27 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ช่วงที่ “เถิง” ยังเป็นเด็กวัยเรียนใส่กางเกงขาสั้นและเพิ่งจบชั้น ม.3 เป็นช่วงปลายฤดูหนาวที่จะเข้ารอยต่อของฤดูร้อน อากาศกำลังแปรปรวนได้ที่ ทำให้บางทีมีฝนฟ้าตกบ้าง ประกอบกับพื้นที่บ้านของเถิงอยู่ชายแดนจังหวัดปราจีนบุรีและติดภูเขา ทำให้กั้นเมฆจนเกิดเป็นฝนตกประจำ

                พ่อกับแม่ของเถิงเข้าไปทำงานในกรุงเทพ ปล่อยให้เถิงอยู่กับลุงที่เป็นพี่ชายของแม่ ชีวิตก็สุขสบายตามอัตภาพ…กลางวันลุงไปทำไร่ ช่วงไหนว่างจากทำไร่ก็ไปจับกบจับเขียดตอนกลางคืน ดังนั้น หากคืนไหนฝนฟ้าตกพรำๆ หากลุงไม่เมาเสียก่อนก็จะออกไปส่องไฟหากบหาเขียดเอากลับมาขังไว้ที่บ้าน จากนั้นจะทำอาหารจึงจับไปย่างหรือไปต้มตามแต่จะต้องการ

                วันสอบสุดท้ายเถิงมีความสุขมากแม้ฟ้าฝนจะเททั้งวัน และเถิงต้องเดินตากฝนกลับบ้านร่วมกับเพื่อนๆ ก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนใจ เพราะสอบเสร็จแล้วก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก เถิงและเพื่อนๆ คุยกันเฮฮามาตลอดทาง ยังไม่ตอบตกลงเพื่อนๆ ที่ชวนกันไปดูหนังกลางแปลงที่ต่างหมู่บ้าน เถิงคิดอยากจะไปส่องกบบ้าง ถ้าโอกาสเป็นใจจะขโมยไฟส่องกบแบบสวมหัวของลุงไปเดินลุยฝนตอนกลางคืนให้ฉ่ำใจ แต่ก็ต้องลุ้นว่าลุงจะเมาหรือเปล่า ถ้าสบโอกาสก็หยิบไฟฉายไปเลย…เด็กหนุ่มคิดแบบนั้น จึงยังไม่ได้นัดกับเพื่อนๆ เรื่องไปเที่ยวต่างหมู่บ้าน

                เมื่อเดินมาถึงบ้าน พบลุงออกไปข้างนอก แต่ป้าก็ทำกับข้าวให้กินเรียบร้อย จึงรู้ว่าลุงไปงานแต่งงานหลานเพื่อนที่รู้จักกัน และชั่วโมงต่อมาแม้ฝนจะยังไม่ขาดเม็ด แต่ลุงก็เดินโซเซกลับบ้านเพราะเมาเหล้ามาเต็มที่ จนต้องพยุงเข้าบ้าน นั่นหมายความว่าคืนนี้ลุงคงนอนหลับสนิทยันเช้าแน่นอน กระทั่งถึงสามทุ่ม…ป้าเข้านอน…ก่อนเข้านอนก็เอ็ดตะโรกับลุงที่เมามาย จากนั้นก็เงียบเสียงไปจนได้ยินเสียงกรนของลุงสลับกับเสียงกรนเบาๆของป้า นั่นคือสัญญาณที่เถิงจะคว้าไฟฉายสวมหัวของลุงเข้าที่แล้วก็เดินลงเรือนไป

                ไฟฉายของลุงส่องทางดีมาก เดินไม่มีตกคันนาหรือท้องร่องสวน เพราะมันสว่างจ้าได้ใจ แม้ฝนจะตกพรำๆ ก็ตาม อำนาจฝนหรือเสียงฟ้าร้องและแสงฟ้าแลบไม่ทำให้ความตื่นเต้นจากการเดินส่องไฟหากบของเถิงลดลงแต่อย่างใด มันทำให้เขาเดินไกลเกินกว่าที่ตั้งใจแต่แรก กระทั่งคิดว่าควรจะกลับบ้านเสียทีจึงเดินกลับมาตามทิศที่คิดว่าใช่ทางกลับบ้านแน่ๆ ตอนนั้นดูเหมือนเถิงจะจำเส้นทางกลับบ้านไม่ได้ ส่องไฟไปทางไหนก็ไม่คุ้นเคย เหมือนเขาจะพาตัวเองหลงไปในพื้นที่ที่ไม่รู้จักเสียแล้ว

                เขาทำใจดีสู้เสือ ฝนก็ยังตกพรำๆ ทำให้ลบรอยเท้าตัวเองว่ามาจากทิศทางไหน เขาแค่คิดว่าน่าจะเดินให้พบเสาไฟฟ้าแรงสูงที่พาดใกล้หมู่บ้านดูจะเป็นทางเลือกที่เหมาะที่สุด อีกทั้งดวงไฟแดงๆ ที่กะพริบอยู่บนยอดเสานั้นจะช่วยให้สังเกตได้เด่นชัดยามค่ำคืนที่ฟ้ารั่วแบบนี้ เถิงเดินตัดทุ่งออกไปกระทั่งพบเส้นทางเกวียนที่เป็นทางเล็กๆ แคบๆ เขาเดินไปตามทางนั้นจนได้กลิ่นบุหรี่ที่เป็นสัญญาณของบ้านคน และก็จริงดังคาด เพราะในที่สุดเขาก็เห็นแคร่ที่มีหลังคาเข้าหลังหนึ่ง  มีแสงไฟวาบๆ ของคนที่สูบบุหรี่อยู่ในนั้น เถิงจึงเดินเข้าไปหา

                คนที่กำลังสูบบุหรี่แดงวาบๆ นั้นเป็นชายวัยกลางคนที่ชื่อ “ทิดพูน” ซึ่งเถิงเคยเห็นแกเดินอยู่ในหมู่บ้าน แกเป็นคนที่ไม่ค่อยพูดจากับใครนัก ชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ แต่มาเจอแกที่ทางเกวียนแบบนี้ก็ดี เพราะเถิงเองก็กำลังมืดแปดด้านไม่รู้ว่าจะกลับไปหมู่บ้านได้อย่างไรพอดี

                เถิงทักทายทิดพูน ต่อมาจึงได้รู้ว่าแกมานั่งที่เพิงตรงนั้นก็เพราะว่าเพิ่งลงจากภูเขามา ตอนนั้นเถิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทิดพูนไปมีธุระอะไรอยู่บนเขา บางทีอาจจะเกินกว่าที่เด็กอย่างเขาจะเข้าใจได้ พอเถิงถามว่าเมื่อไหร่จะกลับบ้าน เพราะถ้าทิดพูนกลับบ้านก็จะได้ให้แกนำทางกลับหมู่บ้านด้วย แต่ทิดพูนตอบแบบเรื่อยๆ ว่า “มันยังไม่ถึงเวลากลับบ้านว่ะไอ้หนุ่ม” เถิงใจเสีย แต่ก็เริ่มมีความหวังตอนที่ทิดพูนบอกว่า “เอาวะ เดี๋ยวจะเดินไปส่งเอ็ง เห็นว่าหลงทางมาไม่ใช่เรอะ” ประโยคสุดท้ายทำให้เถิงรู้สึกดี อย่างน้อยก็ยังมีคนจะไปส่ง

                ชายต่างวัยเดินคุยกันมา ระหว่างนั้นทิดพูนสูบบุหรี่จัดตลอดเวลา แกสูบบุหรี่มวนต่อมวน แม้ฝนจะตกหนักหรือตกพรำๆ แต่บุหรี่ของแกก็ไม่ค่อยดับ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกแต่เถิงไม่คิดมาก เพราะมองว่าคนที่ติดบุหรี่ก็มีวิธีสูบอย่างต่อเนื่องได้อยู่แล้ว  ระหว่างนั้นก็คุยทำลายความเงียบกันไปเรื่อยๆ กระทั่งพาออกนอกเส้นทางเกวียน เดินไปอีกระยะก็พบว่ามาโผล่กันที่ตีนเขา พอเถิงมองไปรอบๆ ก็ยิ่งงงว่าตรงนั้นเป็นจุดไหน รู้สึกว่ามันคงจะห่างไกลจากเสาไฟฟ้าสูงๆ ที่เป็นที่หมายตาตามที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก ตอนแรกคิดว่าหลงทางแล้ว มาถึงจุดนั้นยิ่งถือว่าหลงไกลเข้าไปอีก

                 “เอาน่า ไอ้หนุ่ม ไม่ต้องคิดอะไรมาก เดี๋ยวจะพาไปหาขุมทรัพย์” ทิดพูนพูดเหมือนติดตลกจนทำให้เถิงหายตกใจ ไม่น่าเชื่อว่าทิดพูนพาเลาะไปตามพื้นที่เชิงเขาที่มีกบและเขียดให้จับเป็นจำนวนมาก ชนิดที่ไม่เคยเห็นแบบนั้นมาก่อน  เมื่อเอาไปเปรียบกับกบเขียดที่ลุงของเถิงเคยจับได้หลายๆ วันรวมกัน…เถิงคิดว่าการกลับบ้านแบบได้กบเต็มข้องแบบนี้ ลุงของเขาต้องภูมิใจแน่นอน

                ทิดพูนช่วยชี้ทางและช่วยจับกบเขียดแล้วเอาไปใส่ในข้องจนหนักอึ้ง ชนิดที่ควรจะพอได้แล้ว ขืนจับมากกว่านี้ก็คงเดินไม่ไหว นั่นเป็นสัญญาณที่บอกว่าได้เวลากลับบ้าน  อีกทั้งเถิงยังรู้สึกง่วงขนาดหนัก เมื่อดูนาฬิกาข้อมือของตัวเองก็บ่งบอกว่าเป็นเวลาราวตีหนึ่งครึ่ง  มิน่าถึงได้ง่วงขนาดนั้น

                ความง่วงบวกกับความเพลียทำให้เถิงทำข้องตกลงไปในคูลึก ต้องใช้ไม้ถ่อต่อลงไปในคูเพื่อหยิบข้อง ระหว่างที่กำลังหากิ่งไม้มา แค่ชั่วอึดใจก็ได้กลิ่นควันบุหรี่มาเป่ารดต้นคอ เขารู้สึกตกใจ และเมื่อหันกลับก็พบว่าเป็นทิดพูนนั่นเองที่ไปหยิบข้องจากคูลึกขึ้นมาได้อย่างไรไม่รู้

                “อ้าวทิดพูน ทำไมหยิบไวนัก ผมยังหากิ่งไม้มาต่อเพื่อปีนลงไปไม่ได้เลย” เถิงว่า แกไม่ตอบอะไร ได้แต่หัวเราะหึๆ พลางสูบบุหรี่พ่นควันปุ๋ยๆ จากนั้นก็ชวนเดินต่อพร้อมนำทางเถิงเดินอ้อมเชิงเขา กระทั่งถึงจุดที่มีเสาไฟฟ้าแรงสูงอันเป็นที่หมายตาไว้แต่แรก เมื่อแหงนมองเสาไฟฟ้าก็เห็นไฟแดงวาบๆ

                “ส่งแค่นี้นะ คงเดินกลับบ้านได้ล่ะ” ทิดพูนบอก

                “ไหงไม่กลับไปที่หมู่บ้านด้วยกันล่ะทิด บ้านทิดก็อยู่ไม่ไกลบ้านผมไม่ใช่หรือ” เถิงสงสัย

                “ยังเข้าไปไม่ได้ ต้องนอนที่นี่ก่อนสักสองคืน” ทิดพูนพูดเน้นๆ

                เถิงไม่เข้าใจคำพูดของทิดพูน แต่ก็พยักหน้าตามที่แกบอก ได้แต่คิดว่าเรื่องของผู้ใหญ่มันซับซ้อนนัก สงสัยคงทะเลาะกับเมียมั้ง หรือไม่ก็งอนกัน คิดแบบนั้นก็ยิ้มให้ทิดพูน แต่แกกลับตีหน้าเศร้าๆ พร้อมกับเสริมว่า “เอ็งกลับไปเถอะ ทิดจะขอนอนที่เพิงสักสองคืนตามที่บอก จากนั้นก็จะมีคนมารับทิดล่ะ เอ็งไปได้แล้ว” แกโบกมือให้กลับ

                เถิงยกมือสวัสดีแล้วก็เดินจากมา พอเดินมาได้สัก 5 ก้าวก็นึกขึ้นได้ว่าจะแบ่งกบเขียดให้ทิดพูนบ้าง เพราะต้องอยู่ที่เพิงตั้งสองคืนกว่าจะกลับหมู่บ้าน และถ้าแกทะเลาะกับเมียก็จะอดกินอะไรด้วย ดังนั้นจึงหันกลับจะตะโกนเรียกทิดพูน แต่สิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่า “แกไปไหนเร็วจัง แค่กะพริบตาก็หายแวบเหมือนเป็นผี” เถิงโคลงหัวด้วยความสงสัย ตอนนั้นได้กลิ่นบุหรี่จางๆ ในอากาศ

                เถิงเดินมาตามเส้นทางที่หมายตา คราวนี้ไม่พลาดในการเดินเข้าหมู่บ้าน ระหว่างนั้นเหมือนกับได้กลิ่นบุหรี่ของทิดพูนตามมาตลอด แรกๆ ก็อุปาทานว่าคงเป็นเพราะกลิ่นบุหรี่ที่ทิดพูนพ่นไปตลอดทางที่หากบเขียดด้วยกันปลิวมาติดเสื้อผ้า แต่มันไม่น่าจะกลิ่นแรงขนาดนั้น  พอเดินเข้าหมู่บ้านได้ กลิ่นบุหรี่ดังกล่าวก็หายไปราวกับเล่นกล

                สายวันรุ่งขึ้น ลุงกับป้าไปไหนไม่รู้แต่เช้า…เพื่อนๆ ของเถิงแวะมาคุยเรื่องไปเที่ยวที่ต่างหมู่บ้าน และดีใจเมื่อเถิงแบ่งกบเขียดที่หามาได้เมื่อวาน ให้เพื่อนๆ ไปบางส่วน พร้อมกับเล่าเรื่องที่พบมาเมื่อคืนให้เพื่อนๆ ฟัง  ซึ่งพวกนั้นต่างก็แปลกใจเพราะรู้กันว่าทิดพูนแกไม่สุงสิงกับใครมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำไมถึงได้เมตตาเถิงเป็นพิเศษ ยิ่งตอนที่ได้ยินเรื่องทิดพูนหยิบข้องในคูลึกโดยไม่ต้องใช้กิ่งไม้ด้วยแล้วเพื่อนๆ ยิ่งสงสัย  จากนั้นก็หันไปคุยเรื่องอื่นก่อนจะกลับบ้านกันไป

                ถัดจากวันนั้นไปอีก 2 วัน เป็นวันที่ทางโรงเรียนนัดไปรับสมุดพกแสดงผลการเรียน นักเรียนทุกคนต่างยิ้มหน้าบานเพราะจบการศึกษา ม.3 กันเสียที ใครที่คิดจะเรียนต่อก็หาช่องกันต่อไป ส่วนเถิงกับเพื่อนๆ อีกหลายคนคิดว่าพอแค่นั้นแล้ว จากนั้นก็คิดจะไปสมัครงานหรืออะไรก็แล้วแต่  เรียกว่าวันนั้นทุกคนมีความสุขกันถ้วนหน้า ก่อนที่จะปล่อยนักเรียนกลับบ้าน ทางโรงเรียนก็ให้วิทยากรที่เป็นตำรวจมาอบรมนักเรียนเพื่อให้เข้าใจชีวิตมากยิ่งขึ้น

                ระหว่างช่วงการอบรมนั้น วิทยากรที่เป็นตำรวจก็อบรมไปเรื่อย และมีแถมตอนท้ายเรื่องการทำตัวให้ดี พร้อมกับยกตัวอย่างศพที่ไปพบที่เชิงเขา ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างไร่มันสำปะหลังกับป่าเชิงเขา โดยบอกว่าศพที่พบคือทิดพูนที่ตายมาแล้วรวม 5 วัน โดยถูกคู่อริยิงตายเพราะต้องการปิดปากเรื่องคดีความในอดีต จากนั้น ก็บรรยายต่อว่าคนเราหากเคยโกรธแค้นกันมาก่อนก็อาจลงมือโดยขาดสติกันได้ในที่เปลี่ยวห่างไกลผู้คนรู้เห็น จากนั้นก็พูดเรื่องอื่นๆ อีก สิ่งที่วิทยากรพูดทำให้เถิงถึงกับอึ้งเหมือนโดนตีแสกหน้า เพราะเมื่อ 3 คืนก่อนเขายังได้คุยกับทิดพูนแถมยังช่วยจับกบเขียดด้วย หากเรื่องที่ตำรวจพูดเป็นเรื่องจริงก็แสดงว่าทิดพูนที่เห็นว่ามาคุยกับเถิง ก็คือวันที่แกตายไปแล้วถึง 2 วันก่อนหน้านั่นเอง

                “เฮ้ย ไอ้เถิง นี่มึงไปคุยกับคนที่ตายไปแล้วถึงสองวันนี่หว่า กูขนลุกไปหมดแล้ว มึงเจอมาจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าหลอกพวกกูเล่น” เพื่อนที่ได้รับแจกกบเขียดจากเถิงไปเมื่อวานพูดพลางลูบแขนตัวเอง พอเถิงบอกว่าเป็นเรื่องจริง เพื่อนถึงกับมองซ้ายมองขวาแล้วลูบแขนตัวเองซ้ำๆ อีก

                เนื่องจากวิทยากรเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนและเป็นรุ่นพี่เถิงไม่กี่ปี  เมื่อเถิงเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่ไปพบมาพร้อมขอร้องให้พาไปดูที่เกิดเหตุ โดยยกโขยงกันไปกับเพื่อนๆ ทั้งหมดจึงขึ้นรถกระบะเปิดท้ายไปจนถึงถนนใกล้เชิงเขา จากนั้นจึงเดินลัดเลาะเลียบเชิงเขาไปจนถึงจุดพบศพ จุดนั้นเป็นจุดที่เถิงจำได้ว่ายืนคุยกับแกอยู่ และรุ่นพี่ที่เป็นตำรวจบอกว่าเลยไปอีกไม่ถึง 10 ก้าวก็พบศพที่มีใบมันสำปะหลังปิดอำพรางศพเอาไว้ เชื่อกันว่าใบมันจะช่วยดับกลิ่นได้ดี บางทีนั่นอาจเป็นเหตุที่ทำไมเถิงถึงไม่เดินไปเหยียบศพทิดพูนเข้าให้…

                ระหว่างนั้นเถิงได้กลิ่นบุหรี่ลอยฉุนเข้าจมูก ทั้งๆ ที่ไม่มีใครในกลุ่มสูบบุหรี่  ทุกคนต่างได้กลิ่นบุหรี่คลุ้งขึ้นมาถ้วนหน้า ต่างก็พยักหน้ารีบออกจากจุดเกิดเหตุ เพราะทุกคนก็ได้รู้ความจริงกันแล้ว จากนั้นก็กลับหมู่บ้านด้วยใจที่ไม่ค่อยเป็นสุขนัก โดยเฉพาะเถิงถึงกับกลายเป็นคนคิดมากไปทันที เพราะเขาคือคนที่ได้ชื่อว่าคุยกับผีหลังจากโดนฆาตกรรมไปแล้วสองวัน

                เสร็จเรื่องทางการทำคดีของศพทิดพูน หลังจากทางด้านตำรวจที่เกี่ยวกับนิติวิทยาแล้ว ร่างของทิดพูนก็ถูกนำมาทำพิธีศพที่หมู่บ้านท่ามกลางเสียงร่ำลือต่างๆ นานา  ตอนนั้นบรรดาผู้ใหญ่ในหมู่บ้านไปร่วมงานศพของทิดพูนเนื่องจากเป็นศพที่ตายโหงในคดีฆาตกรรมจึงทำพิธีกันแค่ 3 วัน จากนั้นก็จะเผากันเลย

                คืนแรกที่สวดศพ ฝนตกแทบไม่ลืมหูลืมตา ทำให้คนกลับบ้านกันเร็ว ต่างก็นอนกันแต่หัวค่ำ ระหว่างนั้นเถิงนอนไม่หลับ มันรู้สึกกระสับกระส่าย ใจหนึ่งก็คิดอยากจะออกไปจับกบเขียด เพราะนัดกับเพื่อนๆ เอาไว้ที่ท้ายหมู่บ้านว่าจะไปจับกบด้วยกัน รอเพียงให้ลุงหลับก่อนจะได้หยิบไฟฉายคาดหัวติดไป ราวสามทุ่มลุงหลับแล้ว…เถิงฉวยเอาไฟฉายสวมหัวได้ก็เผ่นออกไปโดยมุ่งหน้าไปที่ท้ายหมู่บ้าน เห็นไฟสว่างวาบๆ ที่ดงไม้ คิดว่าเพื่อนๆ มากันแล้วแถมยังแอบสูบบุหรี่อีก

                เถิงไปถึงต้นไม้ต้นที่ว่า กลิ่นบุหรี่ลอยคลุ้ง  แสงไฟวาบๆ เห็นจากเบื้องหลัง ทำให้เถิงตะโกนออกไปว่า “ไอ้จ่อย มึงไม่ต้องมาซ่อนกูเลย แอบสูบบุหรี่แบบนี้ถ้าแม่เอ็งรู้โดนตีหลังลายแน่ๆ”  พอเดินอ้อมไปหลังต้นไม้ก็ไม่เห็นไอ้จ่อยแต่อย่างใด คงได้กลิ่นบุหรี่ฉุนๆ เท่านั้น “มึงอย่าเล่นตลกนะ กูไม่ตลกด้วย เร็ว รีบไปกันเร็ว เดี๋ยวจะยิ่งดึก” เถิงเร่ง

                เสียงย่ำดินย่ำใบไม้หลังต้นไม้ดังขึ้น แต่พอเถิงเดินอ้อมจะไปดูก็ไม่เห็นมีใคร มีแต่กลิ่นบุหรี่กับก้นบุหรี่ไฟแดงวาบๆ อยู่รายรอบต้นไม้ที่หลังหมู่บ้าน เถิงวนรอบต้นไม้จนเริ่มโกรธจึงบอกว่า “ถ้ามึงไม่ออกมา กูจะกลับแล้ว ไม่ต้องไปหามันแล้วกบเขียด…กูกลับบ้านดีกว่า” เถิดพูด

                ทันใดมีเสียงจากกิ่งไม้เบื้องบนโดยรอบ น้ำฝนที่ค้างใบไม้ร่วงพรูใส่หัวจนชุ่ม เมื่อแหงนหน้าขึ้นไปมอง เถิงถึงกับล้มก้นจ้ำเบ้าที่โคนต้นไม้ เบื้องบนมีร่างของคนจำนวนมากที่นั่งอยู่บนคาคบกิ่งไม้ ต่างคนต่างสูบบุหรี่วาบๆ  แต่ละคนมีคบไฟบ้าง ไฟฉายบ้างถือในมือ หน้าตาแต่ละคนเปียกชุ่มด้วยเม็ดฝน ตาแดงเหมือนไฟบุหรี่ ต่างก็จ้องลงมาที่เถิงเป็นตาเดียว เถิงตะลึงอยู่ชั่วขณะก่อนจะคลานออกมาแล้วลุกวิ่งหน้าตั้งเข้าหมู่บ้านทันที พอถึงบ้านก็นอนคลุมโปงชนิดพุ่งทะลุมุ้งเข้าไปทั้งดินโคลนเลอะไปทั่วตัว

                วันรุ่งขึ้นลุงกับป้าต้องพาเถิงไปที่วัดแล้วให้พระทำพิธีสวดถอนวิญญาณต่างๆ ที่ตามเถิงมาจากป่า พระบอกว่าเถิงไปเดินวนเวียนหากบเขียดหลายที่ในคืนที่ไปกับผีทิดพูน บางทีก็บุกเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามจึงได้กบเขียดมาเป็นจำนวนมาก แต่ละที่ก็มีคนตายไปทั่ว รวมทั้งมีผีจากป่าจากเขาตามมาด้วย พวกมันมารอดักอยู่ที่โคนต้นไม้จะมาเอาชีวิตเถิง จึงต้องมาทำพิธีสวดให้ด้วยแบบนี้

                งานนั้นเถิงมารู้ทีหลังว่าเพื่อนๆ ที่นัดไว้ไม่ไปตามนัดเพราะพ่อแม่ห้ามปรามเอาไว้ เนื่องจากเชื่อว่าผีที่เพิ่งตายไปไม่นานจะตามมาในหมู่บ้าน อีกทั้งเป็นผีตายโหงย่อมอาฆาตแรงเป็นพิเศษ ความที่ฝนตกหนักทำให้สื่อสารกันไม่ได้ และกลายเป็นว่าเถิงออกมาคนเดียวในคืนนั้น

                เหตุการณ์แบบนั้นทำให้เถิงเข็ดการออกไปส่องไฟจับกบเขียดยามค่ำคืนไปอีกนาน

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. วรพจน์

ภาพโดย. วรพจน์, thedarkestblog.com, www.goodfon.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •