31 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

            ป้ายริมทางปิดประกาศขายสวนส้มโอ 10 ไร่ดูสะดุดตา เนื่องจากชื่อเล่นของเจ้าของและเบอร์ที่ติดต่อพอที่จะคุ้นๆ เมื่อได้โทรศัพท์กลับไปก็เป็นที่ดินและเบอร์ของเพื่อนเก่าคนหนึ่งจริงๆ ฉันขอเรียกเธอว่า อรทัย

            เมื่อเท้าความได้นิดหน่อยว่าเป็นฉันโทรมา อรทัยเอ่ยปากจำได้ทันที ครั้นเมื่อบอกให้เธอฟัง ฉันอยู่หน้าถนนใหญ่ ปากซอยเข้าบ้านเธอแล้ว “เข้ามา เข้ามาเดี๋ยวนี้เลย เล่นเอาหายหน้าไปเป็นสิบยี่สิบปีอย่างนี้ ไหนๆ ก็เดินทางมาแล้ว นั่งกินข้าวด้วยกันสักมื้อก็ยังดี หวังว่าคงจำบ้านเราได้นะ เพราะงานแต่งงานเรากับพี่เกษมเธอก็มา โอ๊ย…ดีใจ”

            ตลอดระยะทาง 1 กิโลเมตรของการเลี้ยวเข้าบ้านเพื่อนเก่าตั้งแต่เรียนระดับมัธยม ก็ให้ฉุกคิด ใน 20 กว่าปีก่อนได้เดินทางมารอรับขบวนขันหมากของเพื่อนก็ที่บ้านหลังตรงหน้าที่จะถึงนี้ แล้วทำไมเพื่อนต้องปิดประกาศขายบ้านที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเรือนหอที่รับมรดกตกทอดมาจากพ่อแม่ด้วย ทั้งนี้ช่วงที่ไม่ได้พบกับอรทัยโดยตรง หากได้เจอะเจอเพื่อนร่วมรุ่นบางคน เมื่อไต่ถามถึงอรทัย ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน “ไอ้ออมันสบายไปแล้ว ข่าวว่ารวยเอาๆ ซื้อบ้านในเมืองทิ้งไว้ก็หลายหลัง ผัวก็ครู เมียก็ครู ลูกอีกสาม แต่รวยเร็วชะมัดยาด อ้อ ที่เธอขายสวนทิ้งเพราะเบื่อความจำเจ”

            เมื่ออายุมากขึ้นคงอยากหูกว้างตากว้างขึ้นก็เป็นได้ ฉันคิดก่อนจะดับเครื่องรถที่หน้าบ้านเธอ อรทัยร้องทักดังลั่น “นี่คิดอยู่นะเนี่ย…ว่าจะมา ไม่มา อย่างน้อยก็มาเพื่อดูใจเพื่อนเก่าคนนี้สักนิดก็ยังดี” ฉันรีบสวนคำพูด “ใครเป็นอะไร”

            “นั่งก่อน นั่งก่อน” อรทัยกล่าว ถอนหายใจเฮือกดัง “ก็เด็กในบ้านนี้สิ มีแต่เรื่อง ลูกชายเราสองคน แรกก็เทียวเข้าเทียวออกบ้านกับเรือนจำ ส่วนลูกชายคนเล็กอายุ 17 ปีก็เพิ่งประกันตัวออกมาหลายแสน ไม่พ้นคดีอย่างว่า”

            “เดี๋ยวนี้ยามันแทรกเข้าทุกวงการแล้ว” ฉันเอ่ยบ้าง แกมประชด “คนมันจนลงไง ขายยาสบายๆ เสี่ยงเอาหน่อย พอมีช่องทางก็วัดดวงกัน ครั้นพอติดได้ประเดี๋ยวประด๋าวก็ออกมาขายต่ออีก เพราะความจนด้วย ส่วนอาชีพก็ไม่มี…อยู่ยากเหมือนกันประเทศไทย อย่าคิดมากไปเลยอรทัย”

            “นี่เธอรู้มั้ย” อรทัยกระซิบ “ขนาดเราสองผัวเมียรับราชการครูกันทั้งคู่ เครดิตยังไม่มีเลย คดีลูกชายคนเล็กก็ต้องไปกู้ร้อยละ 10 เค้ามาล้านหนึ่ง ส่งดอกทุกเดือน เดือนละแสน มันไปไม่ไหว เจอทนายทีต้องเตรียมใส่ซองไว้เลยห้าพัน แต่คดีก็ดูจะยุ่งยาก ก็เพื่อนๆ พวกมันทั้งนั้นที่พาไปเสียคน! เจ้าคนเล็กของเราก็ไม่ได้รู้อะไร เขาให้นั่งเฝ้าของในโรงแรมก็นอนเฝ้าให้ แต่พอตำรวจมันลง มันไม่สนใจหรอก ของกลางอยู่กับคนไหน คนนั้นก็ต้องมีความผิด ส่วนอายุเท่าไรกูก็ไม่สน จับเอาไว้สืบสวนต่อขยายผล”

            ฟังอรทัยแล้วก็ดูจะเข้าใจเรื่องคดีความเป็นอย่างดี และก็พลอยละเหี่ยใจตามเพื่อนไปด้วย ทุกข์ของลูกก็คือความทุกข์อันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่เป็นเรื่องจริง

            “เรื่องที่สวนส้มโอ ที่เราตัดสินใจขายก็เพราะส่งดอกเบี้ยไม่ไหว กู้เขามาได้ เงินก็ไปกองไว้ที่ศาลเกือบหมด แทบจะกินเกลืออยู่แล้วทุกวันนี้” เมื่อถามไถ่ถึงพี่เกษม เนื่องจากระยะนี้อยู่ในช่วงปิดเทอม “พี่เค้าก็อยู่ในบ้านนี่ล่ะ” อรทัยตอบอย่างไม่ลังเลปิดบัง “แกคงจะอายที่อยู่ๆ ครอบครัวต้องกลับมาเป็นอย่างนี้ เรื่องมันมาเร็วติดๆ กัน จากที่สี่ห้าปีก่อนนะ เรามีทั้งบ้านพักตากอากาศที่ริมเขา มีบ้านเป็นหลังๆ ให้คนเช่าถึง 5 หลัง เป็นบ้านจัดสรร แต่บทมันจะจากเราไป เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น!”

            อรทัยจูงแขนฉันเดินออกนอกตัวบ้านเข้าสวน ส้มโอหลายสิบลูกหล่นเรี่ยราดเสมือนเจ้าของเบื่อที่จะดูแล “เชื่อมั้ย พี่เกษมตอนนี้ถึงกับเป็นโรคประสาทอ่อนๆ ไม่รู้เทอมนี้เทอมหน้าจะสอนนักเรียนได้รึเปล่า ที่แกเครียดก็เพราะสมัยก่อนที่ลูกชายคนโตทำยา ช่วงบูมๆ เงินนี่กองเป็นปึกไว้รอบบ้าน ต่อมาเมื่อช่วยเก็บนับให้ลูกได้เป็นล้าน ก็ตกลงกันเอาไปฟอกซื้อบ้าน เรากำเงินไป ทางโครงการไม่มีใครจับพิรุธได้เลย เพราะเรารับราชการกันทั้งคู่”

            “ส่วนลูกชายคนโตที่เขาทำงอกทำเงยเพราะเขาไม่เสพ ส่งทีขายที กำไรล็อตละ 4-5 แสนเป็นอย่างต่ำ แล้วอีกอย่างที่ตำรวจยังไม่จับ เพราะต้องสืบให้แน่นอนเสียก่อน ก็ทิ้งระยะเวลาโกยเงินได้คราวละหลายล้านต่อปี…แต่ที่ลูกชายคนโตถูกจับก็เพราะไอ้ลูกคนรองของเรามันเสพ เสพอย่างเดียวและติดหนักด้วย ครั้นพอถูกตำรวจจับ กระทืบนิดกระทืบหน่อย มันเล่าหมดเลยคราวนี้ พี่มันทำอะไร พ่อแม่เป็นยังไง นี่ยังบุญหัวนะที่ตำรวจยังไม่เอาเราเข้าปิ้งด้วย ต่อมามึงอยากยึดอะไรก็ยึดเอาไป เพราะบ้านทุกหลังเราไหวตัวทัน โอนเป็นชื่อลูกชายคนโตหมดทุกหลัง ไม่อย่างนั้นเป็นต้องถูกรวบตัวด้วยแน่!”

            “แล้วเธอจะไปอยู่ที่ไหนอรทัย หากที่ดินขายได้”

            “โธ่…คุณนาย ที่เกิดมานี่แบมือเปล่ามากันทั้งนั้น” เพื่อนพูดเสมือนกับว่าปลอบใจตัวเอง “ก็ตั้งใจไว้น่ะนะ จะหาที่ดินสักแปลงปลูกบ้านหลังเล็กๆ ปลูกผักปลูกหญ้าไปตามลำพัง คงพอแล้วกับความร่ำรวยที่ฉาบฉวย ยืนอยู่บนคราบน้ำตาของอีกหลายครอบครัว อย่างไรก็ขอให้ลูกชายคนเล็กหลุดคดีเถิด ครอบครัวจะเหลือแต่ตัวเปล่าๆ ก็ไม่เป็นไร ลากันทีวงการ!”

            ระหว่างที่ก้มเลือกเก็บส้มโอ ใจหนึ่งฉันก็แอบคิด การที่รู้ว่าลูกค้ายาเสพติดเป็นของผิดกฎหมาย ผู้เป็นพ่อแม่ก็ต้องคอยห้ามปราม อีกการที่พ่อแม่รู้แล้วนิ่งเฉย ลูกที่ทำผิดก็จะคิดว่าพ่อแม่เห็นดีเห็นงามตามไปด้วย ซึ่งเมื่อมองในทางโลก ถือว่าทุกคนเสพความสะดวกสบายอยู่พักใหญ่ แต่เมื่อมองในทางธรรมแล้ว กฎแห่งกรรมไม่ได้หนีไปไหนเลย ดูได้จากลูกชายคนรองที่เสพยาจนติดหนัก (ตามคำที่ผู้เป็นแม่เล่า) และสุดท้าย…กรรมได้ตามสนอง ก็คือเขาที่ชี้ช่องบอกทางให้ตำรวจมาจับที่ต้นตอคนขาย ก็คือพี่ชายเขานั่นเอง

            หากพิจารณาดูด้วยใจที่เป็นธรรม คนที่ทำลายครอบครัวก็คือทุกคนในครอบครัวนั่นล่ะที่เป็นผู้ก่อ อย่าเที่ยวไปโทษใครให้เป็นบาปกรรมติดตัว ฉันเคยเห็นเด็กเยาวชน ผู้ใหญ่ที่ถูกจับดำเนินคดี เมื่อพ่อแม่มาจับลูกกรงห้องขังยืนเยี่ยมลูก ฉันไม่เคยเห็นใครด่าลูกให้ตำรวจได้ยินเลย มีแต่ “แม่บอกแล้ว กูบอกแล้วว่าอย่าเชื่อเพื่อน ตามเพื่อน” ส่วนตัวผู้ที่ถูกจับกุมก็คงรู้อยู่แก่ใจ ก็ไอ้เพื่อนที่พ่อแม่ด่า มันก็ผมก็หนูนี่แหละ ไม่ต้องโทษใคร คนถูกจับกุมบางคราวยังมีสติยอมรับกับความผิดที่ตนก่อไว้ได้ แต่คนรอบตัวเขานี่แหละที่ไม่ค่อยยอมรับความจริงกัน เนื่องจากอุปนิสัยของคนไทยจะง่ายๆ อะไรที่มองผ่านก็ให้ผ่านเลยไป ประเภทมีลูกแต่ขี้เกียจเลี้ยง ขี้เกียจสอนเป็นส่วนใหญ่ เชื่อว่าคงไม่มีใครกล้าเถียงในส่วนนี้

            ฉันมองสภาพอรทัยที่กำลังก้มๆ เงยๆ เลือกส้มโอให้ ฉันก็อดที่จะสงสารเพื่อนไม่ได้ “ขนไปเยอะๆ ไปแจกเขาบ้างก็ได้ตัวเอง ว่าแต่ไม่กินข้าวเย็นด้วยกันหรือ” ฉันมองดวงตะวันที่กำลังจะลับทิวเขา ได้อธิบายให้อรทัยทราบ ที่เดินทางไกลถึง อ. ทองผาภูมิ ครั้งนี้ก็เพื่อมาดูคนงานเก่าที่ป่วยหนัก ยืมรถลูกขับมาด้วย อย่างไรแล้วที่ดินสวยๆ ของเธอแปลงนี้ก็จะช่วยขายให้ เมื่อก้มดูผืนดินแล้วก็อดเสียดายแทนเพื่อนอยู่เหมือนกัน เนื่องจากทราบดีว่าเป็นที่ดินมรดกตกทอดของทางแม่อรทัย และยกให้เป็นเรือนหอของครูคู่หนุ่มสาวในเวลานั้น คำพูดที่ว่า… “สมบัติผลัดกันชม” อยู่ใกล้กับคนเราทุกคนอย่างนี้นี่เอง

            “จะไม่กินข้าวด้วยกันก่อนจริงๆ หรือ”

            “คงไม่ล่ะ เริ่มแก่แล้ว หูตาก็ฝ้าฟาง ว่าแต่เรื่องที่ จะช่วยหาคนซื้อให้ก็แล้วกัน” ฉันบีบมือปลอบใจเพื่อน “อย่าลืมดูแลลูกกับสามีด้วยนะอรทัย…อะไรที่ผ่านมาแล้วเราแก้ไขไม่ได้ แต่เราแยกแยะได้ ใช่มั้ย” ฉันย้ำเตือน

            “เฮ้อ! นึกถึงสมัยก่อน ก่อนที่ลูกชายคนโตจะถูกจับ ในทุกตอนเย็นก็จะนั่งกันตามภัตตาคาร สวนอาหารดังๆ แล้วกับข้าวก็จะสั่งเผื่อมื้อเช้าด้วย กินกันแต่ของแพงๆ แต่เดี๋ยวนี้หรือ หาเก็บผักกินกับน้ำพริกทุกมื้อ เราสงสารลูกชายมาก มีเงินเท่าไรก็ต้องทยอยส่งให้เขากิน แม้ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊วจะถุงละ 50 บาท แต่ปริมาณ 10 บาทก็เถอะ ทำอย่างไรได้ เพราะได้ตกหลุมพราง ตกกับดักกรรมมาแล้ว เฉพาะคดีแรกที่ศาลตัดสิน ลูกชายจำคุกตลอดชีวิตนะ ตอนถูกจับเป็นข่าวออกโด่งดัง เธอไปอยู่เสียที่ไหนมา โน่นๆ ดูที่ลานกีฬาหน้าสนามโรงเรียนที่เราสอนสิ” อรทัยชี้มือไปทางหน้าถนน “เฮลิคอปเตอร์มาจอดรับลูกชาย เอาตัวเข้ากรุงเทพฯ เลย ส่วนเจ้าคนรองเห็นเข้าก็ตัวสั่นงันงก พ่อมันตีแทบตาย หลงดีใจว่าตำรวจปล่อยตัวมา แต่ที่ไหนได้ดันมาเป็นสายล่อจับให้พี่แท้ๆ ของมันต้องติดคุกยาว”

            “อย่าไปโทษอะไรอีกเลยอรทัย”

            “คิดได้อยู่นะ แต่อยากจะระบาย ครั้นพอมาลูกชายคนเล็ก พอเริ่มโตก็เข้าอีหรอบพี่ๆ ใจเราตอนนี้เหลือนิดเดียวเธอเอ๊ย!…เจ้าประคู้ณ ขอให้ลูกขายที่ขายทางได้เร็ววันเถิ้ด จะได้ย้ายถิ่นย้ายฐานเสียที อ้อ…ปากคนที่นี่ก็ไม่เบานะ…แม้เรื่องเกิดได้สองปีแล้วก็ยังพูดกันไม่จบ!”

            ใช่ น้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด คนมักยินดีทับถมกับผู้ที่ผิดพลาดมากยิ่งเท่านั้น…หลีกเลี่ยงไม่ได้หรอก ฉันบอกย้ำให้อรทัยเข้มแข็งเพื่อเป็นเสาหลักให้ลูกและสามี แม้ขณะจะออกรถเดินทางกลับ พี่เกษมก็ยังไม่มาให้ฉันเห็นหน้าทั้งที่สนิทกัน เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นคงทั้งเศร้าและอับอายสำหรับหัวหน้าครอบครัวอย่างพี่เกษม อีกหน้าที่การงานทั้งอรทัยและสามี ได้ถูกกำหนดว่าต้องเป็นผ้าขาว ห้ามแปดเปื้อนด้วยเรื่องใดๆ ในทุกกรณี ฉันขับรถกลับด้วยความสะท้อนใจอยู่เหมือนกัน

            เวลาที่ได้ประทานมาในแต่ละชีวิตนั้นไม่เท่ากัน บางคนตายช้า บางคนตายเร็ว ประการสำคัญ ไม่มีใครรู้วันตาย ช่วงที่ยังมีลมหายใจอยู่ควรใช้เวลาให้มีประโยชน์ อย่าหลงระเริงว่ายังหนุ่มยังสาว อย่าทำใจมืดบอด หันหลังให้กับการทำความดี

            เริ่มต้นจากครอบครัว ผู้เป็นลูก เมื่ออยู่ในวัยเล่าเรียนก็ควรหมั่นศึกษาหาความรู้ แม้จะไม่ฉลาดเฉลียวก็อย่าท้อแท้ คนเราย่อมมีคุณสมบัติที่พิเศษอยู่ในตัวกันทุกคน จงหามันให้เจอ แล้วทำให้ดีที่สุด ประกอบเป็นอาชีพให้ได้ เมื่อไม่มีความรู้ ไม่จำเป็นต้องขายยา เป็นเด็กเดินยาเสพติด จงจำไว้ คุกมีไว้ต่อผู้ที่อ่อนหัดเพียงครั้งแรกและครั้งเดียว ไม่ว่าคุณจะฆ่าคนตาย ลักทรัพย์ ค้าสิ่งผิดกฎหมาย ฉ้อโกง โอกาสที่ผิดพลาดของคนเราเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเพื่อเป็นบทเรียน ส่วนการผิดพลาดในครั้งต่อไป เรียกว่าเป็นสันดานของคนคนนั้น

จะเลือกคุยโอบกอดกับพ่อแม่ หรือเลือกที่จะเกาะลูกกรงห้องขังคุยกัน ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราทั้งสิ้น ขอฝากไว้กับผู้เป็นพ่อแม่ และอนาคตของชาติด้วยความรัก

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. www.theprivatepractices.com, pngwing.com, wallpapercave.com, www.flickr.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •