31 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                …เรื่องนี้เกิดกับตัวผมเอง…

                อาจจะเพราะผมเป็นคนที่นอนดึก และบางทีก็นอนไม่ค่อยหลับ สาเหตุหลักๆ ก็มักมาจากความเครียดจากงานอาชีพซึ่งเป็นเหตุให้ผมต้องกินยานอนหลับอยู่เสมอ

                …ผมมีอาชีพหลักเป็นมัณฑนากร ดังนั้นจึงต้องมีงานกลับมาทำที่บ้านอยู่เสมอ นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้นอนไม่หลับนั่นเอง

                หลายวันก่อนหน้านั้น คุณยายของผมมาหาที่บ้านและพักอยู่ด้วยหลายวัน ผมกับท่านได้คุยกันด้วยเรื่องต่างๆ ทั่วไป ตอนหนึ่งคุณยายท่านก็เล่าเรื่องแปลกๆ ให้ผมฟังว่า

                “…นี่แน่ะ แกรู้ไหม คนแถวบ้านยายน่ะตายไปคนนึง เค้าเป็นอะไรก็ไม่รู้ ถามคนแถวนั้นดูก็ว่าหน้ามืด ตกบันไดลงมาตาย…ตายโดยหาสาเหตุไม่ได้”

                แต่การตายของเขาถูกร่ำลือไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าเขาไม่เชื่อเรื่องเจ้าที่บ้าง ลบหลู่เรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง แต่คุณยายบอกกับผมว่า

                “ยายน่ะรู้ดีว่าเขาเป็นอะไร” คุณยายว่าอย่างนั้น ผมเลยสงสัย เลยให้คุณยายท่านเล่าให้ฟัง…คุณยายท่านเล่าว่า “…ตาคนนี้น่ะ เคยมาปรึกษากับยายอยู่หลายครั้งว่าดึกๆ ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อเขา ก็ขานรับไป คิดว่าเป็นญาติมาเรียก แกรีบกระวีกระวาดจะมาเปิดประตู รอสักพักก็ไม่เห็นมีคนเรียกต่อเลยนอนต่อไป”

                ก่อนวันเขาจะตายสองสามวัน ก็มาเล่าอีกว่า

                “…คราวนี้ เค้าได้ยินเสียงเรียกชื่อเขาอีกแล้ว คราวนี้ชัดมาก ถามคนในบ้านก็ไม่มีใครเรียก แกก็เลยสงสัย ยายก็เลยเตือนๆ เขาไปว่า…ให้ระวังอย่าไปเปิดประตูเข้าล่ะ แล้วก็เล่าเรื่องที่คนโบราณเตือนๆ กันไว้ เขาก็รับฟังนะ แต่ท่าทางเขาจะไม่เชื่อยายหรอก”

                “ดูๆ เขาเป็นคนสมัยใหม่ เรื่องแบบนี้เราจะไปบังคับให้เขาเชื่อก็คงไม่ได้ พอยายมาได้ข่าวว่าเค้าตกบันไดตาย ก็ได้แต่อนิจจังทุกขังเท่านั้นแหละ”

                แล้วคุณยายท่านก็เตือนผมอีกหลายเรื่อง ก่อนจะออกไปตลาดเพื่อซื้อของกลับมาทำกับข้าวกินกัน ส่วนผมก็ลืมๆ เรื่องนี้ไปเสียสนิท จนกระทั่ง…คืนวันหนึ่ง วันนั้นไม่รู้เป็นอะไร…ผมรู้สึกตะครั่นตะครอมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว

อากาศรึก็หนาวเยือกๆ เพราะฝนตกๆ หยุดๆ มาตลอดทั้งวัน ทำให้คืนนั้นผมเลยรีบเข้านอนเร็วกว่าปกติ และไม่วายที่จะไม่ลืมกินยา

                …แต่ไม่ว่าจะด้วยอาการที่คล้ายจะเป็นไข้ หรืออาการอย่างอื่นก็ไม่สามารถทำให้ผมหลับลงได้เลย ผมนอนพลิกตัวกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง เมื่อรู้ว่าขืนยังฝืนนอนกระสับกระส่ายอยู่อย่างนี้ มีอันต้องอดนอนไปจนถึงเช้าแน่ ดีไม่ดี จะพาลเป็นไข้หนักเข้าไปอีก จึงตั้งหน้าตั้งตาลุกขึ้นสวดมนต์เพื่อทำสมาธิ

                จากนั่งสวดมนต์ก็เป็นล้มตัวลงนอนสวดเพราะปวดหลังจากอาการไข้ สวดมนต์ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีสมาธิไม่ฟุ้งซ่าน…แล้วขณะที่กำลังเคลิ้มๆ จะหลับไม่หลับแหล่ จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกชื่อผมหลายครั้ง แล้วผมนึกถึงเรื่องที่คุณยายคอยเตือนได้ เพราะคุณยายท่านบอกว่า

                “…ถ้ามีเสียงเรียกชื่อเราตอนดึกๆ เหนือวิสัยของญาติโยมในบ้านแล้วล่ะก็ อย่าขานรับเป็นอันขาด อย่าเปิดประตูหรือทำการใดๆ เลย”

                ซึ่งจะว่าไป ก็หลายครั้งแล้วที่ผมได้ยินเสียงเรียก แต่ก็คิดไปว่าหูเราฝาดไปเองแล้วก็หลับต่อไปจนเช้า แต่คราวนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น…เพราะคราวนี้ ผมดันเผลอขานรับไปโดยไม่ทันระวัง จนตกใจลุกขึ้นพรวดพราดนั่งบนเตียง แต่พอมาคิดถึงคำเตือนผู้ใหญ่ได้ก็กลับลงมานอน พอเคลิ้มๆ อีกครั้ง คราวนี้เสียงเรียกก็ดังขึ้นอีก แถมคราวนี้ดังกว่าครั้งแรก และเรียกชื่อผมชัดเสียด้วย

                มันเป็นเสียงที่เรียกจากหัวบันไดบ้านนี่เอง

                คราวนี้คงเป็นเสียงญาติในบ้านแน่ๆ เลยขานรับอีกครั้ง เพราะคิดว่าคนในบ้านอาจมีใครกำลังไม่สบายมากก็ได้ ลุกขึ้นนั่งใจเต้นตึกๆ จะลุกขึ้นยืนก็ไม่ไหว…แต่แข็งใจเดินลงมาจากเตียงเกาะฝาบ้าน เกาะตู้มาจนถึงประตู พอเอื้อมมือจะเปิดกลอน ใจมันก็ฉุกคิดขึ้นอีกครั้งว่า

                อย่าเปิดอย่างเด็ดขาดเลย…เพราะจะว่าไปแล้ว แบบนี้มันก็ดูจะผิดปกติที่ญาติๆ จะมาเรียกในยามวิกาลเช่นนี้ มือผมน่ะจะถอดกลอนอยู่แล้ว แต่จู่ๆ ทั้งมือทั้งเท้าก็เกิดจะหมดแรงไปเฉยๆ เลยพยุงตัวมานั่งแปะอยู่หน้าประตูนั่นเอง

                ผมกัดฟัน ฮึดขึ้นอยู่พักใหญ่ๆ ถึงได้รู้สึกดีขึ้น พอเริ่มไหวก็รีบหาน้ำมาดื่มเต็มอึก จนใจชื้นถึงรีบกลับไปที่เตียงนอน เสียงเรียกชื่อผมหายไปแล้ว ผมพยายามนิ่งฟังอยู่ชั่วครู่ก็ไม่มีเสียงเรียกขึ้นมาอีกเลย พอคลายใจจึงล้มตัวลงนอนและนึกถึงคำคุณยายให้สวดมนต์ตลอดอย่าหยุด สวดต่อไปจนสว่าง

                …แต่พอครั้นรุ่งเช้า ผมจะลุกก็ลุกไม่ไหวเพราะจับไข้เสียอีก จนสายๆ นั่นแหละถึงได้มีแรงลงมาล้างหน้าล้างตา…และลาหยุดงาน ไปไซต์งานไม่ไหวเพราะว่าเป็นไข้นั่นเอง

                พอสายผมก็ลงมา เผอิญพบคุณยายของผมเข้าพอดี คุณยายท่านก็ทักว่าทำไมวันนี้ตื่นสายนักเล่า ผมก็เลยได้เล่าเรื่องที่ประสบมาเมื่อคืนให้ท่านฟัง

                “…ก็นี่แหละครับคุณยาย เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่แหละ” เมื่อผมเล่าจบแล้ว ปรากฏว่าคุณยายท่านเค้าตกใจมาก และบอกว่า

                “นี่ยังดีนะที่แกไม่เปิดประตูออกไป เพราะถ้าแกเปิดออกไปแล้ว ไม่รู้ว่าแกจะได้พบหรือได้เห็นอะไร ส่วนมากคนที่เห็นแล้วมักจะตกบันไดลงมาตายทุกคนเลยล่ะ” และท่านก็บอกกับผมต่ออีกว่า “…ต่อไปนี้นะ ถ้าแกได้ยินเสียงอะไรที่ไม่เคยได้ยินก็นิ่งเสียก่อน หรือถ้ามีเสียงโครมครามดังขึ้นก็อย่าไปทัก อย่าพูดหรือทำอะไรทั้งนั้น”

                “และที่สำคัญที่สุดเลย…แกอย่าเปิดประตูออกไปอย่างเด็ดขาด ให้อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ภายในบ้าน ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสีย”

                วันนั้น ผมฟังที่คุณยายว่าแล้วก็กลัวมาก จะพูดรึก็พูดไม่ออก หลังจากที่ฟังยายท่านว่าแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรกับคุณยายท่านอีก ได้แต่นั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นเอง

                ผมจำได้ว่า…ผมขวัญเสียมาตั้งแต่วันนั้น

                จำได้ว่า วันนั้นพอตกเย็นรีบกินข้าว สามสี่ทุ่มกินยาก็รีบเข้านอนเพื่อให้หลับสนิทจะได้ไม่คิดอะไรอีก ผมขอบอกกับท่านผู้อ่านตรงๆ เลยว่าเรื่องที่ผมเจอมา มันเป็นอะไรที่ทำให้หวาดระแวงอย่างมาก

                ไอ้กลัวน่ะก็กลัวอยู่แล้ว มานึกๆ ดูก็ยังไม่สู้จะสบายใจนัก ถ้าวันนั้นผมเกิดบ้า…เกิดเปิดประตูออกไป อะไรจะเกิดขึ้น…??? เรื่องนี้ผมไม่อยากคิดเลย และกว่าที่ตัวผมจะเลิกกลัวและหยุดคิดเรื่องน่ากลัวที่ว่านี้ได้ก็นานเป็นเดือนทีเดียว

                ส่วนท่านผู้อ่านเล่า…ท่านจะเชื่อในเรื่องที่ผมเล่า หรือสิ่งที่ผมบอกหรือไม่ก็ตามใจ แต่ผมจะขอบอกเอาไว้ตรงนี้สักนิดหนึ่งว่า เรื่องบางเรื่องที่ผู้ใหญ่ท่านทัก หรือพูดให้ฟัง เราควรฟังไว้ให้ดี แต่ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น มันก็อยู่ที่ท่านต้องคิดและพิจารณาดูเอาเอง

                แต่กับเรื่องนี้…ถ้าท่านไม่เชื่อและอยากลองพิสูจน์ดูแล้วล่ะก็…พอได้ยินเสียงเรียกอย่างที่ผมได้ยิน ท่านก็ลองขานรับดู แล้วลองเปิดประตูออกมาดูก็แล้วกัน

                เพราะบางที…ท่านอาจจะเห็นอะไรดีๆ บ้างก็เป็นได้

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย. จุติ จันทร์คณา

ภาพโดย. Ai


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •