แม้ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะผ่านมาเกือบสามสิบปีแล้วก็ตาม ผมยังจำทุกอย่างได้เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เอง….
ผมนั่งดูดวงตะวันที่ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า…อีกเพียงไม่กี่อึดใจ ดวงอาทิตย์ก็ลอยเด่นส่องแสงแผดจ้า เหมือนจะบอกให้รู้ว่าการต่อสู้ของชีวิตได้เริ่มขึ้นแล้ว…แต่ผมก็ยังเหม่อมองออกไปจนเสียงไอแห้งๆ ของแม่ดังขึ้น จึงรีบหันกลับไปดูแม่ที่นอนป่วยอยู่กลางบ้าน ผมรีบวิ่งเข้าไปดู
“ไอ้ผันยังไม่มารับเอ็งอีกรึ” แม่ถามเบาๆ
“เป็นไงมั่งแม่…กินยาที่ต้มหรือยัง น้าผันยังไม่มาเลย ฉันไม่อยากไป ห่วงแม่”
“ไปเถอะ แม่ก็ไอแบบนี้แหละ อีกวันสองวันก็หาย หวัดแดดก็อย่างนี้ เจ็บคอมันแห้งเหมือนกับมีทรายเป็นร้อยเม็ดอยู่ในคอ” พอพูดจบ แม่ก็โก่งคอไอจนน่าสงสาร ผมเลยเข้าไปลูบหน้าลูบหลังแม่เบาๆ แล้วเสียงโหวกเหวกดังสวนขึ้นมาเป็นเสียงน้าผันนั่นเอง
“เอ้า…จะไปกันหรือยังไอ้จ้อย แล้วนั่นเสียงไอ พี่จิกเป็นไงมั่ง” น้าผันแกพูดพลางเดินขึ้นมาบนบ้าน เข้ามาทักทายแม่ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่กลางบ้าน น้าผันแกเป็นญาติลูกพี่ลูกน้องของแม่ ซึ่งแกมักจะมาเยี่ยมหาครอบครัวของเราอยู่บ่อยๆ
“เออ ก็หวัดแดดแหละ วันก่อนไปถางหญ้าที่ไร่แล้วมันร้อนจัด…เออผัน ฝากไอ้จ้อยไปด้วยนะ มันยังเด็ก นัดทางนั้นไว้แล้วใช่ไหม…เออดี มันจะได้เจอหน้ากันเผื่อข้าเป็นอะไรไป เอ็งจะไปกี่วัน”
“ก็คงสองสามวัน…ว่าจะค้างสักสองคืนก็กลับ”
พูดคุยล่ำลากันเสร็จ ผมก็สะพายย่ามตามน้าผันไป น้าผันแกเดินเร็วมากจนผมต้องร้องตะโกนให้แกเดินช้าลงหน่อยเพราะตามไม่ทัน
“เอ็งก็เร่งเข้าสิวะ เดินช้าเป็นเต่า กว่าจะถึงเดี๋ยวไม่ทันรถ มันมาเป็นเวลา นานๆ จะมาสักคัน…ดีนะที่ตอนนี้มันแล้ง เดี๋ยวเราตัดนานั่นออกไปเลยน่าจะเร็วหน่อย” ผมพยายามเร่งเดินตามน้าผัน ซึ่งแกก็ชะลอฝีเท้าให้ผมบ้าง “พอเราตัดทุ่งนี้ก็ข้ามห้วยอีกนิดก็ถึงทางรถแล้ว”
ผมอยากจะร้องออกไปว่าอีกนิดของน้าผันน่ะ โคตรไกลเลย แต่ก็ได้แค่คิดในใจเท่านั้น น่าท้อแท้ในความไกลและกลางแดดจ้าที่กำลังระอุ ไม่นานนัก หลังจากนั้นเราก็เดินมาถึงถนน นั่งรอรถอยู่พักใหญ่ก็มีรถสองแถววิ่งฝุ่นตลบมา เราสองคนขึ้นไปมีคนโดยสารคนอื่นๆ อีกสองสามคน แต่ละคนผมเห็นแล้วต้องแอบเบือนหน้าขำจนน้าผันจ้องหน้าผมอย่างดุๆ ก็แต่ละคนผมเผ้าหน้าตาเป็นสีแดงจากฝุ่นกันทั้งหมด
รถขับปุเลงๆ เหมือนเครื่องในผมจะหลุดลุ่ยออกมาเสียให้ได้ มันโขยกเขยก พอสุดทางที่รถต้องจอด ตอนจะลงผมรู้สึกระบมไปทั้งตูดเลย น้าผันว่าเราต้องลงเรือต่อไปอีกกว่าจะถึงที่หมายก็เกือบจะพลบค่ำพอดี ทั้งหิวทั้งเหนื่อยบอกไม่ถูก…เราเดินมาถึงบ้านหลังหนึ่งที่หลังใหญ่พอประมาณ ผมเองก็ยังไม่ได้ถามน้าผันว่าเรามาหาใคร รู้จากแม่บอกให้มาผมก็มา เสียงหมาเห่าดังขรมไปหมด พอดีกับมีเสียงร้องทักมาจากบนบ้านหลังนั้น
“ใช่ผันไหม มากันแล้วเหรอ พามาด้วยหรือเปล่า”
“พี่แช่ม พามานี่ไง จ้อยไหว้สิ นี่พ่อเอ็ง…” ผมยกมือไหว้อย่างมึนงง ผมพยายามมองและคิดว่าคลับคล้ายคลับคลาแต่ก็จำไม่ได้….จนน้าผันเรียกให้สติ
“ไปจ้อย ขึ้นบ้าน เอ็งอย่ามัวแต่งงอยู่ นี่แหละพ่อแท้ๆ ของเอ็ง”
“มาๆ เหนื่อยกันมาละซี หิวไหม…ลำดวนเอ๊ย ไปเอาน้ำเอาสำรับกับข้าวมาที โตแล้วนะจ้อย เอ็งคงจำพ่อไม่ได้ ก็คงงั้น…ตอนนั้นเอ็งยังเล็กมาก แล้วแม่เอ็งเป็นไงบ้าง สบายดีไหม”
หลังจากนั้น น้าผันก็พูดคุยเล่าเรื่องราวสารทุกข์สุกดิบของผมกับแม่ให้กับพ่อฟัง ซึ่งพ่อก็หันมามองหน้าผมเป็นระยะๆ พลางเอื้อมมือมาลูบหัวลูบไหล่ผม…ความรู้สึกบอกไม่ถูก มันแผ่ซ่านสะท้านหัวใจ…พ่อดูมีความสุขดี ผมสลัดความคิดอะไรต่อมิอะไรที่ประดังเข้ามาพร้อมกับคิดตามประสาเด็กในวัย 12 ปีของผมว่า เรื่องของผู้ใหญ่ ช่างเถอะ เรามีทั้งพ่อและแม่ครบก็พอแล้ว ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันผมก็ไม่เคยรู้สึกขาดอะไร
เราพักอยู่ที่นั่นสองคืนก็เตรียมตัวกลับ พ่อฝากเงินมาก้อนหนึ่งให้แม่ ผมให้น้าผันเก็บไว้และเอาไปให้แม่เอง พ่อบอกว่าช่วยค่าเล่าเรียนและบอกให้ผมมาบ่อยๆ ถ้ามีโอกาส พอสายหน่อย หลังจากกินข้าวกินปลาเสร็จ เราก็ออกเดินทางเพราะหนทางไกล เดินกันมาเรื่อยๆ จนถึงท่าเรือ เราพากันลงเรือ ใช้เวลานานพอสมควร ผมเมาเรือหัวโคลงไปหมด พอขึ้นฝั่งได้เหมือนอยากจะอาเจียน แล้วก็ต้องไปต่อรถสองแถวเหมือนขามา อยู่ๆ น้าผันก็หันซ้ายหันขวาแล้วพูดว่า “ข้าว่าเราอย่ากลับทางเก่าเลย มันเหมือนใกล้แต่มันอ้อม เราไปอีกทางแล้วกัน…ไปเหอะ บ่ายคล้อยแล้ว”
“ว่าอะไรว่าตามกัน แล้วแต่น้าผัน เพราะผมไม่รู้อะไรสักอย่าง”
น้าผันพาเดินลัดเลาะตามชายคลอง ทั้งร้อนทั้งเหนื่อยทั้งหิว ทางใหม่ของน้าผัน ผมรู้สึกว่ามันไกลและลำบากพอๆ กัน เราเดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงศาลาริมทาง “นั่นไง ศาลารอรถ ที่นั่นใช่ไหมน้า….น้าผัน พักก่อนเถอะ ผมทั้งเหนื่อย เมื่อย แล้วก็หิว พักสักหน่อยนะน้า”
“ไม่น่าใช่ ถนนมันแคบ ท่าทางมันจะเป็นศาลาพักมากกว่า ไปๆ” น้าผันแกเดินตรงดิ่งไปที่นั่นทันที ศาลาดูเก่าทรุดโทรม มีผุพังบ้าง แต่ลองเหยียบบนพื้นก็ยังแข็งแรง…เราพากันขึ้นไปนั่งพักด้วยความเหนื่อยอ่อนแล้วเปิดย่ามเอาข้าวเอาน้ำที่พกติดตัวมากินด้วย
“ดีนะที่พ่อเอ็งเขาเอาข้าวห่อมาให้ ไม่งั้นหิวตาย ไม่มีแรงเดิน นั่งพักอีกสักหน่อยแล้วเราค่อยไปต่อ ศาลาริมทางอย่างนี้คงมีรถผ่าน…ไม่แน่ใจว่ามาผิดทางหรือเปล่า”
“อ้าว น้า ไหงงั้นล่ะ”
“โธ่…ไอ้จ้อย ข้าก็พูดไปงั้นแหละ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ววะ แดดแจ๋อยู่ดีๆ ฟ้าครึ้มเสียแล้ว เมฆดำมาเชียว ถ้าจะไปต่อคงไม่ทันฝน นั่งหลบอยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน…อย่างน้อยเราก็มีที่หลบฝน”
น้าผันพูดไม่ทันขาดคำฝนก็เทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว ศาลายังกันฝนแทบไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่มีอะไรบังเลย ผมเอื้อมมือไปรองน้ำฝนเอามาลูบหน้าลูบตัว…สักพักฝนเริ่มซาลง แล้วอากาศที่ร้อนค่อยเปลี่ยนเป็นชุ่มชื้นขึ้นจากลมที่มากับฝน อากาศที่เริ่มเย็นบวกกับอิ่มและเหนื่อย เข้าตำราหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน ผมเอนตัวลงนอน ด้วยความเป็นเด็กก็หลับผล็อยไป จนกระทั่งได้ยินเสียงน้าผันแกพูดขึ้น
“สงสัยคืนนี้เราคงต้องนอนกันที่ศาลานี้แล้วล่ะวะ…ฝนแค่ซาเม็ดแต่ยังไม่หยุด เราจะไปลำบาก เช้าค่อยไปต่อแล้วกัน นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว เอ็งนอนต่อเถอะไอ้จ้อย”
ผมนอนเหม่อมองไปที่รอบศาลา แอบคิดในใจว่าถ้าให้มานอนคนเดียวเห็นจะไม่เอาแน่ พอความมืดเริ่มคลานเข้ามามันวังเวงอย่างไรบอกไม่ถูก เสียงฝนที่ยังตกพรำๆ อึ่งอ่างก็พลอยส่งเสียงร้อง มันคงดีใจที่ฝนตกเสียที บวกกับเสียงแมลงกลางคืนเริ่มส่งเสียง ผมหยิบเสื้อในย่ามอีกตัวมาสวมทับเพื่อกันยุง น้าผันเองก็เหมือนกัน
เรานั่งเงียบๆ กันไปสักพัก เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกันดี ผมเห็นน้าผันเอนตัวพิงเสาแล้วหลับตาเลยไม่อยากกวน เราต่างก็เผลอหลับไป แล้วก็ต้องสะดุ้งตื่นได้ยินเสียงคนเดินเหยียบพื้นไม้เสียงดังกุกกัก ผมกับน้าผันดีดตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรง กลัวว่าจะเป็นพวกจี้พวกปล้น แสงจันทร์ส่องสว่าง ทำให้มองเห็นได้ถนัด เป็นผู้ชายกับผู้หญิงเดินขึ้นมาบนศาลา เขาสองคนหาที่นั่งฝั่งตรงข้ามเรา ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจเราสองคนด้วยซ้ำ
“พี่ เราต้องรออีกนานไหม ฉันใจคอไม่ดีเลย…กลัวพี่อ่อนแกตามมาทัน”
“จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไป เพื่อนพี่ต้องมารับ มันรับปากแล้วไม่เบี้ยวหรอกน่า ใจเย็น…คงอีกสักพัก”
เสียงผู้หญิงผู้ชายสองคนนั่งคุยกัน มีท่าทีร้อนรนเหมือนกำลังหนีใครมา ผู้หญิงผุดลุกผุดนั่งในขณะที่ผู้ชายยังนั่งนิ่ง สักพักก็มีเสียงสวบสาบดังอยู่ด้านหน้า มีเงาตะคุ่มๆ ของผู้ชาย…
“อีจัน อีจันใช่ไหม อีจัญไร มึงลงมาเดี๋ยวนี้นะ” เสียงตะโกนแสดงถึงความโกรธเกรี้ยว ผู้หญิงที่อยู่ในศาลาเกิดอาการหวาดกลัว เข้าไปแอบหลังผู้ชายที่มาด้วยกัน ทั้งสองคนไม่ตอบ ส่วนชายที่อยู่ข้างล่างก็ไม่ได้เดินขึ้นมา คงกลัวว่าจะมีอาวุธหรือไม่ปลอดภัย
“อีจัน…จะลงมาดีๆ หรือจะให้กูขึ้นไปลากมึงลงมา”
ผมกระเถิบเข้าไปใกล้น้า แอบกระซิบกับน้าเบาๆ ว่างานนี้เราสองคนจะซวยด้วยไหม ซึ่งน้าผันก็นิ่งอึ้งไปเหมือนกัน
“พี่ผาดทำไงดี พี่อ่อนแกตามมาทัน…ท่าจะแย่เสียแล้ว โธ่….ฮือๆ”
“ไอ้ผาด กูรู้นะว่ามึงพาเมียกูหนีมา มึงสองคนเป็นชู้กัน…มึงให้อีจันกลับมาแล้วมึงก็ไปซะ กูจะไม่เอาเรื่อง…นี่กูพูดดีๆ แล้วนะ”
“อย่าส่งฉันคืนให้พี่อ่อนนะ พี่ผาด มันกระทืบฉันตายแน่ๆ”
“ว่าไงอีจัญไร จะออกมาได้หรือยัง บังอาจมีชู้ มึงนี่มันเลวจริงๆ”
“ไม่…ฉันไม่กลับ พี่อ่อนกลับไปเถอะ เราขาดกัน ฉันอยู่กับพี่ไม่ได้ ฉันท้องกับพี่ผาดแล้ว พี่ปล่อยเราสองคนไปเถอะ…”
ชายชู้ยังนั่งนิ่ง เราสองคนน้าหลานตั้งท่าหาทางหนีทีไล่ แต่มันก็มีทางลงเพียงทางเดียวที่เขาประจันหน้ากันอยู่ เพราะด้านข้างและด้านหลังศาลาเป็นคูน้ำจากฝนที่ตกลงมา พอสิ้นเสียงผู้หญิง ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านล่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างคั่งแค้น
“ใครกันแน่ที่เป็นชู้ ไอ้อ่อน มึงเป็นคนฉุดจันไป กูมาเอาของกูคืนต่างหาก”
“แต่อีจันเป็นเมียกู…งั้นมึงสองคนก็ไปอยู่กันที่เมืองผีแล้วกัน” พอสิ้นเสียง เสียงปืนก็ดังขึ้นสองนัด…ปัง…ปัง ร่างผู้ชายล้มคว่ำลงไปที่พื้น ฝ่ายผู้หญิงผวากรีดร้องเสียงหลงแล้วล้มทับไปบนร่างของคนรัก แล้วผู้ชายคนที่ชักปืนยิงก็เดินขึ้นมาที่ทั้งสองคนนอนอยู่ที่พื้น…วินาทีนั้นเอง ผู้ชายที่ถูกยิงนอนอยู่ที่พื้นก็ชักปืนยิงชายที่กำลังเดินขึ้นมา…สาดกระสุนใส่จนไฟแลบ แล้วชายที่เดินขึ้นมาก็ล้มคว่ำพาดอยู่ตรงทางเดิน ส่วนคนที่ยิงก็ล้มฟุบลงไปอีกครั้ง
ผมร้องเสียงหลงด้วยความตกใจสุดขีด ผมกับน้าผันกอดกันแน่น ตายละหว่า มีการยิงกันตายต่อหน้าต่อตาเรา ผมกลัวจนร้องไห้และตัวสั่นไปหมด
“ตั้งสติๆ ไอ้จ้อย…เราต้องไปจากตรงนี้ อย่าไปยุ่งเรื่องของคนอื่น” น้าผันเองก็เสียงสั่น แกคว้าข้อมือผม ยังไม่ทันที่เราจะก้าวเดิน อยู่ๆ ผู้หญิงผู้ชายสองคนที่ถูกยิงก็ลุกขึ้นมาสะบัดแขนสะบัดขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เลือดท่วมตัวส่งกลิ่นคาวคลุ้ง เราสองคนมองด้วยความมึนงง ก็เขาสองคนถูกยิงตายไปแล้วนี่ หรือว่ายังไม่ตาย…ความคิดยังไปไม่ถึงไหน ชายที่ชื่ออ่อนที่เพิ่งถูกยิงไปสองนัดติดที่ล้มคว่ำ แกก็ค่อยลุกขึ้นเลือดท่วมตัว พร้อมกับชี้หญิงชายทั้งสองคน
“อีจัน…มึงจะกลับบ้านได้หรือยัง”
“ไม่กลับหรอกจ๊ะพี่….ฮิ ฮิ ฮิ….พี่ก็ยิงฉันอีกสิ ยิงสิ….ยิงสิพี่….”
บัดนี้ผมไม่คิดอะไรมาก น้าผันคว้าข้อมือผมแล้วร้องว่า “โดด….ไอ้จ้อยโดด เร็ว” ไวกว่าอะไรทั้งมวล น้าผันกระโดดลงข้างป่าหญ้าที่น้ำเฉอะแฉะด้านข้างศาลา ผมโดดตาม ล้มลุกคลุกคลานเปียกปอน ในหูได้ยินเสียงหัวเราะที่ประสานเสียงกัน มันเย็นเยือกเข้าไปในหัวใจ….
วิ่งครับ เราวิ่งเตลิดกันไปไม่รู้ทิศรู้ทาง ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่ายามตกใจกลัว ผมวิ่งได้เร็วล้ำหน้าน้าผันเชียว เราวิ่งมาไกลแค่ไหนไม่รู้ แต่น้าผันวิ่งไปเคาะประตูบ้านหลังหนึ่ง เขาเปิดออกมาพร้อมปืนผาหน้าไม้เต็มไปหมด แต่พอเห็นสภาพเราสองน้าหลานก็เลยถามเรื่องราวที่น้าผันกับผมแย่งกันเล่าให้ฟัง…
“โอ๊ย ศาลานั้นเหรอ เขาโดนกันมาเยอะแล้ว มันมาฆ่ากันตายสามคนผัวเมีย…แล้วก็เที่ยวหลอกใครที่ผ่านไปพักที่นั่น โดนกันทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครเขาแวะไปพักหรอก ทั้งเปลี่ยวคน ทั้งผีหลอก”
คนที่บ้านนั้นใจดีให้เราพักนอนได้ที่ชานบ้าน (ธรรมดาครับ เราเป็นคนแปลกหน้า) จนกว่าจะรุ่งเช้า เราสองคนไหว้ขอบคุณแล้วก็ลากลับ เขายังบอกทางให้ พอถึงบ้านผมไม่สบายไปสองสามวันเลย…นี่แหละเรื่องที่เจอผีสมัยเด็กๆ ของผม
*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เรื่องโดย. กฤตยา อยู่ประเสริฐ
ภาพโดย. Ai