ลางบอกเหตุก่อนที่บุคคลนั้นจะสิ้นอายุขัย ส่วนใหญ่แล้วบุคคลนั้นจะมีคำพูดหรือการกระทำที่เป็นเค้าลางก่อนตาย อาทิ เพื่อนรุ่นพี่ของข้าพเจ้าคนหนึ่งที่เพิ่งเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุไป ซึ่งเธอมีชื่อเรียกเล่นๆ ว่าพี่เขียวมีอายุย่างเข้า 60 ปีโดยพี่เขียวมีอาชีพค้าขาย ขายอาหารสดนำใส่รถซาเล้งตระเวนชายแถบหมู่บ้านเอื้ออาทรที่ข้าพเจ้าอยู่อาศัย
จากการที่รู้จักกันมาหลายปีทำให้ทราบว่าพี่เขียวเธอมีสถานภาพโสด หากต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูมารดาที่ป่วยติดเตียงและหลานชายอีกคนที่สติไม่ค่อยจะดีนัก พูดจารู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เหล่านี้คือเหตุผลที่พี่เขียวกลายเป็นคนที่ต้องขับรถเร็ว และการขับขี่รถซาเล้งของเธอดูจะหวาดเสียวอยู่สักหน่อย บ่อยครั้งที่ฉันมักเตือนพี่เขียวว่าค่อยๆ ตีโค้งรถบ้างก็ได้ เหตุเพราะข้าวของในรถก็เยอะเกรงจะพลิกคว่ำเทกระจาดไปเสียก่อน ทว่าพี่เขียวตอบมาคำเดียว “สบายมาก”
ก่อนอธิบายว่าตัวเธอขับขี่รถคันนี้มา 10 กว่าปีแล้ว อีกรถก็ไม่เคยเกเรเธอ ซึ่งที่เธอต้องรีบๆ ขับรถไปขายตรงจุดนั้นจุดนี้ให้ตรงเวลาก็เพราะว่าก่อนเวลาเที่ยงจะต้องแวะกลับบ้านก่อนหนึ่งรอบ เพื่อไปดูความเรียบร้อยของบ้าน เช่น แม่กินข้าวหรือยัง? อีกหลานชายจะเสียบปลั๊กไฟอะไรคาไว้ไหม? ซึ่งพี่เขียวมักเปรยเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าหลานคนนี้แม้อายุ 32-33 ปีแล้ว แต่ความรับผิดชอบบางคราวก็ไม่มี ปล่อยให้ผู้เป็นยายอดข้าวเช้าก็บ่อยไป และไหนจะชอบเสียบปลั๊กโทรศัพท์คาไว้ บางทีเป็นวันๆ สายไฟก็เก่าจนสีของสายไฟเริ่มเปลี่ยนแล้ว…
พี่เขียวยอมรับว่าเธอทำมาหากินไปด้วยความลำบากใจ ในขณะเดียวกันทั้งของสดของแห้งของเธอได้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เนื่องจากเป็นคนเก่าแก่ในพื้นที่นั่นเอง
กระทั่งก่อนที่พี่เขียวจะเสียชีวิตล่วงหน้า 1 เดือน โดยช่วงนี้อยู่ระหว่างการระบาดของโรคโควิด-19 พี่เขียวตัดสินใจนอนเฝ้าบ้านอยู่กับแม่นานถึง 1 เดือนเต็ม ๆ ซึ่งแกพูดกับลูกค้าประจำทำนองว่า เหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว ขออยู่ใกล้ชิดดูแลแม่บ้าง มีโรคนี้เข้ามาก็ดีไปอย่าง ทำให้ได้อยู่ติดบ้านได้พักกันยาวๆ จากนั้นเธอได้บ่นว่าปลายปี 63 ที่จะถึงนี้เธอจะมีอายุครบ 60 ปีจะได้กินเงินผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาทแล้ว ทั้งนี้เธอยังพูดทิ้งท้ายอีกว่า
“ต้นเดือนพฤษภาเจอกันนะ จะกลับมาขายของอีกทีวันที่ 1 จ้า”
กระทั่งวันที่ 1 พฤษภาคม พี่เขียวมาบีบแตรรถเรียกลูกค้าตรงบริเวณสี่แยกที่ฉันอยู่อาศัยจริงๆ ก็ได้อุดหนุนซื้อของกันตามปกติ จากนั้นมีเพื่อนบ้านอีกคนที่เป็นลูกค้าประจำของพี่เขียวเช่นกัน จู่ๆ คนนี้ได้เอ่ยทักพี่เขียว
“หายไปไหนมาแม่ค้า เป็นเดือนๆ เลยนะ”
พี่เขียวตอบ “อยู่บ้าน ค้าขายไปก็เท่านั้น ดูแล้วตลอดเดือนเมษามันเงียบ”
“แหม อยู่บ้านทำไมหน้าตาหมองคล้ำดำปี๋เสียอย่างนั้น ฉันนึกว่าไปรับจ้างขุดมันมาซะให้อีก”
คนทักพูดไปหัวเราะไป แต่พี่เขียวดูสีหน้าเธอสลดลงก่อนเอ่ย
“เอ่อ…หากมีเวลาก็ว่าจะไปทำบุญสักหน่อย เพราะเมื่อเช้าแม่ฉันทักว่า เขียวเอ๊ย…ทำไมก่อนออกบ้าน สีหน้าสีตาดูคล้ำนัก แล้วจะไม่ให้หน้าคล้ำได้อย่างไร? คนต้องกินใช้อยู่ทุกวัน สามชีวิตนะคะที่ต้องดูแล กินทุนเก่าทุกวัน เฮ้อ!”
เธอถอนหายใจแรงๆ ก่อน เร่งการขายให้ลูกค้ารีบซื้อเพื่อไปขายที่จุดอื่นต่อ
จนถึงเช้าวันที่ 3 พฤษภาคมวันที่เธอเสียชีวิต วันนั้นช่วง 8.00 น. พี่เขียวได้มาบีบแตรเรียกลูกค้าที่บริเวณหน้าบ้านฉันตามปกติ
เมื่อฉันเลือกซื้อผักบุ้งของเธอแค่สองกำราคา 20 บาท พี่เขียวได้ร้องถาม
“วันนี้ซื้อน้อยจัง เผื่อพรุ่งนี้พี่เขียวไม่อยู่…ซื้ออย่างอื่นเผื่อไว้เลยสิ พริก หอม กระเทียม อะไรพวกเนี้ย”
ต่อมาฉันได้ถาม “พี่เขียวจะหนีไปเที่ยวไหนอีก”
แกตอบว่า “ยังไม่รู้เลย”
วันนั้นก็แปลก ที่จุดนั้นมีลูกค้าคือฉันคนเดียว คงเพราะเป็นวันหยุดคือวันอาทิตย์ด้วย คนมักนอนตื่นสาย
พี่เขียวขี่รถออกไปเงียบๆ ไม่ขับขี่หวาดเสียวเหมือนก่อน ฉันเดินเข้าบ้าน แกขี่รถออกไปตอนไหนยังไม่รู้เลย เพราะปกติจะมีคำพูดหยอกทิ้งท้ายให้ขำๆ อยู่เสมอ
กระทั่งเที่ยงตรงของวันเดียวกัน น้องข้างบ้านที่ทำงานโรงงานทั้งคู่ สามี-ภรรยาได้กลับมารับประทานอาหารกลางวันที่บ้านตามปกติ และทันทีที่น้องผู้หญิงเธอเห็นหน้าฉัน เธอร้องบอก
“ป้าเขียวถูกรถไฟชนตายเมื่อ 11 โมงนี่เองค่ะน้า ไม่รู้เมื่อเช้าได้มาแวะขายผักที่นี่รึเปล่า อุ้ย…พูดแล้วขนลุก หนูกับแฟนยังไปดูศพกันอยู่เลยค่ะ”
เท่านั้นล่ะ ใจฉันหล่นไปอยู่ที่ปลายเท้า พร้อมเล่าว่า ช่วงแปดโมงแกยังมานั่งขายผักบุ้งอยู่เลย ไปพลาดอีท่าไหนและเป็นรถไฟด้วยที่ชน ตอนนั้นใจของฉันยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่
“ที่เขาดูภาพจากกล้องวงจรปิด มันเป็นทางข้าม แต่แกขี่รถเลี้ยวหลบไม้กั้น พอปิดอีกทีก็ไม่ทันแล้ว รถไฟไปเกี่ยวเอาร่มรถซาเล้งเข้า แรงเหวี่ยงเลยพาทั้งคนทั้งรถไปไกลถึงสามสิบเมตร ตายคาที่ค่ะ คนไปทางรถไปทาง” น้องคนข้างบ้านบอก
ย้อนกลับมาถึงคำพูดที่พี่เขียวเธอบอกให้ฉันซื้อของเธอให้เยอะๆ เผื่อวันพรุ่งนี้พี่เขียวอาจไม่อยู่ เพียงแค่ 3 ชั่วโมงผ่านไป พี่เขียวได้จากโลกนี้ไปจริงๆ!
ทั้งนี้เมื่องานศพของพี่เขียวได้ตั้งสวดพระอภิธรรมขึ้นที่วัดใกล้บ้าน เรื่องเล่าทั้งหลายแหล่ได้ติดตามมา อาทิเช่น แม่ของพี่เขียววัย 80 ปี เล่าให้แขกเหรื่อผู้มาร่วมงานศพของบุตรสาวเล่าให้ฟังว่า ตลอดเดือนเมษายนที่ผ่านมาที่ตัวพี่เขียวหยุดอยู่บ้านตลอดทั้งเดือน เธอจะดูแลคอยปรนนิบัติพัดวีตัวคุณยายเป็นอย่างดี มีแผลกดทับตรงไหนเธอเฝ้าเพียรทำความสะอาด คอยล้างแผลทายาจนอาการของคุณยายดีขึ้น
“เหมือนเป็นลางว่าลูกสาวต้องจากฉันไป เพราะปกตินิสัยของลูกสาวเขาจะทำอะไรลวกๆ แบบขอไปที พูดง่ายๆเป็นคนหยาบๆ ค่ะ แต่ 20-30 วันที่ผ่านมาลูกสาวจะพูดจาดี คอยเอาใจใส่ถามตลอด แม่อยากกินอะไร อยากได้อะไร ฉันอยากกินทุเรียนโลละ 140 เขาก็ขี่รถไปหาซื้อให้กิน ไม่บ่นสักนิดว่าแพง จากปกติที่เขาเป็นคนตระหนี่อดออม จะซื้ออะไรแต่ละคราวเนี่ยต่อแล้วต่ออีก” คุณยายเล่าไปเช็ดน้ำตาป้อยๆ ไป
นี่ล่ะหนาดังคำโบราณบอก คนใกล้ตายอะไรที่ไม่เคยทำเขาก็มักจะทำ ส่วนเจ้าหลานชายที่สติไม่ดี อยู่ๆ ก่อนป้ามันจะโดนรถไฟชนมันเล่าให้ฉันฟังว่าคืนวันที่ 2 คืนวันเสาร์ มันเห็นว่ามีผู้ชายตัวสูงใหญ่ตัวดำมะเมี่ยม แต่ไม่เห็นหน้า มาเดินวนเวียนที่หน้าบ้าน ตอนแรกเขามองมาทางเตียงที่ฉันนอน แต่อยู่ๆ ทั้งแมวทั้งหมาที่ฉันเคยเลี้ยงเอาไว้ แต่ตอนนี้พวกมันตายไปหมดแล้วนะ หมาแมวร้องไห้กันระงมเหมือนขอชีวิตฉันไว้ จู่ๆ พวกมันก็โผล่ขึ้นมา แปลกไหมล่ะ?
และต่อมาผู้ชายคนนี้ก็แหงนหน้าขึ้นมองไปชั้นบน ก่อนจะพุ่งทั้งตัวขึ้นไป หลานเล่าให้ฟังก่อนที่ป้ามันจะตายนะคะว่าเห็นกับตา ส่วนฉันเองก็มองว่าลูกสาวดูหน้าหมองๆ เหมือนคนอมทุกข์ เมื่อถาม “เขียวเอ๊ย คิดมากเรื่องอะไรรึเปล่า?”
มันได้แต่ตอบว่า “ช่วงนี้ใจมันหวิวๆ เหมือนคนใจหายใจคอไม่สู้ดี ส่วนเนื้อตัวก็สะบัดร้อนสะบัดหนาว
ไอ้เราคนอาบน้ำร้อนมาก่อน อาการอย่างนี้คือคนกำลังมีเคราะห์ ถ้าเคราะห์ร้ายหน่อยมันคือ ลางตายดีๆ นี่เอง
ฉันได้แต่เตือนลูกผ่านวัดไหนให้แวะทำบุญวัดนั้นเสียเลย แต่ลูกยังย้อนฉันขำๆ จะให้แวะแป๊บเดียวหรือแวะนอนล่ะ! มันพูดเป็นลางอย่างนี้ตลอด แต่ดูว่าเขาจะไม่รู้ตัวเลยที่พูดออกไป
กับไอ้จ้อยหลานชายคนที่เคยเป็นไม้เบื่อไม้เมากับป้า เช้าวันที่เขาจะจากไปป้าเขาเรียกจ้อยมาคุยบอก “เช้านี้ไม่ต้องช่วยป้าจัดของจัดผัก ขอให้ดูแลยายดีๆ และหากจะซื้ออะไรให้ไปหยิบสตางค์ที่ใต้หมอนในตู้ เขามอบลูกกุญแจให้ไอ้จ้อยเสร็จสรรพ จากปกติที่ป้ามันเป็นคนซ่อนกุญแจตลอดนะคะ เพราะกลัวหลานขโมยเงิน ไอ้จ้อยมันถูกเพื่อนหลอกกินบ่อยๆ เพราะมันซื่อ ใครถาม ใครใช้อะไร ให้เอาอะไรมันทำหมด หากพูดกับเขาเพราะๆ แต่จู่ๆ ป้าเขียวของมันกลับให้กุญแจตู้ และที่ใต้หมอนฉันเคยแอบดู สตางค์ลูกสาวเก็บไว้เป็นหมื่นๆ พูดง่ายๆ เขาคงสั่งเสียไว้กลายๆ
ส่วนเจ้าจ้อยเขาก็บอกเล่า ตอนที่ป้ามันขี่รถออกไป เมื่อพ้นรั้วบ้านเรา หมาบ้านอื่นหอนกันให้เกรียวไปจนถึงปากซอย จากปกติที่หมาแต่ละบ้านนั้นคุ้นกับลูกสาวทุกตัวเพราะให้มันกิน สมัยก่อนที่ฉันยังไม่ล้มป่วย ฉันเลี้ยงแมว 10 กว่าตัวหมาอีก 5 ตัว พอฉันล้มเดินไม่ไหวก็เอาหมาแมวพวกนี้ทยอยไปให้ตามบ้านญาติ ก็อยู่แถบซอยนี้แหละ ซึ่งลองคนจะตายทุกอย่างมันอุตริไปหมด”
ทั้งนี้เมื่อคุณยายเล่า มีคนหนึ่งถามว่า ยายเชื่อเรื่องตัวตายตัวแทนไหม? เมื่อยายตอบ “เชื่อสิ” ซึ่งผู้ชายคนถามได้พูดคุยต่อ โดยพูดเท้าความถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นยังจุดตัดรถไฟบริเวณดังกล่าว ซึ่งเมื่อปีกลายราวเดือนสิงหาคมได้เกิดอุบัติเหตุจากรถไฟ และพนักงานขนส่งสินค้าได้ขับรถมาบวกประสานกัน ซึ่งน้องผู้ชายคนขับรถส่งสินค้าได้เสียชีวิตตายคาที่
และน้องผู้ชายคนนั้นคือลูกเขยของลุงคนพูดเล่านี่เอง ส่วนที่เขามาร่วมงานศพของพี่เขียวก็เพื่อมาทำบุญให้ศพ และอีกเหตุผลหลักนั้นคือ เมื่ออาทิตย์ก่อน ลูกสาวของเขาได้ฝันถึงสามีที่จากไป เขามาเข้าฝัน บอกว่าอีก 7 วันข้างหน้าเขาจะได้ไปเกิดใหม่แล้ว ทางนี้จะได้คนใหม่มาแทน เป็นคนที่ผ่านทางทุกวัน ถึงเวลาเขาแล้ว!
ซึ่งก่อนเดินทางกลับ ผู้ชายคนนี้ได้ฝากเงินใส่ซองเพื่อถวายพระให้คุณยาย 5,000 บาท โดยบอกว่า “ผมคงไม่ได้มาเผา ขอให้ทุกอย่างขาดกันไม่มีเวรต่อกัน” แล้วเขาได้เดินกลับไปโดยไม่เหลียวมองคนข้างหลัง เสมือนถือเคล็ด เป็นเคล็ดอะไรสักอย่าง ฉันคิดอย่างนั้น
ซึ่งเมื่อผู้ชายคนนี้ขึ้นรถกลับไป ฉันถามคุณแม่ของพี่เขียวว่าได้มีใครไปเชิญเรียกวิญญาณพี่เขียวกลับมาวัดหรือยัง
“ไปแล้วเมื่อเช้านี้ นิมนต์หลวงพี่เจ้าอาวาสไปเลย” คุณแม่บอก “แม่เตรียมข้าวของที่คนตายเขารักอย่างเครื่องประดับ สร้อย แหวนที่เขาใส่ติดตัว เสื้อผ้าชุดที่เขาชอบใส่ไปทำบุญ ส่วนที่ลืมไม่ได้ก็คือบัตรประชาชน ตัวแม่ไม่ได้ไปด้วย กลัวเดินได้ก้าวสองก้าวแล้วขาจะพับไปอีก”
จากนั้นคุณแม่ได้อธิบายว่า พี่เขียวมีอายุ 59 ย่างเข้า 60 ในเดือนตุลาคมที่จะถึง
“เขาพูดนักพูดหนาว่าเหนื่อยมาก อยากจะพัก หากได้กินเงินคนแก่หรือถูกหวยติดกันสัก 5-6 งวดชุดใหญ่ๆ ก็จะขอหยุดขายของ คือขายบ้าง ไม่ขายบ้าง หากมาวันนี้ ลูกสาวได้หยุดพักผ่อนยาวๆ เลย อนิจจังไม่เที่ยงหนอคนเรา”
สุดท้ายนี้ ขอดวงวิญญาณพี่เขียวได้ไปสู่สุคติ มีความสงบสุขอยู่ในโลกวิญญาณ อย่าได้มีสิ่งใดมารบกวนแผ้วพานเลย สาธุ สาธุ
เรื่องโดย. ลุงเฒ่า
ภาพโดย. www.wallpaperflare.com, www.nawpic.com, www.preuvesduparanormal.fr