ความขัดแย้งระหว่างชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์นั้นมีมานานมากแล้ว สาเหตุใหญ่ๆ ที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างคนสองกลุ่มนี้มาจากการแย่งชิงดินแดนที่อยู่อาศัย ซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างอ้างว่าดินแดนแห่งนี้เป็นของตนเอง โดยฝ่ายอิสราเอลบอกว่ามันคือดินแดนที่พระเจ้ามอบให้ ดังนั้น ไม่ว่าจะยังไงก็ต้องอยู่ตรงนี้ให้ได้ ในขณะที่ชาวปาเลสไตน์ก็อ้างว่ามันคือดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปีแล้ว
เมื่อต่างฝ่ายต่างอ้างความเป็นเจ้าของอย่างนี้ ความขัดแย้งก็เลยเกิดขึ้น “แล้วใครคือเจ้าของที่แท้จริง?” บางท่านอาจถามมาอย่างนี้ คำตอบคือไม่รู้!
ที่ต้องตอบว่าไม่รู้ ก็เนื่องจากเรื่องมันสลับซับซ้อนมาก ชาวยิวเคยมาอยู่ที่นี่นานแล้ว แต่ต่อมาต้องออกจากดินแดนแห่งนี้ไปเนื่องจากพ่ายแพ้ภัยสงคราม จนต้องกลายเป็นทาสอยู่นานกว่าจะได้รับอิสระ พอเป็นไทแก่ตัวเองแล้วพวกเขาก็กลับมา
แต่ปรากฏว่าบริเวณนี้กลายเป็นที่อยู่ของคนอื่นไปแล้ว จึงทำให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ชาวอิสราเอลก็บอกว่านี่เป็นบ้าน เขาจึงมีสิทธิ์อยู่ที่นี่ ส่วนชาวปาเลสไตน์ก็อ้างว่า ใครหนีไปแล้วก็ถือว่าหมดสิทธิ์ เพราะที่ดินสมัยโบราณนั้นไม่มีโฉนดแสดงการเป็นเจ้าของ และที่สำคัญคือชาวออตโตมัน (ซึ่งมีอำนาจสมัยนั้น) เป็นผู้มอบให้เอง เขาจึงควรเป็นเจ้าของอันถูกต้อง
เมื่อต่างก็มีเหตุผลจนไม่มีใครยอมใคร ก็เลยทำให้เกิดการแย่งชิงดังที่เล่าเอาไว้ในฉบับที่แล้ว (หากจำไม่ได้ก็ย้อนกลับไปอ่านฉบับก่อนหน้านี้ได้ครับ) สงครามเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ทุกครั้งฝ่ายปาเลสไตน์จะพ่ายแพ้และถูกแย่งดินแดนบางส่วนไป เลยยิ่งทำให้ชาวปาเลสไตน์โกรธแค้นยิ่งขึ้น มองหาโอกาสจะจัดการชาวอิสราเอลตลอดมา
จนกระทั่งวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมานี้ กองกำลังของปาเลสไตน์ก็ใช้วิธีจู่โจมแบบสายฟ้าแลบเข้ามาเข่นฆ่าและจับชาวอิสราเอลไปเป็นตัวประกัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,250 คน และถูกจับไปเป็นตัวประกันอีกจำนวนมากโดยไม่มีใครรู้จำนวนแน่นอน และในกลุ่มตัวประกันดังกล่าวนี้มีชาวต่างชาติปะปนอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก รวมถึงคนไทยที่ไปทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอลด้วย
ดูเหมือนคนไทยจะถูกจับและเสียชีวิตมากกว่าประเทศใด เนื่องจากจุดที่กองกำลังปาเลสไตน์บุกเข้ามานั้นเป็นบริเวณที่แรงงานไทยมาทำงานการเกษตรเป็นจำนวนมาก
คนไทยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งใดๆ แต่ก็ถูกฆ่า และถูกจับไปเป็นตัวประกันมาก จนป่านนี้ก็ยังไม่มีตัวเลขแน่นอนว่าถูกจับไปเท่าใด และเสียชีวิตไปกี่ศพแล้ว
จากความรุนแรงที่ไม่คาดฝันนี้ ทำให้ฝ่ายอิสราเอลโกรธมาก และรีบเอาคืนทันที โดยนายกรัฐมนตรีเนรันยาฮูกล่าวว่า พวกคุณต้องการสงครามใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นคุณก็จะได้สงครามตามปรารถนา
แล้วสงครามก็เกิดขึ้นจริงๆ โดยฝ่ายอิสราเอลมุ่งจะจัดการขบวนการฮามาสซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในปาเลสไตน์ จึงส่งกองกำลังทั้งทางบก ทางอากาศ และทางทะเลเข้าจัดการขั้นเด็ดขาด จนพวกกลุ่มฮามาสต้องหนีลงอุโมงค์ใต้ดินแบบหัวซุกหัวซุน
แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จึงใช้วิธีขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรที่เป็นอิสลามด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเลบานอน จอร์แดน อียิปต์ ฯลฯ ไปจนถึงลูกพี่ใหญ่คืออิหร่าน และได้รับการตอบสนองดีพอสมควร
โดยเฉพาะพวกกองกำลังรบที่ซ่อนอยู่ในประเทศต่างๆ ได้ออกมาขานรับอย่างกระตือรือร้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มฮีตู หรือฮัสบอนเลาะห์ จนทำให้ดินแดนตะวันออกกลางเริ่มเครียดขึ้นทุกขณะ ทำให้ลูกพี่ใหญ่อีกฝั่งหนึ่งคืออเมริกาเริ่มออกมาเคลื่อนไหว
ตอนแรกก็แค่ออกมาปรามว่าอย่าทะเลาะกัน แต่พอไม่มีใครฟัง อเมริกาก็เริ่มขนเรือประจำการและอาวุธหนักเดินทางเข้ามาในเขตของความขัดแย้ง และแสดงจุดยืนว่าอยู่ฝั่งอิสราเอลอย่างชัดเจน ตอนนี้จึงกลายเป็นว่าสงครามความขัดแย้งได้ขยายตัวออกเป็นสองฝ่ายใหญ่ๆ อย่างชัดเจน ก็อยู่ที่ว่าใครจะอยู่ฝ่ายไหน หรือว่าใครจะแสดงตัวเป็นกลาง แต่เท่าที่ดูแล้วหาคนเป็นกลางยาก แต่ละประเทศมักตัดสินใจไม่ถือหางฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง!
มีผู้วิเคราะห์ว่าสงครามครั้งนี้จะหาคนเป็นกลางยาก เนื่องจากมีองค์ประกอบหลายประการที่ทำให้แต่ละประเทศตัดสินใจเข้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยไม่ยอมเป็นกลาง องค์ประกอบดังกล่าวนี้มีอยู่หลายข้อคือ
1. เรื่องของศาสนา
ความเชื่อเรื่องศาสนา ทำให้คนบนโลกใบนี้แยกออกเป็นกลุ่มๆ ได้ง่ายมาก หลักๆ คือศาสนาคริสต์กับอิสลาม หากสองศาสนานี้ขัดแย้งกันเมื่อไหร่ โลกก็จะแบ่งออกเป็นสองขั้ว และรบกันอย่างเอาเป็นเอาตายทันที เหมือนสงครามครูเสดที่คริสต์กับอิสลามเคยห้ำหั่นกันมาแล้ว
สงครามครูเสดยืดเยื้อมานานเป็นพันปี โดยไม่มีใครได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด เลยทำให้สองศาสนานี้ฮึ่มฮั่มกันมาถึงปัจจุบัน ดังนั้น พอเกิดเรื่องขึ้นเมื่อใด ไม่ว่าจะมาจากสาเหตุใดก็ตาม ประเทศต่างๆ ก็จะแบ่งพวกตามศาสนาทันที ทำให้ตอนนี้ประเทศอิสลามก็จะเข้าฝ่ายปาเลสไตน์ ขณะชาวคริสต์เข้าฝ่ายอิสราเอล ดูอย่างประเทศมาเลเซียเพื่อนบ้านเรา ซึ่งไม่มีสาเหตุอะไรไปเกี่ยวข้องกับสงครามนี้เลย แต่ก็ประกาศท่าทีเข้าฝ่ายปาเลสไตน์
ศาสนาใครศาสนามันว่างั้นเถอะ
ถ้าถามว่าผิดไหม
คำตอบคือเรื่องนี้ไม่มีใครถูกใครผิด แต่ละประเทศสามารถตัดสินใจเองได้ เพียงแต่การตัดสินใจของประเทศต่างๆ อาจทำให้เกิดผลอันร้ายแรงตามมา นั่นคือสงครามล้างเผ่าพันธุ์จนสิ้นโลก
ถ้าดูข้อมูลผู้นับถือศาสนาต่างๆ บนโลกใบนี้จะพบว่ามีผู้นับถือคริสต์และอิสลามใกล้เคียงกันมาก คือมีผู้นับถือคริสต์ 2,383 ล้านคน หรือ 31.1% นับถืออิสลาม 1,907 ล้านคน หรือ 24.9% ไม่นับถือศาสนา 1,194 ล้านคนหรือ 15.6% นับถือฮินดู 1,161 ล้านคน หรือ 15.2% พุทธ 507 ล้านหรือ 6.6% ศาสนาท้องถิ่น 430 ล้าน หรือ 5.6% อื่นๆ 61 ล้านคนหรือ 0.8% และยิว 15 ล้านคน หรือ 0.2%
อิสราเอลนับถือศาสนายูดาห์ หรือยิว ซึ่งมีจำนวนแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ทำไมจึงอาจเป็นสาเหตุให้เกิดวันสิ้นโลกได้ ฉบับหน้าจะมาวิเคราะห์ต่อครับ