คุณดวงพร สตรีวัย 55 ปี ได้เล่าย้อนถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่อุบัติขึ้นในกลุ่มเพื่อนรักของเธอทั้ง 3 คนที่รู้จักคบหาเป็นเพื่อนกิน เพื่อนนอน เพื่อนที่รู้ใจมายาวนานกว่า 40 ปี
อะไรสามารถทำให้คนบางคนเปลี่ยนไปจนกลายเป็นเพื่อนฆ่าเพื่อนด้วยคุณไสยมนตร์ดำ ลองมาฟังคุณดวงพรเล่ากันเถิดค่ะ
“ในกลุ่มเพื่อนที่อยู่ต่างจังหวัด เรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัยชั้น ป.5-ป.7 เท่าที่จำความได้ มีดิฉันชื่อดวงพร เพื่อนเรียกชื่อเล่นๆ ว่าดวง หรือ อีดวง” คุณดวงพรคุยไปด้วยรอยยิ้ม
“ส่วนเพื่อนคนต่อมาชื่อวาสนา ก็มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่านังวาส ซึ่งตัวของวาสนั้นเขาเป็นคนที่หน้าตาน่ารัก มีอารมณ์ดีอยู่เป็นนิจ และรักเพื่อน ซึ่งคุณพ่อของวาสนานั้นขับรถสองแถวในจังหวัด มีฐานะค่อนข้างดีค่ะ
และเพื่อนคนถัดมาคือทัศน์วรรณ หรือวรรณ โดยตัวของวรรณเนี่ย ฐานะของเพื่อนค่อนข้างยากจน หากวรรณนั้นเป็นเด็กที่เรียนดีเรียนเก่งมากๆ สอบได้ 95-96% ทุกเทอมค่ะ
สมัยก่อน ด้วยความยากจนของครอบครัวนะคะ เมื่อผลการสอบของวรรณนั้นออกมาคราวใด บรรดาคุณครูต้องรวบรวมเงินซื้อของขวัญให้กับวรรณทุกปีไป เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจของนักเรียนที่เรียนเก่ง และตัวของวรรณนี้ได้เป็นนักเรียนทุนของจังหวัดจนจบชั้น มศ.5
โดยยุคสมัยนั้น หากเรียนจบระดับนี้สามารถสอบเข้ารับราชการในหน่วยงานไหนก็ได้ แต่วรรณเลือกที่จะเรียนต่อให้จบมหาวิทยาลัย อย่างน้อยเพื่อลบคำสบประมาทจากคนทั่วไป ‘ถึงฉันจะเป็นแค่ลูกคนถีบสามล้อ แต่ฉันก็จะจบปริญญา เอาใบปริญญามาให้พ่อชื่นชมให้ได้’ เป็นคำพูดที่วรรณตอกย้ำตัวเองเสมอๆ ค่ะ และต้นเรื่องก็ได้มาจากเพื่อนคนนี้!”
คุณดวงพรหยุดนิ่งไปครู่ใหญ่
“คือตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งตัวดิฉัน วาส และวรรณนั้นได้ติดต่อสื่อสารหากันโดยตลอด เมื่อวรรณเรียนจบ เธอได้รับรับราชการในจังหวัดทางตอนล่างของภาคเหนือ
ในส่วนของวาสนาที่ดูโก๊ะๆ ฮาๆ กลับได้เป็นคุณนายวิศวกรต่างชาติ ซึ่งสามีของวาสนั้นเป็นคนอังกฤษค่ะ และช่วง 10-20 ปีที่วาสเดินทางเข้าๆ ออกๆ ระหว่างเมืองไทยกับกรุงลอนดอน ทั้งตัวดิฉันและตัวของวรรณนั้นได้รับอานิสงส์ข้าวของเครื่องใช้แบรนด์เนมก็เพราะยายวาสนานี่ล่ะค่ะ เขาวาสนาดีสมชื่อจริงๆ เพื่อนคนนี้”
ในส่วนของคุณดวงพรผู้เล่าท่านนี้ เธอรับราชการเป็นนางพยาบาลวิชาชีพค่ะ เธออยู่กับโลกแห่งความเป็นจริง อยู่กับแพทย์แผนปัจจุบันและวิวัฒนาการทางการแพทย์ ประเภทพวกไสยศาสตร์ มนตร์ดำอะไรเทือกนั้นไม่ต้องมาคุยกับเธอให้เสียแรงเปล่า
โดยลำดับเรื่องต่อมา คุณดวงพรเล่าว่า
“ต่อมาเมื่อถึงวัย อายุ 35-36 วรรณเขาถึงแต่งงานค่ะ ซึ่งคนยุคนั้นการสมรสอายุเลข 3 นำหน้าถือว่าแก่ ในส่วนสามีของวรรณนั้น เขาเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ค่ะ และตัวของวรรณได้เป็นบ้านที่สองของเขาอีกที ทว่าได้สมรสกันอย่างออกหน้าออกตานะคะ
เรื่องต่างๆ ค่อยๆ ทยอยเกิดขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2559 เป็นตัวของวาสนาค่ะที่ต้องสูญเสียสามีไปด้วยโรคมะเร็ง และในปี พ.ศ.เดียวกันนั้นเองที่ตัวของวรรณเธอได้สูญเสียสามีไปด้วยโรคมะเร็งเช่นกัน ซึ่งเพื่อนทั้งสองคนได้สูญเสียสามีด้วยโรคเดียวกัน ภายในช่วงเวลาที่ห่างกันไม่ถึงสองเดือน
ขณะเดียวกันเพื่อนคู่นี้ต่างมิได้มีบุตรกับสามีแม้แต่คนเดียว แล้วช่วงปี พ.ศ.2560 นี้ กลุ่มพวกเราต่างมีเวลามาพบปะสังสรรค์กันอย่างต่อเนื่องอีก เรียกว่าไปไหนไปกันอีกครั้ง
กระทั่งช่วงหนึ่งของปลายปี พ.ศ.2560 ตัววรรณได้มาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง เธอแอบชอบพอกับอดีตลูกน้องสามี ฝ่ายชายได้พูดคุยติดต่อทางโทรศัพท์ทุกวัน หากยัง ‘กั๊ก’ ในสถานภาพกันอยู่
คือตัวของวรรณนั้น สามีก็เพิ่งจากไปได้ปีเศษๆ ส่วนคนคนนั้นขอเรียกว่าคุณใหญ่ ภรรยาเขาก็ได้จากโลกนี้ไปเพียงไม่กี่ปี…ซึ่งดูเขายังรักและคิดถึงภรรยาอยู่มาก ที่พูดคุยกับวรรณก็เพื่อให้คลายจากความเศร้า ถือว่าหัวอกเดียวกัน! วรรณเขาย้ำให้ดิฉันทราบอย่างนี้อยู่เสมอๆ คิดว่าอย่างไรก็เพื่อนกันค่ะ…
จนถึงช่วงต้นปี พ.ศ.2561 อะไรจะเกิดย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ วันหนึ่งที่ดิฉันลงเวรจะกลับแฟลตที่พัก พบว่าวรรณและคุณใหญ่ได้มาดักรอดิฉันที่หน้าโรงพยาบาล มาแบบเซอร์ไพรส์เลยทีเดียว ซึ่งเย็นนั้นดิฉันได้รู้จักคุณใหญ่เป็นครั้งแรก ดูบุคลิกเขาเป็นคนที่อบอุ่นใจดีค่ะ แถมรูปร่างหน้าตาดีอีกต่างหาก สมาร์ต
เมื่อดิฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว อยู่ๆ ภายในรถ เป็นตัวคุณใหญ่ที่โพล่งคุยขึ้นว่าอยากไปรับประทานอาหารแถบชายทุ่ง มีทุ่งนาโล่งสุดลูกหูลูกตา รู้สึกเบื่อๆ กรุงเทพฯ เต็มทน
ในหัวฉันก็ฉุกคิดขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นต้องขับรถไปบ้านไอ้วาส ที่อำเภอบางปลาม้า สุพรรณฯ แถบนั้นร้านอาหารประเภทชมทุ่งเยอะมาก และจะได้รับวาสไปทานข้าวด้วยกันซะเลย
ซึ่งตัวของวาสนั้นเขาอยู่ตามลำพังสบายๆ มีกระท่อมรจนาอยู่หนึ่งหลัง เวลาว่างก็ขับรถตระเวนเขียนภาพ วาดรูปนี่ล่ะค่ะ
แม้ตอนนั้นดูว่าวรรณจะอิดออดอยู่สักหน่อยเพราะขี้เกียจนั่งรถ หากสักพักก็เอ่ยว่าดีเหมือนกัน เราจะได้แนะนำคุณใหญ่ให้รู้จักกับวาสเสียทีเดียว…เปิดตัวรวดเดียวกับเพื่อนเก่าสองคนไปเลย
และดิฉันไม่ได้ตาฝาดนะคะที่ดูแล้วสีหน้าคุณใหญ่ไม่สู้ดีนัก
กระทั่งถึงบ้านของวาสนา หรือที่พวกเราเรียกกันว่ากระท่อมรจนาจนติดปาก เนื่องจากความเป็นอยู่ของเพื่อนนั้นเรียบง่ายจริงๆ หนำซ้ำอะไรไม่ฮาเท่าคณะเราไปเจอไอ้วาสมันกำลังจับปลากับพวกชาวบ้านที่อยู่แถบนั้น เนื้อตัวเสื้อผ้าหน้าผมเต็มไปด้วยขี้โคลนค่ะ
หากเมื่อพ้นจากบ่อปลาได้ เพื่อนดีใจมากที่มีเพื่อนเก่ามาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย หากเวลานั้นคุณใหญ่เธอขอรับประทานอาหารที่กระท่อมของไอ้วาสนี่ล่ะค่ะ ซึ่งเขาบอกบรรยากาศได้เลย แค่เพื่อนโทรสั่งอาหารมาก็นั่งกันสบายๆ ได้แล้ว
ซึ่งบ่ายวันนั้นในสายตาของดิฉัน ไอ้วาสแต่งตัวธรรมดาๆ หน้าตาไม่ได้แต่งอะไร ผิดกันกับวรรณที่เสื้อผ้าหน้าผมเพื่อนเป๊ะ อีกทั้งเครื่องทองหย็องเต็มตัว แต่ภายหลังตัวของคุณใหญ่เขาเลือกที่จะหายออกไปจากชีวิตวรรณ และได้ไปโผล่ที่กระท่อมรจนาของไอ้วาส
เรื่องนี้ไอ้วาสได้โทรศัพท์มาปรึกษาดิฉันโดยตลอดว่าเพื่อนปฏิเสธคุณใหญ่ไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เขาก็ยังตื๊อขอกินข้าว และเข้าพักที่โรงแรมโฮมสเตย์ในละแวกนั้น เขาปฏิบัติตัวอย่างนี้มาเป็นปีนะคะ ไอ้วาสถึงใจอ่อนคบด้วย”
“อ้าว แล้วคุณวรรณเล่าคะ เธอจะคิดอย่างไรกันคราวนี้”
“เท่าที่ทราบ ความจริงคือคุณใหญ่เธอคงคุยด้วยประเภทบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น เพราะถึงอย่างไรตัวของวรรณก็เคยเป็นภรรยาของอดีตเจ้านายเก่า เมื่อเอาเข้าจริงๆ ถ้าเขาไม่เจอไอ้วาส หากเขาจะแต่งงานครั้งใหม่ ก็คงตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อยหากเลือกทางไอ้วรรณนะคะ และระหว่างนี้เองที่ไอ้วาสเกิดล้มป่วยประเภทปวดหัวตัวร้อน ป่วยกระเสาะกระแสะ เป็นทุกวัน”
เมื่อผู้เขียนถามถึงคุณใหญ่เวลานั้น เขามีอาการอะไรบ้างหรือเปล่า?
“นี่ล่ะค่ะที่ดิฉันอยากจะเล่า เพราะมันคือจุดเริ่มต้น…”
คุณดวงพรกะพริบตาถี่ๆ
“ดิฉันทราบภายหลัง ซึ่งเมื่อฝ่ายวรรณเขารู้ว่าคุณใหญ่และวาสนาตกลงปลงใจใช้ชีวิตกันเงียบๆ ตัววรรณเขาทำทีว่าปลงตก ทำใจได้ หากแต่วันหยุดไหนที่คุณใหญ่เธอกลับบ้านไอ้วาสที่สุพรรณฯ ทางวรรณก็จะโทรศัพท์ไปดักคุณใหญ่ถึงที่ทำงาน คือฝากของรับประทานไปให้สารพัดค่ะ ตั้งแต่ผลหมากรากไม้ไปจนถึงอาหารแกล้มเหล้าของคุณใหญ่
แต่แปลกตรงที่เมื่อคุณใหญ่กินของฝากกลับไม่เป็นอะไร แต่สำหรับไอ้วาส จะมีอาการปวดหัวปวดท้องอยู่อย่างนั้น ซึ่งตอนแรกไม่มีใครเลยที่เอะใจฉุกคิดเรื่อง ‘ยาสั่ง’ ค่ะ
หากเมื่อเพื่อนป่วยจนถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล และหมอยังหาสาเหตุไม่ได้ คุณใหญ่เลยต้องพึ่งพาทางพุทธคุณ หาน้ำมนต์มาให้ไอ้วาสทั้งอาบทั้งกิน แต่ทว่าอาการไอ้วาสมันทรงๆ ทรุดๆ สามวันดีสี่วันไข้อยู่อย่างนั้น
จนท้ายที่สุด พระที่คุณใหญ่นับถือ องค์ที่ขอน้ำมนต์มาให้ดื่ม ให้อาบ ต้องขอดูร่างดูตัวไอ้วาสว่าเป็นอย่างไร เนื้อใจ กายสังขารเป็นอย่างไร
และเป็นเรื่องที่แปลก เวลานั้นคุณใหญ่เขามองร่างกายหน้าตาของไอ้วาสว่าเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยตามประสาคนป่วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เพื่อนโทรมมากค่ะ โทรมเหมือนแทบกลายเป็นผี เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก โดยเฉพาะเบ้าตานั้นดำคล้ำมาก
เมื่อหลวงพ่อท่านเห็นร่างกายมนุษย์ผิดแผกจากผู้คนไปอย่างนี้ พระท่านรู้ได้ทันทีว่าโดนของ โดนเป็นยาสั่งมากับของกิน แต่ไม่รู้ว่าคนทำเขาสั่งว่าห้ามกินอะไร ถ้ากินแล้วจะตาย
แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้ยังมีลมหายใจผ่านเข้า-ออก คงพอช่วยเหลือทัดทานไว้ได้ พระท่านว่าอย่างนี้
งานนี้ คุณใหญ่ต้องพาร่างของวาสนามาทำพิธีถอนยาสั่ง ถอนคุณไสยที่หน้าโบสถ์ และโบสถ์นี้ต้องเป็นวัดที่ฝังอัฐิพ่อแม่ของวาสนาด้วย เพื่อวิญญาณของบรรพบุรุษบุพการีจะได้ช่วยเหลือลูกหลาน ช่วยปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีออกไป
โดยร่างกายเนื้อของวาสนาในเวลานั้น เมื่อใครไปเยี่ยมต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน…เผาวันนี้พรุ่งนี้ก็ยังได้!
แต่ประการสำคัญที่คนต่างตั้งคำถาม ใครเป็นคนทำ และคนที่ทำวาสนานั้นคงโกรธแค้นตัวเธอไม่ใช่น้อย แต่ว่าทั้งหลายทั้งปวง ยังโชคดีที่วาสนายังมีบุญเก่ามาค้ำจุนไว้ เมื่อสวดบทพระปริตรคราวใด อาการป่วยจะดีขึ้นทันตา
แต่ก็นั่นล่ะนะคะ เมื่อเว้นจากคำสวดเมื่อไร เพื่อนจะอาเจียนออกมาเรื่อยๆ ค่ะ เป็นน้ำสีดำๆ ส่งกลิ่นเหม็นเหมือนมีของเน่าของบูดอยู่ในตัว ซึ่งพระท่านกล่าวว่าได้เข้าเลือดเป็นบางส่วนแล้ว แต่จะแก้ไขได้เพราะเจ้าตัวคนป่วยต้องปฏิบัติเอง”
เมื่อผู้เขียนได้ถามถึงชีวิตในทุกวันนี้ของคุณวาสนา
“เพื่อนดิฉันคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ” คุณดวงพรบอก “แต่ในทุกๆ ปี เพื่อนต้องปวารณาตัวบวชให้เจ้ากรรมนายเวรทุกๆ ปีพรรษา ส่วนที่เหลือหากเลยไตรมาสสามเดือนแล้วถึงจะเป็นกุศลของตัวเองค่ะ”
ประการสุดท้าย เมื่อถามถึงคนทำคือใคร?
“คงไม่ต้องพูดถึงให้มากความกระมังคะ เพราะมีกันอยู่แค่นี้”
คุณดวงพรบอก
“หากจะว่าไป ขณะนี้ชีวิตของ ‘คนทำ’ นั้นใช่ว่าจะมีความสุขนัก เพราะถึงได้ขึ้นชื่อว่ามีเงิน แต่ก็ถูกเบียดเบียนด้วยโรคภัยไข้เจ็บ…ไปหาหมอแต่ละคราวต้องมีเงินไม่ต่ำกว่า 2-3 แสนนะคะ
แต่ถึงอย่างไรเพื่อนก็ยังคือเพื่อน ที่ดิฉันเล่าถ่ายทอดให้คุณฟังเพียงอยากให้เข้าใจ จากที่ตัวเองไม่เคยเชื่อว่าเรื่องพวกนี้ยังคงมีอยู่ แต่ปัจจุบันมันยังมีอยู่จริง ได้ผลจริง แต่ถึงอย่างไร แม้ผลลัพธ์ต่างๆ จะออกมาเก่งเลิศเลอสักเพียงไหน หากไม่สามารถหนีกฎแห่งกรรมไปได้เลย
ซึ่งคุณเชื่อไหมว่า ในวันนี้โรคภัยไข้เจ็บที่มารุมเร้าตัววรรณ มันไม่ต่างกับวันที่วรรณได้ทำของ สั่งเป็นสั่งตายกับเพื่อนเก่าอย่างวาสนาเลย…อย่างน้อย หน้าตาเสมือน…ขอโทษนะคะ เหมือนดั่ง ‘ผีตายซาก’ ไม่ผิดกันค่ะ
มาในวันนี้ อาการป่วยของไอ้วาสดีวันดีคืน หากอาการป่วยของตัววรรณกลับทรุดลงตามลำดับ
วรรณได้เล่าสารภาพบาปให้ฟังเมื่อไม่นานนี้ ช่วงนอนโรงพยาบาลครั้งล่าสุด คือ ใช่ ฉันขอให้หมอผีที่อุตรดิตถ์ทำยาสั่งให้ไอ้วาสกินเอง ฉันรักคุณใหญ่ของฉัน แม้เป็นเพื่อนก็เพื่อนเถิด…หากเป็น ‘มารหัวใจ’ ฉันจะไม่ไว้ใครทั้งนั้น”
“เป็นอันว่าหมดคำพูด คำอธิบายนะคะ”
คุณดวงพรกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า
*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เรื่องโดย. ประทุมทิพย์
ภาพโดย. actspwc.org, Reimund Bertrams and Pete Linforth from Pixabay, www.indoindians.com, news.cgtn.com, journal.ahima.org