27 กรกฎาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

            ผมเคยได้ยินได้ฟังมานานแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่มีคนเคยพูดถึงกันบ่อยๆ กับเรื่องที่ว่า มีหลายครั้งที่คนเราได้เห็นในสิ่งที่ไม่ควรจะเห็น ได้เจอในสิ่งที่ไม่น่าจะพบเจอนัก…คนโบราณเรียกวิธีการเหล่านี้ว่า เดินหน

            สมัยก่อน การเดินหนเป็นสิ่งที่ว่ากันว่าทำได้ โดยผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ได้จะต้องสำเร็จปรอทเสียก่อน แล้วไอ้การสำเร็จปรอทมันเป็นอย่างไร? …ว่ากันว่าวิธีการสำเร็จปรอทนั้น ผู้ที่ต้องการเรียนปรอทจะต้องดักปรอทเสียก่อน ปรอทที่ว่านี้จะลอยอยู่ในอากาศ ดักได้แล้วก็นำมาเคี่ยว เคี่ยวจนปรอทเชื่องถึงนำมาทำพิธี

            เรื่องปรอทนี้ ผู้ใหญ่ที่บ้านผมเคยบอกว่าได้ดูได้ชมเมื่อสมัยหนุ่มๆ ท่านบอกว่า… “ปรอทมันก็ดูเหมือนโลหะที่หลอมเหลวนี่แหละ เตาเผาปรอทที่เรียกกันว่าเตาหุงนั้นต้องร้อนอยู่ตลอดเวลา และปรอทที่เคี่ยวหุงก็ต้องว่าอาคมกำกับตลอดด้วย ไม่อย่างนั้นปรอทมันจะดื้อ เพราะถ้าปรอทดื้อแล้วจะบังคับยาก ทำให้เดินหนไม่ได้ ผู้ที่จะเดินหนได้ต้องอมปรอทเอาไว้ใต้ลิ้น ว่าคาถากำกับ แล้วจะทำให้ตัวเองเดินหน ผ่านมิติไปในที่ที่ต้องการได้ ซึ่งเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าครั้งหนึ่ง เรื่องการสำเร็จปรอทนี้ก็มีบันทึกไว้ในพงศาวดาร และมีเชื้อพระวงศ์ท่านหนึ่งสำเร็จปรอทเสียด้วย”

            แต่เรื่องที่ผมเจอมากับตัวเองนี้ ถึงจะไม่ใช่วิธีเดินหนของผู้สำเร็จปรอท แต่ก็มีส่วนคล้าย และเกี่ยวเนื่องกันอยู่หน่อยๆ บางทีฟังดูแล้วมันอาจจะแปร่งๆ หรือไม่น่าเชื่อถืออย่างไรก็ฟังหูไว้หูก็แล้วกันครับ อย่าเพิ่งเชื่อที่ผมเล่าไปเสียทั้งหมด รับเอาแต่ในส่วนที่เป็นเหตุและผลก็แล้วกัน เรื่องราวแปลกๆ ที่ว่านี้มันเกิดขึ้นในครั้งที่ผมยังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย…ปีนั้นเป็นปีสุดท้าย และเป็นปีที่ผมจะต้องทำวิทยานิพนธ์เสียด้วย…

            วิทยานิพนธ์นั้นพวกเราเรียกมันว่าทีซิส และไอ้เจ้าทีซิส หรือที่พวกเราเรียกมันเล่นๆ ว่าเดอะซิสนี้ก็ทำความยุ่งยากวุ่นวายให้กับนิสิตอย่างพวกเราทุกรุ่น สำหรับผมนั้นเรียนมาทางศิลปะ เลยทำวิทยานิพนธ์ในเรื่องที่เกี่ยวกับภาพยนตร์ ผมทำภาพยนต์สั้น เนื้อเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก อุปกรณ์ที่ใช้ในการถ่ายทำก็ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากซับซ้อน สมัยนั้นการถ่ายทำด้วยวิดีโอเทปเพิ่งจะเข้ามามีบทบาทในวงการบ้านเรา…ดังนั้น การถ่ายทำด้วยวิดีโอก็นับว่าเป็นอะไรที่สุดยอดแล้ว ในเนื้อเรื่องที่ผมวางคร่าวๆ เอาไว้ ก็กะการว่าจะมีเนื้อเรื่องย้อนยุคหน่อยๆ และมีฉากหนึ่งที่กะเอาไว้ว่าจะต้องถ่ายที่วัด

            ครั้งนั้น ผมยังไม่ได้กำหนดว่าจะเป็นวัดที่ไหน ทีแรกกะว่าจะเอาโลเกชั่น หรือสถานที่ที่เป็นวัดแถวๆ อยุธยา แต่ทว่ามันอาจจะลำบากกับการเดินทาง และยุ่งยากในการขออนุญาตกับทางเจ้าหน้าที่ ก็เลยหาที่ง่ายๆ ดีกว่า ผมจำได้ว่าวันนั้น เพื่อนผมคนหนึ่งเสนอว่า “เฮ้ย ไปถ่ายแถวบ้านข้าก็ได้ วัดดุสิตาราม แค่นี้เอง…บรรยากาศก็เหมือนวัดที่อยุธยาเลยนะเว้ย” ผมฟังแล้วก็หูผึ่งทันที เพราะวัดที่เพื่อนว่านี้อยู่แค่เชิงสะพานพระปิ่นฯ เท่านั้นเอง สุดท้ายผมก็ตัดสินใจว่าจะไปที่นี่แหละ เพราะประหยัดทุกอย่าง และก็ยกพลกันไปวันนั้นเลย ผมกะว่าจะถ่ายทำให้เสร็จในทีเดียว

            วัดดุสิตาราม…จะว่าไปแล้วก็เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง มีพระอุโบสถ และเจดีย์เก่าๆ ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา วิหารและพระอุโบสถที่เป็นแบบท้องเรือฐานโค้งแบบนี้ มีที่อยุธยาและวัดร่วมรุ่นที่เพชรบุรีอีกวัดสองวัดเท่านั้น เรามาเตรียมตัวเตรียมสถานที่กันตั้งแต่สายๆ วันนั้นแดดหลัวชอบกล แต่เราก็ดูเทปที่แล้ว ปรากฏว่าท้องฟ้าไม่โดดกันมากนักก็ตกลงถ่ายเลย…ก่อนจะถ่ายเทปแรก เพื่อนๆ และรุ่นพี่รุ่นน้องที่เข้าฉากก็ต้องแต่งตัวด้วยชุดไทยโบราณ

            เราเดินเทปและเริ่มถ่ายไปเรื่อยๆ ฟ้าก็หลัวลงทุกทีๆ สุดท้ายผมดูแดดดูท้องฟ้าแล้ว เห็นท่าว่าแสงจะไม่พอ ก็จะเปิดสปอร์ตไลต์เสียที เพราะถ้าใช้สปอร์ตไลต์แต่แรกก็กินค่าไฟอานอยู่เหมือนกัน…พอเปิดไฟก็ถ่ายต่อได้โดยเทปไม่โดด ผมจำได้ดีว่าขณะที่เข้าฉากนั้น เป็นฉากที่ชาวบ้านเดินกันไปมามากมาย ซึ่งผู้ที่แสดงเป็นชาวบ้านก็พี่ๆน้องๆนั่นแหละเดินกันไปเดินกันมา มีคนแสดงอยู่ในราวๆ สิบห้าสิบหกคน แต่มันก็ดูขวักไขว่เหลือเกิน

            แต่มีอยู่ฉากหนึ่ง ผมและทุกคนกำลังวุ่นอยู่กับการถ่าย ไม่ทันสังเกตองค์ประกอบรวมๆ ในฉาก แต่ผมจำได้ดีว่าคนแสดงนั้นเป็นรุ่นน้องผมและเพื่อนที่เกณฑ์กันมาจากหลายคณะ ดังนั้นก็มีคนที่เราไม่รู้จักบ้าง แต่เพื่อนที่รู้จักก็เกณฑ์ให้มาช่วยกัน…ฉากนี้เป็นตอนที่ตัวเอกจะต้องหนีออกจากบ้าน กล้องแพนไปที่เจดีย์และเห็นพระอุโบสถ ที่นั่นจะเป็นมุมกล้องที่พระเอกเดินออกมาจากบ้านและผ่านเจดีย์กับพระอุโบสถตรงนี้ คนที่เข้าฉากคนอื่นก็แค่เดินสวนกันไปเดินสวนกันมา สองสามคนเท่านั้น

            พอเริ่มถ่าย ผมจำได้ว่ากำลังดูจอมอนิเตอร์อยู่ ก็เห็นว่ามีชาวบ้านหรือใครก็ไม่รู้แต่งตัวแบบเดียวกับพวกเราเดินออกมาจากหลังเจดีย์ด้วย…ครั้งแรกผมไม่คิดว่าเป็นคนอื่น เพราะชุดการแต่งตัวเหมือนพวกเรามาก ผมกลับคิดไปว่าเป็นเพื่อนๆ คณะอื่น หรือเพื่อนของเพื่อนอีกที…ก็ไม่ได้ว่าอะไร รู้สึกดีเสียอีกที่พวกนี้เล่นกันได้แนบเนียนและดูเหมือนจริงจังเลย แสดงได้แบบเป็นธรรมชาติมากๆ พอพระเอกเดินเข้ามาในฉากก็เริ่มถ่าย คนอื่นๆ ที่เราเห็นก็เริ่มเดินไปเดินมา เราถ่ายจนพอใจ ผมถึงสั่งคัต แล้ววันนั้นเราก็ถ่ายซ่อมอีกสองสามฉาก อีกทั้งถ่ายจริง และถ่ายฟุตเตจเก็บสต๊อกไปด้วย

            เสร็จเรียบร้อยก็พักกินข้าวกลางวัน…ในช่วงสนทนาหลังอาหาร ผมถามเพื่อนถึงพวกเพื่อนๆ ที่เค้าพามาด้วย และถามถึงฉากที่ถ่ายแล้วมีชาวบ้านเดินเป็นกลุ่มเป็นแบล็กกราวด์ด้านหลัง ผมบอกว่าสวยมาก ผมพูดจบ ทุกคนงงไปตามๆ กัน “ฉะ ฉากไหนพี่…” รุ่นน้องผมที่เป็นตากล้องถาม “อ้าว ก็ฉากที่ไอ้เวทมันยังไม่เดินออกมาไงล่ะ” ผมหมายถึงฉากก่อนที่พระเอกจะเดินออกมา ทุกคนมองหน้าผมแล้วถามเป็นเสียงเดียวกันว่า “แล้วมีคนอื่นเข้าฉากด้วยเหรอพี่ ด้านหลังน่ะ ไม่มีใครเลยนะ ผมให้เดินเป็นโฟว์กราวด์อยู่ด้านหน้าเท่านั้นเอง…”

            ทุกคนยืนยันแบบนั้น แต่ผมบอกว่าผมเห็นในกล้องนี่นา สุดท้ายก็เอาเทปที่ถ่ายแล้วมากรอดู ดูกันในส่วนที่ผมบอกว่ามีคนอื่นเดินเข้ามาในฉากด้วย…แต่ไม่น่าเชื่อเลยครับ!!! สิ่งที่ผมเห็นเต็มสองตากลับไม่มีปรากฏบนเทปเลยแม้แต่นิดเดียว ด้านหลังก็ไม่มีคนเดิน มีแต่พระเอกเดินผ่านไปเฉยๆ ข้างหน้ามีเพื่อนสองสามคนเท่านั้น…ผมงงมาก รีบลุกขึ้นมองหาคนพวกนั้น ก็ผมเห็นเค้ายังเดินเล่นอยู่ในกลุ่มพวกเราเลย แต่เวลานี้พวกเค้าหายไปหมดแล้ว ผมงงมาก พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอยู่นาน

            วันนั้นน้องๆ และเพื่อนๆ รีบเลิกกองถ่ายเพราะคิดว่าผมไม่สบาย ควรพักผ่อน แต่ผมก็ยืนยันว่าผมเห็นจริงๆ แต่ไม่มีใครเห็นกับผม หรือเห็นในสิ่งที่ผมเห็นเลยสักคน…ผมงุนงงกับเรื่องนี้มาเป็นสิบปี วันหนึ่งก็ไปอ่านเจอบทความในนิตยสารต่างประเทศ เค้าพูดถึงเรื่องนี้เอาไว้และอธิบายให้เข้าใจว่า…เวลาทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ต่างเคลื่อนที่เป็นเส้นตรง ไม่เกี่ยวข้องกัน เหมือนเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป แต่ถ้าเวลาเกิดพลิกผันหรือมีการคาบเกี่ยวกัน อาจจะโดยอุบัติเหตุทางเวลาหรืออย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านั้นจะทำให้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เข้ามาชนกัน เมื่อนั้นแหละ เราอาจได้พบเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านไปแล้ว หรืออาจจะได้เห็นสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นอดีตชาติ หรือเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้

            ดังนั้น สิ่งที่ผมเคยเห็นมาในครั้งนั้น มันก็อาจเป็นอะไรๆ ที่ผ่านมาแล้วก็เป็นได้…ซึ่งผมเองก็บอกไม่ได้ว่ามันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ และที่ไหน แต่สำหรับผมแล้ว การได้พบเห็นครั้งนั้นเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ผมรู้สึกและก็เชื่อแล้วว่า…คนโบราณน่าจะรู้ และมีคนเรียนวิชาเดินหนได้จริงๆ และวิชานี้ก็สามารถก้าวข้ามมิติแห่งเวลาได้จริงๆ เหมือนกัน…และดีไม่ดี วิชาเหล่านี้ก็อาจหลงเหลือหรือมีคนรู้อยู่ในปัจจุบันนี้เสียด้วย

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

เรื่องโดย. จุติ จันทร์คณา

ภาพโดย. ciencisagora.blogspot.com, lichlair.com, perception.inner-growth.org, www.destinationoman.com, www.rocketlawyer.com, www.icon.org.uk


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •