27 เมษายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เรื่องแปลกอีกเรื่องที่ถูกบันทึกไว้จากนักเดินทางและนักสำรวจที่ชื่อ มร.ไทรันต์ เมฟิรัส (MR.TYRANT MEPHIRUS) เล่าถึงเรื่องแปลกๆ ที่เขาได้ประสบพบมาครั้งที่เดินทางเข้าไปสำรวจในหมู่เกาะมินดาเนา

การเดินทางในครั้งนั้น เขาได้พบเรื่องแปลก และพืชสัตว์ที่หายากอีกหลายอย่าง ตัวอย่างภาพถ่ายของพืชและสัตว์ที่หายากนั้น เขานำลงตีพิมพ์เพื่อแสดงสิทธ์การค้นพบอย่างตรงไปตรงมา

“…แต่กระนั้นเรื่องราวแปลกๆ ที่เขาพบมานอกเหนือไปจากพันธุ์พืชและสัตว์นั้น คราวแรกเขาและคณะไม่ได้เปิดเผยให้คนภายนอกหรือสาธารณชนรู้”

เพราะเขาและคณะเชื่อว่า หากเปิดเผยเรื่องราวแปลกๆ ที่เขาและคณะพบเห็นแล้วล่ะก็ ความน่าเชื่อถือจากการเป็นหนึ่งในนักสำรวจก็คงจะหมดความน่าเชื่อถือลงไปด้วย

“ด้วยเหตุนี้ เขาและคณะสำรวจตกลงเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรจะปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับก่อน เพราะเวลานั้นเขาและคณะก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่พวกเขาพบเห็นมาเช่นเดียวกัน”

จนเวลาล่วงเลยไปนับสิบปี จนวันหนึ่งมีการแถลงข่าวกับสิ่งแปลกๆ ที่มีคนพบเห็นที่มินดาเนา นั่นแหละ มร.ไทรันต์ถึงได้ขุดเรื่องราวแปลกๆ ที่พบในครั้งนั้นมาคุยกับเพื่อนฝูงร่วมคณะ และถามความเห็นว่า…

“…บัดนี้ถึงเวลาที่สมควรจะเปิดเผยได้รึยัง เพราะเวลาก็ผ่านมานับสิบปี เรื่องราวที่ปัจจุบันมีคนพบเห็นแบบเดียวกับเขา ช่วยตอกย้ำว่าเขาเองก็ไม่ได้เห็น หรือนึกมโนภาพไปเองเช่นเดียวกัน”

เกาะมินดาเนา

เมื่อทุกคนลงความเห็นเช่นนั้น เขาก็ตามตัวคนที่พบเจอเรื่องราวเดียวกับเขาในวันนั้นมานั่งคุยกัน โดยทุกคนยกให้เขาเป็นคนเขียนเรื่องราวที่ว่านี้ เพราะเขามีความทรงจำของพวกเขาทั้งสามคนเป็นข้อยืนยัน

“…เรื่องประหลาดที่ว่านี้ มร.ไทรันต์ เริ่มต้นขึ้นที่ว่า มันเป็นฤดูร้อนที่อากาศร้อนมาก เพราะวันนี้เรามาปรากฏตัวที่มินดาเนา หมู่เกาะในประเทศฟิลิปปินส์”

วันนั้น ทันทีที่เราลงจากเครื่องบินฝนก็ตกลงมา เราเตรียมการกันมาดีแล้วว่า อย่างน้อยเราต้องโดนฝนกันบ้าง แต่จะมากจะน้อยนั้นแล้วแต่สถานการณ์

“…เราเดินทางจากสนามบินไปยังหมู่เกาะ และตรงไปมินดาเนา เราต่อเรือเพื่อขึ้นเกาะ ซึ่งก่อนหน้านี้เราขออนุญาตจากทางการฟิลิปปินส์แล้ว และได้รับคำอนุมัติทั้งเรื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ”

เกาะมินดาเนา เป็นเกาะใหญ่อันดับ 2 และตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของประเทศฟิลิปปินส์ มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายสามเหลี่ยม ชายฝั่งเว้าแหว่ง

“มีอ่าวขนาดใหญ่ และขนาดเล็กจำนวนมาก มีเทือกเขาที่มียอดเขาหลายแห่ง มีความสูงมากกว่า 1,500 เมตร ยอดสูงสุดชื่อว่า อาโป และที่นี่เอง คือจุดมุ่งหมายของเรา”

เราเดินเท้ากันตั้งแต่แรก พรานและคนนำทางบอกว่า เราควรหาที่พักให้ได้ก่อนเวลา 15.00 น. เพราะฟ้าฝนที่นี่แปรปรวน ควรเดินทางตอนเช้าถึงบ่ายสองโมง และเข้าที่พักในราวบ่ายสามโมง

เราเชื่อพรานและคนนำทาง ดังนั้น เราจึงตั้งแคมป์กันในราวบ่ายสามโมงเศษ และเตรียมอาหารพร้อมในเวลา 16.00 น. พอทานอาหารเรียบร้อย พรานและคนนำทางให้เรารีบขึ้นห้างที่พวกเขาทำเอาไว้ตอนเราหุงหาอาหาร

“…ห้างคือที่พักอย่างหนึ่ง สร้างด้วยไม้ไผ่ หรือไม้ท่อนยาวมัดด้วยเชือกเป็นพื้น แล้วทำที่กำบังเรียกว่า บังไพร เพื่อกันสัตว์และสิ่งแปลกปลอมสังเกตเห็น”

เราขึ้นห้างในเวลา 17.00 น. เพราะพรานและคนนำทางบอกว่า ช่วงหัวค่ำยุงป่าออกหากินเยอะมาก ถ้าไม่หาที่หลบ หรือขึ้นที่สูงแล้ว หากถูกยุงกัดเราอาจจะเป็นมาลาเรียหรือไข้ป่าได้

“…คืนนั้นเราขึ้นห้างกันตั้งแต่เย็น เพราะการนั่งห้างหรือขึ้นห้างนั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเรา และเราไม่คิดเลยว่า กิ่งไม้ ไม้ไผ่ และของรอบๆ ตัวจะสามารถสร้างห้างได้ง่ายและรวดเร็วขนาดนี้

ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น

“…เรานั่งเล่นนั่งคุย และสังเกตอะไรไปเรื่อยๆ เราสร้างห้างบังไพรไว้สองที่ห่างกันในระยะต้นไม้สองต้น แต่พอต่างคนต่างขึ้นห้าง ก็เหมือนอยู่ห่างกันไกล ทั้งที่ตอนเย็นยังไม่เห็นว่าต้นไม้สองต้นนี้จะห่างกันนัก”

คืนนั้นเราเริ่มเห็นป่าทั้งป่ามืดไปหมด ตกเวลา 19.00 น. ความมืดปกคลุมไปทั่ว แสงสว่างสุดท้ายนั้นหายไปตั้งแต่เวลา 17.30 น.แล้ว ดังนั้นเวลานี้ป่าทั้งป่าจึงเงียบและวังเวงมาก

“…เรามองหน้ากันไม่เห็นทั้งๆ ที่นั่งห่างกันอยู่แค่นี้” มร.ไทรันต์ว่า

“…คืนนั้นฟ้ามีเมฆมาก และสลับกับสว่างเป็นช่วงๆ คราไหนที่พระจันทร์หลุดพ้นเมฆก็ส่องแสงทะลุผ่านใบไม้ลงมา ก็จะเห็นแสงนั้นกระทบพื้นป่าเป็นหย่อมๆ พอเมฆบังแสงนั้นก็หายไป”

ในราวสามทุ่ม ทั้งพรานและคนนำทางเริ่มกระสับกระส่ายๆ เขาส่งสัญญาณอะไรบางอย่างถึงกัน เราเองก็รู้สึกแปลกๆ จากการกระทำของพวกเขาเลยไถ่ถามดู และได้ความว่า

“…วันนี้ให้ทุกคนระวังตัว เพราะป่ามันดูแปลกๆ …เราถามเค้าว่าแปลกอย่างไร? เขาก็ว่ามันเงียบเกินไปครับ”

เงียบเกินไปของพวกเขา พอที่จะอธิบายเป็นภาษาให้เข้าใจได้ง่ายๆ คือ วันนี้ป่ามันดูสงบเงียบมาก ทั้งๆ ที่ควรมีเสียงแมลง นกกลางคืน หรือสัตว์ที่หากินกลางคืนร้อง แต่วันนั้นมันเงียบกริบ

“เงียบแม้กระทั่งไม่มีเสียงแมลงกลางคืน พวกจิ้งหรีด เรไรร้องเลย ปกติจะมีเสียงสัตว์ที่หากินกลางคืนออกหากินอยู่ทุกวัน แต่วันนี้ไม่มีอะไรเลย”

ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น

มันผิดปกติเอาเสียมากๆ ครับนาย…? เสียงคนนำทางพูดขึ้น เราเองก็รู้สึกแปลกไปกับพวกเขาด้วย สักครู่เขาก็ทำสัญญาณให้ทุกคนหยุด และห้ามพูดจากัน

”ระวัง…กำลังมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลกำลังมาทางนี้ครับ” คนนำทางว่า พลางเอาปืนเล็กลำกล้องยาวของเขาออกมาเตรียมพร้อมไว้

ตอนนี้เองที่เราเองก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากลกำลังจะปรากฏขึ้น เสียงจากราวป่าเงียบสงบอย่างแปลกๆ ดังที่คนนำทางและพรานว่าไม่มีผิด

ทุกอย่างเงียบมาก เงียบจนน่ากลัว ผมเองได้ยินกระทั่งเสียงเต้นของหัวใจตัวเองเลยทีเดียว เสียงดังตุ้บๆๆๆ ดังจนผมรู้สึกได้ถึงความตื่นกลัวนั้น

“แล้วก็มีสิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นที่ราวป่าจริงๆ มันเป็นอะไรบางอย่างที่พวกเราเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าคืออะไร? จะว่าเป็นสัตว์หรือก็ไม่น่าจะใช่ เพราะดูแล้วไม่มีสัตว์ในสปีชีส์ไหนที่รูปร่างแบบนี้”

ความน่าสะพรึงกลัวเริ่มขึ้นในตอนนี้เอง เราเห็นว่าสิ่งมีชีวิตที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไรนั้น เริ่มเคลื่อนที่เข้ามาช้าๆ เรามองจากตรงนี้ สิ่งนั้นเหมือนคนมาก

“ใช่แล้ว… นั่นคน คนจริงๆ ไม่ใช่สัตว์หรืออะไร และคนที่ว่านั้นเป็นผู้หญิงด้วย แต่เวลานี้เราเองก็ยังไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นมาเดินทำอะไรกลางป่ามืดๆ อย่างนี้”

แต่เราก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อพรานและคนนำทางกุมปืนในมือแน่น เราเห็นพรานเตรียมตัวจับปืนมาเตรียมเอาไว้แล้ว ทุกคนยิ่งเครียดและเงียบหนักกว่าเดิม

“…นี่มันอะไรกัน มันน่าหวาดหวั่นตั้งแต่ป่าทั้งป่าเงียบเหมือนเป่าสากแล้ว เวลานี้ยิ่งน่ากลัวเมื่อมีผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัวออกมา และมันยิ่งน่าหวาดหวั่นไปกว่านั้น ที่เห็นทั้งพราน ทั้งคนนำทางยกปืนขึ้นในท่าเตรียมพร้อม”

เราเองก็หวาดหวั่น ทำไมทั้งพรานและคนนำทางถึงทำอะไรแบบนั้น ที่เห็นนั่นคนนะ แล้วก็เป็นผู้หญิงเสียด้วย เขาไม่ได้จะมาทำอะไรเราสักหน่อย

“ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียวจะมาทำอะไรได้…เราคิดอย่างนั้น แต่แล้วผู้หญิงคนนั้นก็เดินช้าๆ เข้ามาเรื่อยๆ มาจนถึงระยะที่เราพอจะมองเห็นเธอชัด”

เธอเป็นผู้หญิงผมยาว หน้าอกค่อนข้างใหญ่จนมองเห็นชัดเพราะเธอใส่เสื้อผ้าพื้นเมืองที่เป็นผ้าบางเบา ลักษณะเหมือนเสื้อป่านบางๆ หน้าอกเธอกระเพื่อมๆ ขึ้นลงตามแรงเดิน

จนเธอเดินเข้ามาอยู่ใต้ห้างบนต้นไม้ของเรา และทำท่าทางเหมือนจะขอความช่วยเหลือ ซึ่งตัวเธอเองอยู่ระหว่างห้างทั้งสองแห่ง ตอนนี้เองที่พรานและคนนำทางกระซิบขึ้นเบาๆ ว่า

ใช้เพื่อเป็นภาพประกอบเท่านั้น

“พวกคุณเห็นอะไรอย่ากลัว อย่าเสียขวัญนะครับ…”

แล้วอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เราเห็นพรานและคนนำทางยกปืนขึ้นยิงผู้หญิงสาวคนนั้นทันที เสียงปืนคำรามดังลั่นไปทั้งป่าที่เงียบสงบนั้น เสียงปืนเลยดังก้องไปไกลยิ่งขึ้น มันคำรามดังเปรี้ยงทีเดียว

เราตกใจมาก ที่ทำไมทั้งสองคนถึงยิงผู้หญิงคนนั้น เราแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ทันทีที่เธอถูกยิงเราเห็นผู้หญิงคนนั้นกระเด็นไปไกลแล้วเงียบไป

เราตกใจมาก เกือบจะพลั้งปากออกไปว่า พวกคุณยิงคนทำไม? ก็พอดีกับที่คนนำทางสะกิดให้เราดูเสียก่อนว่าอะไรเป็นอะไร…แน่แล้ว ผู้หญิงคนนั้น ถึงจะโดนยิงเข้าอย่างจัง แต่เธอก็ไม่เป็นอะไร

“มันเป็นไปได้อย่างไร เรางุนงงมาก แต่มันเป็นไปแล้ว แต่แล้วเราก็เห็นเธอค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ แล้วร่างหญิงสาวคนนั้นก็ค่อยๆ เลือนหาย และจางตาลับไปในดงไม้นั้น”

ภาพที่ปรากฏขึ้นมาตอนนี้ กลับเป็นเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่มาก กำลังยืนแยกเขี้ยวคำรามอยู่ใต้ห้างของเรา และพยายามจะปีนขึ้นมา เรายิ่งกลัวและหวาดหวั่นเป็นสองเท่า แต่พรานและคนนำทางกลับยิงใส่เสืออย่างต่อเนื่อง

“…เสือคงโดนยิง แต่มันไม่เป็นอะไร มันกระโดดลงไปที่พื้น หลังจากที่พรานและคนนำทางยิงตามไปอีกหลายนัด มันเดินวนไปวนมา แล้วกระโจนหายไปหลังแนวไม้ที่รกทึบ” เราทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย

คนนำทางเขาบอกว่า…คุณเป็นคนต่างชาติ อาจจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่คุณได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว นั่นคือเสือสมิงหรือเสือผี ที่กัดกินคนมามาก จนวิญญาณไปสิงในร่างเสือ ทำให้เราเห็นเป็นผู้หญิงมาขอความช่วยเหลือ ถ้าหากเราลงไปจะถูกเสือตะปบ และขย้ำร่างของเราทันที… เขาบอกว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะเข้ามาเดินคนเดียวในป่าตอนกลางคืนอย่างนั้นหรอกครับ

นั่นคือเรื่องราวของผู้หญิงที่แปลงร่างเป็นเสือ ตามที่ มร.ไทรันต์ และคณะได้พบที่หมู่เกาะมินดาเนา

เรื่องโดย. ดิษฏึกษ์

ภาพโดย. www.travelweekly.com, wallpaperaccess.com, wallpaper-house.com, www.pxfuel.com, www.wallpaperflare.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •