27 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ผมเกิดที่ราชวัตรไม่ไกลจากวังสวนจิตรลดาฯ มากนัก สมัยที่ผมเกิดถนนหนทางไปมาสะดวกแล้ว ไม่น่ากลัวหรือสัญจรลำบากอย่างเมื่อก่อน  ถนนที่ผมกำลังพูดถึงนี้คือถนนพระรามที่ห้า 

เป็นถนนที่ทอดยาวเลียบคลองเปรมประชากรไปโดยตลอด  ผ่านสถานที่สำคัญๆ ก็หลายแห่ง ที่เห็นก็มีวังสวนจิตรฯ หนึ่งล่ะ เขาดินฯ วัดเบญจมบพิตรฯ 

พอรถเลี้ยวซ้ายไปทางนางเลิ้งก็จะผ่านสนามม้านางเลิ้ง เห็นทำเนียบรัฐบาลอยู่เยื้องๆ ออกไป แล้วก็เลี้ยวขวาอีกทีไปตลาดนางเลิ้ง  ผ่านวังพระยาสุรศักดิ์มนตรี  ไปออกผ่านฟ้า ข้ามสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เข้าไปทางถนนมหาไชย วิ่งตรงไปหน้าคุกคลองเปรมฯ และก็ตรงไปหน้าวังบูรพาภิรมย์

“…นี่คือเส้นทางรถเมล์ที่วิ่งประจำหน้าบ้านผม คือรถเมล์ศรีนครของนายนาคิน” 

ปัจจุบันรถเมล์ศรีนครเลิกไปแล้ว กลายมาเป็นรถประจำทางสายห้าในปัจจุบัน  ทางวิ่งก็เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในช่วงที่จะผ่านหน้าวังบูรพาก็เลี้ยวซ้ายขึ้นสะพานดำรงสถิต

ส่วนสะพานเหล็กล่าง คือสะพานพิทย์เสถียรอยู่แถวๆ วัดมหรรณฯ ใกล้ๆ หัวลำโพงนู่น คนละสะพานกัน  พอขึ้นสะพานก็วิ่งมาเลี้ยวขวาที่แยกเอส เอ บีอีกครั้ง เลี้ยวขวาไปทางสำเพ็งหัวเม็ด ผ่านร้านเจ้ากรมเป๋อขายยาแผนโบราณ วกกลับมาผ่านหน้าพาหุรัดและวังบูรพาอีกครั้ง

ส่วนรถเสริมจะไปวนที่ปากคลองตลาดโน่น  ก็คงพอจะเห็นภาพเส้นทางตลอดจนสถานที่ที่รถสายห้าผ่านแล้วนะครับ แต่เรื่องที่จะเล่าให้ฟังนี้ย้อนหลังไปอีกสักสี่สิบกว่าปีเห็นจะได้  สมัยนั้นถนนสายพระรามห้าตลอดทั้งสายจะเงียบมาก วังเวงน่ากลัว… 

…มีคลอง คือคลองเปรมขนานไป ริมคลองหญ้าคาก็ขึ้นสูงท่วมหัว  รถราก็ไม่มีวิ่งกันพลุกพล่านอย่างสมัยนี้ นานๆ จะโผล่สักคัน ส่วนรถเมล์ที่วิ่งตลอดระยะทางเป็นประจำ ก็มีอยู่สายเดียวคือรถศรีนคร ของนายนาคินอย่างที่บอกไปแล้ว  แต่ก่อนรถที่วิ่งก็ไม่ได้วิ่งตลอดทั้งคืนหรือดึกดื่นอย่างสมัยนี้ 

“…มันจะวิ่งอยู่แค่สามทุ่มเท่านั้น แค่นั้นก็แทบจะไม่มีคนขึ้นแล้ว… 

ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น

…สมัยก่อน ทุ่มสองทุ่มก็เข้าบ้านดูหนังดูทีวีกันหมด  รถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่เรียกว่าเหรดมากๆ หรือช้ามากก็ไม่เกินสี่ทุ่ม บางคันออกจากอู่บางซื่อ  ปลายทางวังบูรพาภิรมย์ เวลานั้นก็แทบจะไม่เหลือใครมารอขึ้นแล้ว 

“…ตลอดสองข้างทางมืดทะมึน แลดูน่ากลัวเพราะไฟฟ้าที่ถนนก็ยังเป็นหลอดทังสเตนที่ให้แสงสีเหลืองๆ ไม่ใช่ฟลูออเรสเซนต์อย่างทุกวันนี้”

มีเรื่องที่พวกชาวรถเมล์บอกให้ระวังเสมอๆ ก็คือ เรื่องโดนรถบ๊วย

“…ซึ่งหมายถึงคันสุดท้าย ใครโดนบ๊วยล่ะก็เป็นใจคอไม่ดีกันเลยทีเดียว  เพราะถนนพระรามห้าเป็นถนนที่ตกค่ำแล้วแทบไม่มีคนเดิน  ยิ่งดึกยิ่งหวาดระแวงกันใหญ่  แยกสนามม้า แยกวัดเบญจมบพิตรฯ แยกบางซื่อ แยกต่างๆ เหล่านี้เป็นแยกที่ชาวรถเมล์เค้าผวาทั้งนั้น” 

ไม่ใช่แค่คนสองคนที่เจอ แต่โดนกันมาเกือบจะครบทั้งอู่แล้วมากบ้างน้อยบ้าง เค้าไม่ได้กลัวขโมยกลัวโจรกันหรอก ที่จะมาคอยปล้นรถเมล์ เพราะสมัยก่อนขโมยขโจรน้อยมาก ที่เค้ากลัวกันก็คือ “ ผี “

มีอยู่คราวหนึ่งนายพรที่เป็นคนขับรถเมล์ ชาวบ้านรู้จักกันดีเพราะแกใจดี อัธยาศัยดี คุยสนุก แกเล่าให้ผู้โดยสารฟังว่า 

“…แกโดนบ๊วย ตอนนั้นประมาณสักสามทุ่มกว่าๆ แล้วแกออกจากท่ารถวังบูรพาภิรมย์ ในรถคันที่แกขับมีคนโดยสารนั่งมาด้วยสองสามคน  มาลงที่ผ่านฟ้าฯ คนหนึ่งและขึ้นมาอีกคนหนึ่ง… 

…ส่วนใหญ่ผู้ที่จะกลับดึกขนาดนี้ก็มีแค่พวกเล่นหวย  เล่นถั่วโปเท่านั้น และร้อยทั้งร้อยก็จะมาลงที่แหล่งใหญ่คือนางเลิ้ง พอแกวิ่งจากนางเลิ้งมา  รถก็ไม่มีคนโดยสารแล้ว เป็นรถเปล่า มีแต่คนขับคือแกกับกระเป๋าแค่สองเท่านั้น”

ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น

นายพรขับรถมาเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อนอะไร เพราะเห็นว่าไหนๆ ก็ไม่มีผู้โดยสารแล้ว อีกอย่างก็คือถนนว่างเหลือเกิน  ทั้งสองคนพูดคุยหยอกล้อกันมาตลอดทาง 

รถวิ่งข้ามสะพานแล้วเลี้ยวมาทางวัดเบญจมบพิตรฯ ก็ไม่มีคนเรียกขึ้นเลยสักคนเดียว  แต่พอแกแล่นเลี้ยวเลยสี่แยกมาสักหน่อย ก็มีเสียงตะโกนเรียกให้รถหยุดและรอรับด้วย

ทั้งนายพรและกระเป๋าหันหน้าไปมองดูพร้อมๆ กัน  และสงสัยใครนะมาเรียกดึกๆ อย่างนี้  แกเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่เกือบๆ กลางถนน  กำลังกวักมือกวักไม้เรียกให้คอยจะขอติดรถไปด้วย

“พอนายพรจอดรถ ผู้หญิงที่ว่าคนนั้นก็อุ้มลูกรีบวิ่งอย่างรวดเร็วมาขึ้นรถทันที” นายพรจึงหันไปถามว่า

“ป้าจะไปที่ไหนเนี่ย  รถไปแค่อู่บางซื่อนะ “  ตาพรถามด้วยความหวังดี

“อ๋อ  ฉันจะลงแค่เขาดินนี่เองแหละ  เดินไม่ไหวอ้ายแดงตัวมันหนักนัก”

“แล้วนี่ป้าไปไหนมา  ถึงได้กลับดึกดื่นขนาดนี้”

นายพรชวนคุย

“ฉันไปตามผัวฉันที่มาเล่นถั่วโปหลังวัดเบญฯ แต่ไม่เจอกัน”

มันน่าแปลกตรงที่ว่าผู้หญิงกับเด็กคนนั้นนั่งอยู่ท้ายรถ  ตาพรกับกระเป๋านั่งหน้ารถ  แต่เสียงที่แกพูดดังชัดแจ๋วเลย 

ตาพรมองผู้หญิงคนนั้นในกระจกหลัง  สังเกตเห็นแกนุ่งผ้าเก่าๆ สีดำมอๆ ใส่เสื้อสีขาว มีผ้าผืนไม่ใหญ่ไม่เล็กคลุมหัวเอาไว้ และผ้านี้ยังมาคลุมเด็กด้วย  นายพรถามต่อ

ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น

“แหมป้า ก็ไม่น่าออกมาค่ำๆ มืดๆ อย่างนี้ ไอ้หนูมันจะลำบากแย่”

“…ไม่ได้หรอกพ่อคุณ จะไปไหนก็ต้องเอามันไปด้วย เดี๋ยวมันร้องตายเลย ฉันลำบากมากวิ่งตามผัวเจ้าชู้เล่นหวยเล่นโป  ตามกันไม่หวาดไหว”

พอรถวิ่งมาถึงแยกเขาดิน ผู้หญิงคนนั้นก็บอกว่าจะลงแล้ว  แต่ยังไม่ทันที่ตาพรจะหยุดรถเมล์ให้แกลงเลย ผู้หญิงคนนั้นจู่ๆ ก็อุ้มลูกกระโดดแผล็วลงไปทันที

ตาพรตกใจมาก กลัวผู้หญิงกับเด็กจะเป็นอันตราย… 

…รีบจอดรถชวนกระเป๋าลงไปดู แต่หาดูกันเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แววของผู้หญิงและเด็กนั่นเลย ตาพรเสียขวัญรีบเรียกกระเป๋าให้ขึ้นมา ตั้งสติได้ก็ขับรถออกไปแต่ไม่วายที่จะเหลือบมองกระจกหลังไปด้วย 

แต่ดูๆ แล้วก็ไม่เห็นอะไร รถเคลื่อนออกมาได้สักพัก ทั้งตาพรและกระเป๋าก็ได้ยินเสียงหัวเราะแหลมเล็กตามหลังมา แกบอก….

“แก…เย็นวาบไปทั่วตัว ขนลุกซู่ๆ กระเป๋าก็หวาดกลัวไม่ต่างจากแกเหมือนกัน  แกมองดูกระจกทีนี้ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นกับเด็กที่อุ้มตัวสูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เด็กก็ค่อยๆ โต  โตขึ้นและกวักมือให้”

ตาพรและเด็กกระเป๋ากลัวจนแทบขวัญหนีดีฝ่อ  ขับรถแบบเหยียบเต็มที่จนรถมาถึงอู่  หยุดไม่ทันเลยชนประตูอู่เข้าอย่างจัง

“โครม…ม…ม “  ทั้งยาม ทั้งผู้ที่ยังอยู่ในอู่สะดุ้งเป็นแถวๆ

ยามรีบวิ่งมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น? ทำไมขับรถได้ทุเรศอย่างนี้…เมามารึไง ตาพรไม่ต่อล้อต่อเถียง เพราะทั้งสองคน…ทั้งตาพรกับกระเป๋ากลัวจนพูดไม่ออก …ได้แต่เงอะๆ งะๆ อยู่  แขกยามเห็นอาการก็รู้ว่าตาพรกับกระเป๋าเป็นอะไร  ก็เลยเปรยๆ ออกมาว่า

“นี่คงโดนมาอีกคนแล้วล่ะสิ”

“เออหว่า น่ากลัวจริงๆ เลย”

ปรากฏทั้งตาพรทั้งกระเป๋าจับไข้เพราะความหวาดกลัวไปไหนมาไหนไม่ได้เสียสองสามวัน 

…เรื่องผีผู้หญิงและลูกนี้ จะมีคนเห็นกันบ่อยๆ เห็นแกเดินอุ้มลูกเดินไปทางวัดเบญฯ บ้าง บางทีก็นั่งร้องไห้อยู่ริมถนน  ไม่ก็มาคอยโบกรถ จนเป็นที่คุ้นเคยของพวกรถเมล์ เพราะอย่างน้อยๆ ก็โดนกันมาแล้วคนละครั้งสองครั้ง  ซึ่งตาพรและกระเป๋ามารู้ทีหลังว่า… 

“…ตรงสี่แยกวัดเบญฯ นั้น บางทีตอนกลางวันๆ…จะมีคนจีนแก่ๆ คนหนึ่ง ท่าทางสูงๆ ขาวๆ จะถือกับข้าวและข้าวมาวางพร้อมธูปอีกหนึ่งกำมาจุดไหว้  และมักจะเอาธูปปักไว้ตรงสี่แยกดอกหนึ่ง” 

แต่ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่า แกเอามาเซ่นใคร  แกทำอย่างนี้อยู่เป็นปีๆ ทีเดียว  แล้วมาระยะหลังๆ แกก็หายไป

บางคนก็บอกว่า

“แกเป็นนักเลงถั่วโปปั่น  ลูกเมียแกถูกรถชนตายที่สี่แยกหน้าวัดเบญฯ ตอนดึกๆ ที่เมียแกกับลูกออกตามหาแก แกก็เลยมาเซ่นไหว้เป็นประจำทุกวัน

การกระทำเช่นนี้ไม่เป็นผลดีเลยจนนิดเดียว 

“…เพราะจะทำให้วิญญาณไม่ไปไหน คอยจะลอยวนเวียนอยู่แถวๆ นั้น  เพื่อคอยให้แกต้องมาไหว้เสมอ”

ปัจจุบันถนนพระรามห้าแห่งนี้ไม่น่ากลัวอย่างเมื่อก่อนแล้ว เรื่องราวเก่าๆ หรือเรื่องผีที่หลอกยุคนั้นก็ไม่มีมาแผ้วพานกับคนยุคนี้อีกเลย ท่าทางเค้าก็คงจะเริ่มกลัวๆ เราบ้างเหมือนกันครับ

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย. จุติ จันทร์คณา

ภาพโดย. paranormal-witness.fandom.com, trulybooked.com, www.vice.com, tocityguy ใน flickr, newcountry991.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •