตุ๊กตาได้เหมือนลูก เช่น พาไปเที่ยวต่างๆ นานา ปัจจุบัน ลูกเทพมีราคาตั้งแต่ไม่กี่พันบาทไปจนถึงหลายหมื่นบาท

            กุมารทองมีเมตตามหานิยมสูง เลี้ยงอย่างไรจึงจะให้พลังดี หลายปีมาแล้วมีเรื่องเล่า ที่มีการนำมาเล่าเผยแพร่ซ้ำให้รู้กันเสมือนเป็นการย้ำเตือน นั่นก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับ “กุมารทอง” ที่ถูกเลี้ยงไว้ในบ้านแห่งหนึ่ง

            วันหนึ่งมีเด็กข้างบ้านแอบเข้ามาเล่นของเล่น เอารถสี่ล้อสูงเลยหัวเข่าออกมาถีบเล่น แต่กลับพลัดตกจนบาดเจ็บถึงขั้นแขนหัก แบบที่ใครเห็นต่อหน้าต่อตาก็คิดว่าไม่น่าจะเจ็บหนักได้ขนาดนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่า “กุมารทองเขาหวงของเล่นเลยผลักตกรถ”

            หนึ่งในอาจารย์ผู้เรืองวิชาเข้มขลังด้าน “กุมารทอง” แนะนำถึงการดูแล หรือภาษาชาวบ้านเรียกกันก็คือการ “เลี้ยงกุมารทอง” แรกเริ่มแบบง่ายๆ ก็คือว่า…เจ้าของกินอะไรก็เรียกเขาให้กินด้วย ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็น…น้ำแดงกับขนมเท่านั้น

            กุมารทองมีความสามารถที่จะทำโน่นทำนี่ได้ เพียงแต่คนเลี้ยงต้องกำหนดจิต ไปดลจิตดลใจให้สำเร็จสมหวังเท่านั้น…เราก็จะสว่างในสายตาของบุคคลนั้นๆ จะเล็งเราก่อนอันดับแรก

            สมมติว่าถ้าอยากให้เขาช่วยเรา อยากจะให้ทำอะไรสำเร็จ ก็กล่าวขอว่าถ้าสำเร็จดังหวังที่กล่าวไปแล้วก็จะให้นั่นให้นี่ เสมือนกับว่าคล้ายๆ เป็นการบน

            ศาสตร์ทุกศาสตร์ เรื่องราวอันลี้ลับ บางเรื่องเกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์…บางคนก็ว่าเป็นเรื่องหลอกลวง คิดกันเอาเองทั้งนั้น แต่อย่างที่คำโบราณว่าไว้…เรื่องแบบนี้ “เชื่อไม่เชื่อ อย่าได้ลบหลู่เด็ดขาด”

            เรื่องกุมารทองนั้นเป็นที่นิยมกันในสังคมคนไทยมานับร้อยปีแล้ว ที่มีเรื่องราวบันทึกไว้เป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้ ก็ในรัชสมัยของพระพันวษา กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีการให้กำเนิดกุมารทองครั้งแรกในวงการไสยศาสตร์กรุงศรีอยุธยา

            แม้จะมีตำราไสยศาสตร์เกี่ยวกับกุมารทองมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ แต่ก็ไม่มีผู้ใดได้ตำรามาใช้อย่างจริงจัง เรื่องนี้มีขุนแผนทหารเอกคนหนึ่งของพระพันวษา ซึ่งมีวิชาอาคมเข้มขลัง และเคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อนจากตำราดังกล่าว แต่ไม่เคยทดลองทำ เพราะรู้สึกว่าการปลุกเสกกุมารทองเป็นเรื่องโหดเหี้ยมเกินไป

            แต่เมื่อถูกกดดันจากหลายเรื่องอย่างหนักหน่วง ประกอบกับความแค้นที่มีอยู่หลายเรื่อง กับผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียก็ต้องตัดความสงสารทิ้งไป

            เรื่องเริ่มต้นขึ้นในคืนวันหนึ่งหลังจากวันทอง เมียรักถูกนำตัวเข้าไปอยู่ในวังหลวงไม่นานนัก พอตกดึกมักคิดถึงแต่วันทอง คิดถึงแต่เรื่องที่ขุนช้างเพื่อนร่วมน้ำสาบานหักหลังมาโดยตลอด ขุนแผนคิดอยู่อย่างนี้ทุกคืน ขุนแผนเป็นคนมีวิชาอาคมสูง และมีการเลี้ยงโหงพรายไว้คอยรับใช้แจ้งข่าว

            โหงพรายคือการเรียกวิญญาณตายโหงมาเลี้ยงไว้รับใช้ ด้วยการนำเอาส่วนหนึ่งส่วนใดของคนตายโหงตามตำรามาอยู่ในหุ่นคนที่ปั้นขึ้น หรือแกะสลักขึ้นจากไม้มงคลชนิดหนึ่ง แล้วเก็บไว้ติดตัวนำไปไหนมาไหนด้วยตลอด เพื่อป้องกันตัวและนำไปใช้งานอะไรก็ได้ทุกอย่าง

            บางตำราก็ว่า การสร้างโหงพรายต้องไปเก็บเอาถ่านไฟที่เผาผีตายวันเสาร์เผาวันอังคารมาทำเป็นรูปคนเรียกว่าหุ่น เอาผ้าพันไว้แล้วทำการปลุกเสก เรียกวิญญาณด้วยคาถาอาคมบทอิติปิโส

            พูดถึงหุ่นผี ขุนแผนได้ทำมาตั้งแต่ยังเป็นพลายแก้ว ร่ำเรียนวิชาอาคมอยู่ที่วัดป่าเลไลยก์เพราะที่นี่เป็นขุมแห่งวิชาอาคมสูงส่งในเวลานั้น สำหรับโหงพรายที่ปลุกเสกขึ้นมาในครั้งนั้นก็นานแล้ว ฤทธานุภาพจึงอาจเสื่อมไปบ้าง การเตรียมไปแย่งชิงวันทองตามลำพังคนเดียวนั้นออกจะยาก จึงได้มีการปลุกเสกกุมารทองมาช่วยด้วย

            สำหรับการปลุกเสกกุมารทองนั้น ขุนแผนไม่ได้ใช้หุ่นไม้หรือวัตถุใดๆ แต่จะใช้ของจริงคือซากผีจริงๆ มาไว้ติดตัว การทำหุ่นผีจากถ่านไฟเผาผีที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารนั้น ซึ่งถือเป็นวันแรงอย่างยิ่งแต่ก็หายากอยู่ ประกอบกับขุนแผนต้องการให้ขลังยิ่งๆ ขึ้น จึงคิดจะหากุมารทองที่อยู่ในท้องคนเป็นๆ เลยทีเดียว

            เมื่อเดินทางมาถึงไร่ของหมื่นหาญ จึงแอบเห็นบัวคลี่ลูกสาวหมื่นหาญ และตรวจดูลักษณะตามตำราก็รู้ว่าถ้ามีลูกคนแรกจะเป็นผู้ชาย ตรงกับความประสงค์ในการกำเนิดกุมารทอง จึงหาทางเข้าไปพบหมื่นหาญจนสำเร็จ แล้วเป่าคาถามหาละลวยจนหมื่นหาญงวยงงและเกิดความเมตตาสงสาร รับเลี้ยงไว้ในบ้าน เข้านอกออกในได้ตามสบาย

            จากความคุ้นเคยก็เป็นที่ชื่นชอบของหมื่นหาญและเมียหลายอย่าง จึงยกบัวคลี่ลูกสาวให้เป็นเมีย หลายเดือนผ่านไป บัวคลี่ก็ตั้งท้องได้หลายเดือน ขุนแผนจึงเดินเรื่องปลุกเสกกุมารทอง พอตกดึกผู้คนนอนกันหมดแล้ว ขุนแผนจึงร่ายมนตร์สะกดคนทั้งบ้าน รวมทั้งบัวคลี่เมียรักให้หลับสนิท

            ขุนแผนจึงได้จัดแจงเอาเครื่องมือในการปลุกเสกที่เตรียมไว้ ประกอบด้วยเทียนกรัก เหล็ก สายสิญจน์ เลขยันต์ลงยาและมีดหมอเข้าไปในเรือนที่บัวคลี่นอนหลับอยู่ จากนั้นจึงเอาปลายมีดจิ้มลงตรงช่วงลิ้นปี่แล้วกรีดเป็นรอยยาวถึงสะดือ เผยให้เห็นร่างทารกน้อยที่นอนขดอยู่ในเยื่อหุ้ม จึงเอามือควักออกมาจนเลือดทะลักนองพื้น บัวคลี่ดิ้นรนอยู่พักใหญ่ในที่สุดก็ขาดใจตาย

            จากนั้นก็บอกว่าจะตั้งชื่อให้ลูกว่ากุมารทอง แล้วก่อไฟด้วยไม้รักปักเสาลงทั้งสี่ทิศ วางสายสิญจน์ ปักธงปิดยันต์ตามทิศเป็นมณฑลพิธี เบื้องบนเพดานลงยันต์สังวาลอมรินทร์ เบื้องล่างลงยันต์แม่พระธรณี เอาไม้ชัยพฤกษ์มาปักพาดทำเป็นร้านสำหรับวางศพ

            ที่หัวศพปักยันต์นารายณ์ เอาไม้มะริดไม้กันเกราเถากันภัยมาทำเป็นฟืน เมื่อก่อไฟติดดีแล้ว ขุนแผนก็เริ่มร่ายเวทมนตร์ ย่างศพไปพลิกกลับไปกลับมาจนแห้งดีแล้วก็เป็นอันเสร็จพิธีปลุกเสกกุมารทอง

            หลังจากนั้นก็นำน้ำรักทาแล้วโรยด้วยขมิ้นจนเหลืองอร่าม จนมองดูเป็นสีทอง จากนั้นขุนแผนจะบริกรรมคาถา ปลุกกุมารทองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกุมารทองลุกขึ้นนั่งได้

            เมื่อหมื่นหาญรู้ว่าบัวคลี่ลูกสาวถูกขุนแผนฆ่าตายจึงระดมพลครั้งใหญ่ อาวุธครบมือ สะกดรอยตามรอยเลือดที่หยดไปเป็นทาง ไปจนถึงวิหารวัดใต้ที่ขุนแผนได้ลั่นดาลประตูไว้เพื่อทำพิธีปลุกเสกกุมารทองในวิหาร

            หมื่นหาญหารูมองเข้าไปในวิหาร เห็นขุนแผนทำพิธีปลุกเสกกุมารทองอยู่จึงสั่งสมุนบ่าวไพร่ล้อมวิหารไว้ทุกด้าน แล้วใช้ท่อนซุงกระทุ้งประตูวิหาร เมื่อกุมารทองลุกขึ้นนั่งได้ก็ถือว่าสำเร็จแล้ว จึงขี่คอกุมารทองลอดออกทางรูเล็กๆ ออกมาได้โดยที่พวกที่ล้อมไว้มองไม่เห็น

          ทั้งหลายทั้งปวงนั้น คือกรรมวิธีปลุกเสกกุมารทอง และอิทธิฤทธิ์ของกุมารทองที่พาเจ้าของหนีรอดภยันตรายต่างๆ ออกมาได้อย่างปลอดภัย

เรื่องโดย. เทพ บางกะดี

ภาพโดย. Ai


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •