30 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

นานมากแล้วที่ผมไม่ได้กลับไปที่ตาคลีเลย  จะว่าไปก็ร่วมยี่สิบปีทีเดียว ผมจำได้ว่าครั้งนั้นที่บ้านผมยกขบวนไปตาคลีกันทั้งบ้าน ผมยังตัวเปี๊ยกๆ อยู่  พวกผู้ใหญ่จะไปกัน  ไอ้เรายังเด็กก็ได้แต่ตามเขาไปเท่านั้น 

ครั้งนั้นผมยังมีคุณยายที่เป็นญาติสนิทอยู่หนึ่งคน ชื่อคุณยายพรอยู่ที่ตาคลี ที่บ้านผมเลยยกขบวนไปเยี่ยมเพราะนานแล้วที่ไม่ได้พบหน้ากัน  ตาคลีเมื่อยี่สิบปีมาแล้ว ไม่ได้ไปมาสะดวกสบายอย่างทุกวันนี้  ครานั้นผมจำได้ว่าเราไปกันโดยรถไฟ รถออกเช้าๆ นี่แหละ  ไอ้ผมยังเด็กไม่ค่อยได้ไปไหน

ยิ่งไปรถไฟด้วยแล้ว ยิ่งตื่นเต้นใหญ่เพราะนานๆ ได้ขึ้นซะที  ก็เลยตื่นเต้นเป็นธรรมดา  จำได้พอขึ้นรถปั๊บ  ผมขอนั่งริมหน้าต่างทันทีเหมือนกัน จะได้ดูวิวไปตลอดทาง

เราออกกันแต่เช้าก็จริง แต่รถไฟสมัยก่อนจะขบวนไหนก็รถหวานเย็นทั้งนั้น  มันก็เลยวิ่งเอื่อยๆ หวานเย็นสมชื่อ  กว่าจะไปถึงตาคลีก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน  เกือบๆ จะบ่ายโมงได้

“…ผมเองนั่งดูวิวสองข้างทางมาตลอดทาง ไม่มีเบื่อหรอกครับ  ดูนก ดูไม้ ดูควายสองข้างทาง  ไม่มีง่วงเหงาหาวนอนกันล่ะ” พอลงรถ ญาติทางนู้นก็มารอรับอยู่  คุยอะไรกันยกใหญ่ ก่อนจะเคลื่อนขบวนไปที่บ้านพัก  ระหว่างทางผ่านภูเขาตาคลี  จู่ๆ คุณยายพรที่เป็นน้องสาวคุณยายแท้ๆ ของผมก็พูดขึ้นมาว่า

“ นี่แน่ะ พี่ศรี รู้มั้ย เค้าว่ากันว่าตอนนี้  ที่ตาคลีมีผีปอบด้วย  คุณยายผมท่านก็ว่า “จริงรึ แม่พร”

คุณยายพรหันมาพยักหน้า ผมเองนั้นนั่งฟังผู้ใหญ่เขาคุยกัน  ตาก็มองออกไปนอกหน้าต่างจับจ้องอยู่ที่เขาตาคลีที่สูงเด่นตระหง่านอยู่ขณะนี้  โดยในหัวก็คิดถึงผีปอบที่คุณยายพรว่าเอาไว้

เขาแห่งหนึ่งใน อ.ตาคลี
(ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น)

รถวิ่งจากสถานีรถไฟมาที่บ้านพักของคุณยายพรไม่นานก็ถึง  บรรดาน้าๆ และอาๆ ลงมารับของช่วยถือของกันยกใหญ่  ผมเองเป็นเด็กที่สุดก็ได้แต่เดินตามหลังเขาต้อยๆ และผมเพิ่งรู้ว่า  บ้านพักหลังนี้อยู่ตีนเขาตาคลีทีเดียว

บ้านยายพรเป็นเรือนไม้สองชั้น  มีบันไดอยู่นอกตัวบ้าน  มีระเบียงยาวกว้างใหญ่  ห้องหับในบ้านและชั้นบนก็มีมากมายหลายห้อง  ผมภาวนาให้ห้องที่ผมจะได้พัก เป็นด้านที่หันหน้าเห็นภูเขาตาคลี และเหมือนพระท่านจะรู้ว่าผมอธิษฐานไว้อย่างไร ปรากฏว่าผมได้ห้องที่เปิดออกไป เห็นเขาตาคลีชัดๆ เลยทีเดียว 

ผู้ใหญ่เก็บของไปคุยกันไป  บางคนก็ลงไปอาบน้ำเพราะร้อนที่เดินทางมาเหนื่อยๆ ผิดกับผมที่เอาแต่นั่งดูวิวที่หน้าต่าง  ดูคนเดินขึ้นเขา  ดูอะไรต่ออะไรไปตามเรื่องตามราว  จนพี่ๆ และน้าๆ มาเรียกให้ลงไปทานข้าวนั่นแหละ  ผมถึงได้ตามลงมากับพวกเขา  ขณะที่กินข้าว คุณน้าคนหนึ่งก็บอกว่า  อยากไปเดินเล่นที่เขาตาคลีมั้ย  ถ้าอยากน้าจะพาไป ผมเองรีบรับคำทันที

บ่ายวันนั้น คุณน้าที่ชื่อน้าตุ๋ยก็พาผม พี่สาว และพี่ชายไปเดินเล่นที่เขาตาคลีซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก ก่อนจะออกมาจากบ้าน คุณยายพรเตือนน้าตุ๋ยว่า ยังไงก็อย่าพาหลานไปไกลนักนะ ยังไงก็อย่าลืมว่าตอนนี้มันมีเรื่องอะไรอยู่ น้าตุ๋ยรับคำ เรามองกันด้วยความสงสัยว่าเรื่องอะไร พอออกมาพ้นบ้าน พี่ชายคนโตผมก็ถามว่า เรื่องอะไรเหรอฮะน้าตุ๋ย

น้าตุ๋ยหันมายิ้ม  และบอกกับพวกเราว่า “คุณยายพรกลัวเรื่องผีปอบที่ออกมาอาละวาดอยู่น่ะ  เอาเถอะ ไม่มีอะไรหรอก เรามากันตอนกลางวันอย่างนี้ ไม่มีผีปอบที่ไหนมันออกมาหลอกเราหรอก“

แต่ถึงกระนั้นก็เถอะ  ผมเองก็ไม่วายที่จะหวาดๆ อยู่ดี พี่ชายผมหัวเราะไม่รู้ว่าเพราะไม่เชื่อรึอะไร  แต่เราก็เดินไปกลัวไปอยู่นั่นเอง คุณน้าตุ๋ยเล่าเรื่องผีปอบให้เราฟังระหว่างทางว่า

“เมื่อก่อนนี้ มันไม่มีหรอก ผีป่งผีปอบอะไรนี่น่ะ แต่ตั้งแต่ยายเรียมแกมา เมื่อไม่นานมานี้ ผีปอบก็ปรากฏตัวเลย”

อย่างนั้นยายเรียมอะไรนี่ ก็ท่าจะเป็นผีปอบน่ะสิครับ  พี่ชายผมถามขึ้น น้าตุ๋ยหันมาบอกว่าก็ไม่แน่ใจเหมือนนะ  แต่เขาว่ากันว่าอย่างนั้น

เราเดินดูนั่นดูนี่ไปเรื่อยๆ ทางเดินชันขึ้นทีละนิด แสดงว่ากำลังขึ้นเขากันแล้ว ผมเองจะรู้สึกเมื่อยบ้างก็ไม่มีปริปากบ่น เพราะขืนบ่นตอนนี้ คราวหน้าอย่าหวังเลยว่า  ไปไหนแล้วผมจะได้ไปกับเขาด้วย ผมรู้อย่างนี้เลยสงบปากสงบคำมาโดยตลอด

เราเดินขึ้นเขามาอีกหน่อยก็เริ่มรู้สึกเย็นๆ เพราะตลอดสองข้างทางเริ่มเป็นป่า มีต้นไม้รกครื้มไปหมด น้าตุ๋ยบอกว่า วันนี้เราเดินเล่นแค่นี้ก็แล้วกัน 

“อย่าเดินต่อไปเลย เพราะเดี๋ยวจะไปกันไกล เวลากลับบ้านจะถูกดุเอาได้” ว่าแล้วเราก็หันหลังกลับ พลันพี่ชายผมก็เห็นบ้านคนปลูกเป็นกระต๊อบอยู่ ก็ถามขึ้นมาว่าบ้านใคร

“อ๋อ นั่นแหละ บ้านยายเรียมล่ะ คนที่เค้าว่ากันว่าเป็นผีปอบไงล่ะ “

ไปดูกันมั้ยครับ ไม่รู้ว่าวันนั้นพี่ผมเกิดนึกหรือเกิดฟิตอะไรขึ้นมา  แถมทำเอาน้าตุ๋ยพลอยเห็นดีเห็นงามไปด้วย  แกบอกเอาซิ ว่าแล้วทั้งน้าตุ๋ย ทั้งพี่ชายและพี่สาวผมก็เดินไปกันหมด  ไอ้ผมเด็กสุดจะรออยู่ตรงนี้ก็กลัว จะบอกว่าอย่าไปเลยก็คงห้ามพวกเขาไม่ได้  และอีกอย่างหากโยเย อย่างที่บอกไว้ คราวหน้าผมอดแน่ๆ เลยกลั้นใจเอาไงเอากัน ไปด้วยก็ได้

ผมก็วิ่งตามพวกพี่และน้าตุ๋ยที่จ้ำพรวดๆ ไปในทางรกๆ ข้างหน้า ผมวิ่งตามพวกเขาจนทัน ก็เห็นพวกเขาย่องๆ เมื่อเข้าใกล้กระต๊อบยายเรียมเต็มที พอเราใกล้มากๆ น้าตุ๋ยก็บอกว่า ตอนนี้ให้สงบปากสงบเสียงห้ามพูดเด็ดขาด เพราะถ้ายายเรียมแกรู้ว่าเรามาแอบดูแกล่ะก็  เป็นเรื่องแน่ๆ ดังนั้นเราจึงค่อยๆ ย่องตามกันไป 

ผมเองแทบลืมหายใจเลยทีเดียว เพราะเวลานั้นทั้งตื่นเต้นทั้งน่ากลัวพร้อมๆ กัน แต่เห็นพี่ชายผมและน้าตุ๋ยไม่มีทีท่าว่าจะกลัวเอาเลย  ผมก็เลยอุ่นใจขึ้นมานิดหน่อย

เราย่องๆ จรดปลายเท้าเข้ามาจนถึงกระต๊อบแกโดยเงียบกริบไม่มีเสียงร้อง หรือเสียงพูดแม้แต่แอะเดียว  พวกพี่ๆ พยายามหาช่องหรือรูแตกเพื่อแทรกตาเข้าไปมองดูข้างในบ้าน ผมเห็นพวกเขาทำอย่างนั้นก็เอาบ้าง เพราะเรื่องแอบดูนี่บอกตรงๆ ว่าเป็นอะไรที่ทุกคนก็อยากเห็นอยากรู้ด้วยกันทั้งนั้น ผมหารูแตกได้ไม่ยากนัก ทันทีที่ผมแนบสายตามองดูข้างในนั้น ผมก็เห็นภาพที่ผมจำได้ติดตา และไม่เคยลืมมาจนทุกวันนี้

ใช้เป็นภาพประกอบเท่านั้น

ยายเรียมแกนั่งอยู่บนแคร่ในกระต๊อบนั้น แกทำอะไรอยู่ไม่รู้ ผมเห็นแกถือมีดหรืออะไรบางอย่างในมือแล้วก็เอาสิ่งนั้นฟาดลงไปบนแคร่  ผมเองตกใจแทบตาย เพราะภาพที่แกหันหน้ามามองดูว่า มีเสียงอะไรอยู่ข้างฝาตรงที่เราแอบดูอยู่  ราวกับว่าแกรู้ว่ามีคนอยู่ตรงนั้นจริงๆ

แต่ที่น่ากลัวไม่ใช่ว่าแกจะรู้หรือไม่รู้ แต่เป็นหน้าแกซิครับ ที่มีเลือดหยดออกมาจากข้างๆ มุมปาก ไม่รู้ว่าแกกำลังกินอะไรอยู่ แต่อะไรที่ว่านั้นต้องไม่ใช่ของดีแน่ๆ 

“…เพราะเลือดสดๆ ฟ้องอยู่ชัดๆ แกหันมามองและนิ่งอยู่สักพัก ผมเองหลับตาปี๋ทีเดียว  กลัวก็กลัว”

พี่สาวผมผงะออกมา น้าตุ๋ยเอามือจุ๊ๆ ที่ปากส่งสัญญาณให้พวกเราเงียบ เมื่อเห็นว่ายายเรียมแกหันกลับไปแล้ว พวกเราก็ค่อยๆ ล่าถอยออกมา เรารีบจ้ำยาวๆ ออกมาจากที่นั้น  ตลอดทางไม่มีใครพูดอะไรกันเลย จนห่างจากบ้านนั้นมาถึงทางลาดขึ้นเขา  พี่ผมก็เอ่ยขึ้นมาว่า “น้าตุ๋ยครับ ยายเรียมแกเป็นผีปอบแน่ๆ ใช่ไหมครับ“

น้าตุ๋ยไม่ตอบ หันหน้ามาหาพวกเราและพยักหน้า ผมเองใจหายวาบเพราะคิดไว้แล้วไม่ผิดและที่คิดเผื่อๆ เอาไว้ ก็ดันมาตรงกับคำพูดของน้าตุ๋ยจนได้ 

พอเรากลับมาถึงบ้าน คุณยายของผมและคุณยายพรก็ถามว่าไปไหนกันมา น้าตุ๋ยต้องรีบแก้ตัวว่า พาพวกเราไปเดินเล่นและนั่งเล่นแถวๆ นี้นี่เอง

คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลย เพราะภาพยายเรียมมาวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา จนนาฬิกาที่ห้องโถงชั้นล่างตีบอกเวลาตีสอง  ผมเลยพยายามข่มตาให้หลับ แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ กำลังตัดสินใจว่าจะลุกขึ้นดูที่หน้าต่างดีมั้ย ก็พอดีเห็นเงาวูบๆ ปรากฏว่าพี่ชายกับพี่สาวผมลุกขึ้นไปดูกันแล้ว ผมเลยลุกตามพวกเขามาดูที่หน้าต่างด้วย

และที่นั้นเอง เราก็ได้เห็นภาพที่น่ากลัวและน่าแปลกที่สุด ที่ที่เราเห็นอยู่ตอนนี้ เป็นเงาคนท่าทางแปลกๆ เดินก็แปลกๆ อยู่แถวๆ ตีนเขา ที่ที่เราเห็นเขานั้นห่างสักประมาณสิบเมตรได้ แต่ท่าทางที่เดิน ตลอดจนอากัปกิริยาต่างๆ ก็พอบอกได้ว่า นั่นน่ะ คือยายเรียมที่เราเห็นเมื่อตอนกลางวัน และตอนนี้ที่แกถืออยู่ในมือก็เป็นตัวอะไรสักอย่าง 

ฉับพลันแกก็หยุดหันมามองพวกเรา เหมือนรู้ว่าเราแอบดูแกอยู่เหมือนเมื่อตอนกลางวัน  คราวนี้เราสามคนกลัวจริงๆ แกรู้ได้ยังไง ทั้งๆที่ไม่น่ารู้ว่าเราอยู่ตรงนั้นเลย ผมเองมือเท้าเย็นไปหมด 

เช้าวันรุ่งขึ้น เราเล่าเรื่องนี้ให้น้าตุ๋ยฟัง น้าตุ๋ยเลยห้ามไม่ให้เราลุกขึ้นมาตอนดึกๆ อีก เราอยู่ที่ตาคลีอีกสองสามวัน  ตลอดเวลาผมและพี่ๆ ไม่ยอมไปไหนกันเลย  เพราะกลัวยายเรียม

เรากลับมาบ้านได้อาทิตย์กว่าๆ น้าตุ๋ยก็โทร.มาบอกว่ายายเรียมตายแล้ว แกตายในกระต๊อบนั่นแหละ เรื่องที่แกเป็นปอบและเรื่องที่เราเห็นก็เป็นความลับตลอดมา

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย. จุติ จันทร์คณา

ภาพโดย. www.kurubanban.blogspot.com, www.xfile.teenee.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •