ประเทศไอร์แลนด์นั้นมีเรื่องลี้ลับอยู่มากเกิดขึ้นมาหลายพันปีแล้ว บางเรื่องถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐาน บางเรื่องไม่มีการบันทึกไว้ เพียงจำกันมาแล้วเล่าต่อๆ กัน สำหรับเรื่องลี้ลับอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นมาหลายพันปีแล้ว มีเพียงหลักฐานปรากฏให้เห็น โดยไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป ไม่มีทั้งบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ไม่มีเรื่องเล่าในตำนานด้วย
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของนักวิชาการทางด้านวิทยาศาสตร์และโบราณคดีที่จะต้องสืบเสาะค้นหาที่มาที่ไปกันเอาเอง นั่นคือเรื่องที่มีการพบศพคนโบราณอายุหลายพันปีจมอยู่ใต้หลุมโคลน โดยศพที่พบนี้ยังมีสภาพดีทุกอย่าง เนื้อหนังยังดูสดใสนุ่มเนียน ผมและเล็บยังอยู่ครบ กล่าวคือสภาพศพยังสมบูรณ์เหมือนสมัยยังมีชีวิตอยู่ แต่ที่ยังไม่แปรสภาพเปื่อยเน่าแบบศพทั่วไป ทั้งๆ ที่ไม่มีกระบวนการรักษาสภาพศพเหมือนมัมมี่อียิปต์ เข้าใจกันว่าหลุมโคลนที่ศพแช่อยู่อาจช่วยรักษาสภาพศพไว้ไม่ให้เน่าเปื่อย จึงต้องให้เครดิตโคลนที่ศพแช่อยู่มานับพันปี ด้วยการเรียกศพที่มีสภาพดีกว่ามัมมี่อียิปต์นี้ว่า มัมมี่ดองโคลน แต่ไอร์แลนด์เรียกอย่างเป็นทางการว่า ศพแช่โคลน หรือ BOG BODY
มัมมี่ดองโคลนถูกพบครั้งแรกในปี 1780 เมื่อค้นพบครั้งแรกนั้น ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของมัน ได้แต่คาดเดากันเอาเองไปต่างๆ นานา ทว่าสภาพศพที่พบนั้นอยู่ในสภาพที่ดีมาก แต่พบว่าเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายบางชิ้น ถูกคนถอดออกนำไปใช้ เข้าใจว่าคงจะเป็นชาวนาแถวนั้นที่มาพบเข้า มีการเก็บเครื่องแต่งกายที่ยังเหลืออยู่ และตัดเอาเส้นผมไปตรวจพิสูจน์ แล้วก็มีการสรุปผลการพิสูจน์เอาว่าน่าจะเป็นองค์ประกอบของการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของชาวเผ่าดรูอิต อันเป็นชนเผ่าโบราณที่อาศัยอยู่ทั้งในไอร์แลนด์และอังกฤษ
ปัจจุบันนักโบราณคดีคาดการณ์ว่า ศพดองโคลนที่พบนี้น่าจะมีอายุน้อยกว่าที่คาดการณ์กัน โดยชี้ว่าน่าจะอยู่ในยุคกลาง สำหรับปัญหาที่ว่าแม้จะตายนานแล้ว แต่ทำไมศพจึงยังคงอยู่ในสภาพดีเหมือนกับเพิ่งตายใหม่ๆ เรื่องนี้คาดกันว่าคงเนื่องจากแช่อยู่ในโคลนเลนที่มีคุณลักษณะพิเศษที่สามารถรักษาศพไว้ไม่ให้เน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา
สำหรับคำว่า BOGBODY ที่ใช้เรียกศพนี้ bog นั้นมาจากรากศัพท์ภาษาไอริชว่า bogarch ซึ่งหมายถึง “ความนุ่มนิ่ม” มัมมี่ดองโคลนนี้พบเห็นในทุกส่วนของไอร์แลนด์ ครอบคลุมพื้นที่ถึง 17% ของประเทศ ซึ่งจัดว่ามีพื้นดินที่เป็นเลนมากเป็นอันดับสามของโลก รองจากแคนาดาและฟินแลนด์
ว่ากันว่า กว่าผิวโลกจะพัฒนาเป็นบ่อโคลนลึกหนึ่งเมตรนั้นต้องใช้เวลานานหลายพันปี โคลนเหล่านี้จะประกอบด้วยน้ำ 95% ส่วนที่เหลือประกอบด้วยพืชผักเกษตรที่เน่าเปื่อย ฝุ่นละออง และสิ่งที่คล้ายๆ กัน ในไอร์แลนด์มีการตัดไม้มาตากแห้งแล้วนำมาเป็นเชื้อเพลิงในเตาแทนถ่านหิน จากสภาพที่มีความเย็นมีฤทธิ์เป็นกรด และมีสภาพที่ปลอดก๊าซออกซิเจนภายในโคลนเลนทำให้ช่วยไม่ให้มีการเน่าเปื่อย และรักษาสภาพศพให้มีลักษณะเป็นมัมมี่ และสามารถรักษาสภาพเนื้อเยื่อของซากสัตว์และศพมนุษย์ได้
ในจำนวนศพดองโคลนที่พบในไอร์แลนด์นั้น มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก บางศพมีร่องรอยให้เห็นว่า น่าจะเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ หรืออาจหล่นลงในบ่อโคลนและจมน้ำเสียชีวิต บางศพอาจมีการนำมาฝังไว้ ทั้งแบบมีการตั้งใจทำพิธีกรรม และไม่มีพิธีใดๆ บางรายมีการนำมาฝังจากการถูกปองร้าย
สำหรับมัมมี่ดองโคลนนี้มีรายที่โด่งดังอยู่สามราย มีการตั้งชื่อให้ว่า คาเชล แมน (CASHEL MAN) ซึ่งค้นพบที่พอร์ตลัวร์เมื่อปี 2011 มีอายุกว่า 4,000 ปี จัดเป็นมัมมี่ดองโคลนที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่ค้นพบมาในยุโรป มีสภาพดีที่สุด ผิวหนังอยู่ในสภาพเรียบร้อย รายที่สองมีการตั้งชื่อว่า โอลด์ โคลแกน แมน (OLD CROGHAN MAN) พบที่ออฟฟาลี ส่วนรายสุดท้ายมีชื่อว่า คลอนีคาวาน แมน (CLONYCAVAN MAN)
นอกจากนั้น ยังมีที่ถูกนำมาจัดตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์อีกสองราย ได้แก่ กอลลักห์ แมน (GALLAGH MAN) พบที่กอลเวย์ และบารอนส์ทาวน์เวสต์ (BARONSTOWNWEST) พบที่คิลแดร์
มัมมี่ดองโคลนเหล่านี้ได้มีการตรวจวิเคราะห์หารายละเอียดโดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยคณะผู้เชี่ยวชาญที่โด่งดังจากที่ต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งส่วนมากจะมุ่งเน้นไปในเรื่องการใช้ชีวิต ระหว่างที่ยังมีชีวิตและบาดแผลที่ทำให้เสียชีวิต
ดังเช่น โอลด์ โคลแกน แมน (OLD CROGHAN MAN) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีรูปร่างสูงใหญ่ที่สุด สูง 6 ฟุต 6 นิ้ว จากการที่มือยังนุ่มนิ่มและมีการตัดเล็บเรียบร้อย ซึ่งแสดงว่าเป็นชนชั้นสูง หลักฐานที่ยืนยันเรื่องนี้ได้แก่การพบว่าอาหารที่รับประทานเป็นพวกเนื้อสัตว์ คาดว่าคงจะเสียชีวิตระหว่างปีที่ 362-175 ก่อน ค.ศ.
อีกรายที่ตรงกันข้าม ได้แก่ คลอนีคาวาน แมน (CLONYCAVAN MAN) ซึ่งเสียชีวิตมาได้ 2,300 ปีแล้ว สูง 5 ฟุต สำหรับรายนี้ อาหารหลักที่รับประทานได้แก่เมล็ดพืช ตลอดเวลาสี่เดือนสุดท้ายก่อนเสียชีวิต โดยก่อนหน้านั้นพบว่ามีการรับประทานเนื้อสัตว์เหมือนกัน ซึ่งชี้ว่าเขาเสียชีวิตในช่วงฤดูหนาวหลังจากที่รับประทานผักผลไม้ และเมล็ดพืชเป็นหลักในช่วงฤดูร้อน ก่อนที่จะได้กลับมารับประทานเนื้อสัตว์อีกในช่วงที่มีเนื้อสัตว์อุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูหนาว ที่น่าสนใจก็คือ รายนี้มีทรงผมโฉบเฉี่ยวกว่าใคร มีการทาผมด้วยน้ำมันสน ซึ่งต้องนำเข้าจากสเปนและภาคใต้ของฝรั่งเศส น้ำมันดังกล่าวมีราคาแพงมาก แสดงให้เห็นว่าเป็นคนรวย และอาจเป็นชนชั้นสูงด้วย
มีข่าวบางกระแสว่าคนเหล่านี้อาจเสียชีวิตจากการถูกทำร้ายอย่างรุนแรงน่าสยดสยอง ดังเช่นในรายของ โอลด์ โคลแกน แมน (OLD CROGHAN MAN) มีรูเจาะอยู่บนท่อนแขนด้านบนเพื่อร้อยเชือกผูกมัดไว้ จากนั้นจะถูกกระหน่ำแทงยับ และยังถูกเฉือนหัวนมด้วย
ส่วนรายของ คลอนีคาวาน แมน (CLONYCAVAN MAN) นั้น มีการควักเครื่องในออกมา และมีการทุบที่หัวด้วยขวานสามครั้ง ทั้งยังทุบไปทั่วร่างกาย และมีการเฉือนหัวนมทิ้งอีกเช่นกัน และถูกสังหารด้วยการใช้ขวานทุบที่หัว ทุบไปที่หน้าอก ทำการกรีดหน้าท้อง จากการตรวจที่ศพพบว่ามีบาดแผลที่ท่อนแขนด้วย แสดงว่าต้องมีการใช้ท่อนแขนป้องกันตัว หลังจากนั้นยังมีการตัดหัวและตัดลำตัวออกเป็นสองท่อน บริเวณหน้าท้องด้วย และมีการเจาะรูที่ท่อนแขนเพื่อร้อยเชือกนำไปถ่วงทิ้งในบ่อโคลน เพื่อเป็นการกลบเกลื่อนร่องรอยการฆาตกรรม อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรายนั้นไม่ทราบชัดว่าการตัดชิ้นส่วนนั้นกระทำก่อนตาย หรือหลังจากตายแล้ว
ถึงกระนั้นก็ยังมีความเห็นกันว่า ศพดองโคลนนี้ไม่ได้ถูกสังหารอย่างทรมาน แต่มีลักษณะของการประกอบพิธีกรรมเพื่อบูชายัญ เพื่อสังเวยสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยกษัตริย์สมัยดึกดำบรรพ์ มีเป้าหมายเพื่อแก้ไขทุกข์เข็ญของราษฎรตามหน้าที่ของกษัตริย์ บ้างก็ว่าน่าจะไม่เกี่ยวกับกษัตริย์ น่าจะเป็นชนชั้นสูงที่ร่ำรวยถูกปล้นชิงทรัพย์ และฆ่าโยนศพลงโคลนเพื่อทำลายหลักฐาน หรือไม่ก็อาจเป็นเชลยศึกในสงครามที่ถูกจับและถูกทรมานจนตาย แล้วนำมาโยนทิ้งในบ่อโคลน
สำหรับข้อพิสูจน์เรื่องที่ว่าเป็นเรื่องการสังหารเพื่อบูชายัญ และข้อพิสูจน์เรื่องความแตกต่างกับการทรมานจนตายนั้นมีอะไรบ้าง สิ่งนั้นก็คือการที่มีการพบของมีค่าที่อยู่ใกล้ๆ มัมมี่ในบ่อโคลน เนื่องจากคนโบราณมักจะมาตั้งสัตย์ปฏิญาณ หรือขอพรกันในพื้นที่แหล่งน้ำ ซึ่งอะไรๆ ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
โดยที่ชาวเผ่าต่างๆ ในยุคนั้นมักจะก่อการรุกรานกันอยู่ตลอดเวลา ดังที่มีเรื่องราวทั้งที่บันทึกในประวัติศาสตร์และเล่าขานสืบต่อกันมา ล้วนมีแต่เรื่องการสู้รบกันระหว่างเผ่าต่างๆ แล้วจะบอกได้อย่างไรว่าบรรดาเชลยศึกจะไม่ถูกทรมานและถูกสังหารในที่สุด เนื่องจากบาดแผลที่พบบนร่างกายนั้นจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากแผลจากการถูกฟันแทงที่ได้รับจากการสู้รบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มัมมี่ดองโคลนเหล่านี้มักจะพบมากในบริเวณเส้นพรมแดนระหว่างอาณาจักรต่างๆ น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าเคยเกิดการสู้รบในบริเวณนั้นมาก่อน
ตามตำนานของชาวไอร์แลนด์มีว่า การบูชายัญจะมีขึ้นในสมัยกษัตริย์ไทเกิร์นแมส (TIGERNMAS) เท่านั้น มีการสร้างรูปเคารพ (IDOL) ขึ้น เรียกว่าครอม ครูแอช (CROM CRUACH) จากนั้นยังออกคำสั่งให้ผู้ที่มีลูกคนแรกและคนที่สามต้องเซ่นไหว้รูปเคารพนี้ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารของตน และจะต้องบูชายัญลูกของตน ด้วยการจับหัวฟาดไปบนรูปเคารพที่ทำด้วยหินให้เลือดอาบไปทั่วรูปเคารพหินนั้น
ตามตำนานของชาวคริสต์มีว่า ในที่สุดกษัตริย์ไทเกิร์นแมส พร้อมกับข้าราชบริพารหนึ่งในสามก็ถูกองค์เทพของตนสังหารทั้งหมด ยังไม่มีใครทราบเหตุผลว่าทำไมองค์เทพจึงเอาชีวิตของผู้คนที่เซ่นสรวงบูชาด้วยเลือดและพืชพันธุ์ธัญญาหารซึ่งเป็นที่ต้องการไปเสียอย่างนั้น แต่ยังโชคดีที่นักบุญเซนต์แพตทริกเข้ามาช่วยไว้ ด้วยการทุบรูปเคารพหินนั้นจนแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์ยุคสัมฤทธิ์นั้นน่าจะมีส่วนทำให้เกิดมัมมี่ดองโคลนก็ตาม แต่ก็ยังไม่มีใครทราบเหตุผลที่แท้จริงในการเกิดมัมมี่ดองโคลนกันเลย
/
เรื่องโดย. ทิวากร สุวพานิช
ภาพโดย. www.wikiwand.com, en.wikipedia.org, www.wikiwand.com, www.bbc.co.uk, historyofyesterday.com, www.thoughtco.com