เรื่องราวแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยมัธยมต้นนั้นมีหลายเรื่อง เท่าที่ผมพอจะรื้อฟื้นระลึกถึงได้ ที่น่าสนใจก็เห็นจะมีเรื่องนี้ ถึงจะผ่านมานานแล้ว แต่ผมก็ยังจำได้ดีถึงเรื่องราวความสนุกสนาน และความสยองสมัยยังเป็นนักเรียนมัธยมต้นได้…
โรงเรียนมัธยมต้นสมัยที่ผมยังเรียนอยู่นั้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายเหมือนทุกวันนี้ สภาพแวดล้อมก็ด้วย ทางด่วนคร่อมคลองประปาก็ยังไม่มี ถนนตัดใหม่ข้างๆ โรงเรียนก็ยังไม่มา สมัยนั้นจะว่าไปแล้ว โรงเรียนของผมแทบจะเรียกว่าอยู่ชนบทได้เลย เพราะด้านหน้าก็เป็นคลองประปาที่ยังไม่มีอะไรใหม่ๆ ไม่มีทางด่วน ไม่มีทางโทลล์เวย์เหมือนเดี๋ยวนี้ อะไรๆ ก็ยังดูไม่ทันสมัยมากนัก ยิ่งหลังโรงเรียนยิ่งไปกันใหญ่ เพราะเป็นทางรถไฟ แถมสถานีสามเสนก็อยู่ไม่ไกลนัก สมัยนั้นถนนและเส้นทางตัดใหม่ยังไม่มีเลยสักสายเดียว
แต่ผมก็จำได้ว่าสมัยนั้นมันก็มีความสุขปนเปกับความทุกข์อยู่นิดๆ เรื่องของเรื่องก็คือมันจะทุกข์เวลาหน้าฝนที่ต้องลำบากลำบนเดินตากฝนไปโรงเรียนบ้าง หรือเดินกลับบ้านบ้าง แต่ถึงกระนั้นในหน้าหนาว อากาศละแวกทางรถไฟก็ดี เราจะเห็นหมอกขาวๆ ลอยอยู่ทั่วๆ ไป บึงบัวและลำคลองข้างทางรถไฟก็เต็มไปด้วยผักบุ้งที่ออกดอกสีม่วง ยิ่งเวลาหน้าหนาว หมอกขาวๆ จะลอยตัวอยู่เรี่ยๆ น้ำ สวยงามเป็นยิ่งนัก…ซึ่งสิ่งเหล่านั้นจะเป็นสิ่งที่ผมเห็นทุกเช้าตลอดเวลาหกปีที่เรียนอยู่ที่นี่
และก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ที่มาเรียนเช้าๆ อย่างพวกผมต้องเจอ และต้องมีปากมีเสียงอยู่บ่อยๆ สิ่งนั้นก็คือ ภารโรง ซึ่งภารโรงที่นี่ก็มีอยู่หลายคนที่เราสนิทกัน และอีกหลายคนที่เราไม่ค่อยถูกชะตากับพวกเค้านัก…แต่สำหรับเด็กใหม่ๆ อย่างพวกเราแล้ว มันก็มีบ้างที่เราไม่ใคร่ชอบหน้าภารโรงหลายๆ คน ไม่เหมือนพวกรุ่นพี่ที่อยู่มานานจนคุ้นเคยและสนิทชิดเชื้อกับภารโรงเหล่านั้นเป็นอย่างดี ผมจำได้ว่าในบรรดานี้ มีภารโรงอยู่หลายคนที่เราเป็นไม้เบื่อไม้เมาด้วย
ที่เราไม่ชอบก็เพราะบางคนก็ชอบมาเจ้ากี้เจ้าการ สั่งนู่นสั่งนี่ เช่นสั่งให้ทำความสะอาดบ้าง สั่งให้เก็บขยะบ้าง ทั้งๆ ที่หน้าที่เหล่านั้นเป็นหน้าที่ของพวกภารโรงเองแท้ๆ ดังนั้นพวกเราก็เลยไม่ใคร่ชอบพวกนี้ บางทีพวกเราหมั่นไส้เลยแกล้งเอาก็มี…
อย่างคนหนึ่ง เจ้ากี้เจ้าการมาก มาถึงก็มาสั่งๆ เราให้ทำความสะอาด ทำนู่นทำนี่ อย่างเวลาทำเวรตอนเย็น บางทีตัวเองกวาดๆ ทำความสะอาดอยู่ก็มีมาบ่นๆ ด่าเราไปด้วย ไม่ด่าก็มีกระทบกระเทียบเปรียบเปรยบ้าง อย่าง…นักเรียนห้องนี้อยู่กันเข้าไปได้ยังไง ห้องสกปรกรกยังกะรังหมา…ลองได้มีภารโรงมาพูดแบบนี้ เป็นเด็กที่ไหนก็ต้องมีเคืองกันบ้าง
แน่นอนสำหรับพวกเพื่อนๆ ในห้องผมนี่ไม่ได้เลย ถ้ามีภารโรงปากบอนแบบนี้ก็เห็นทีจะต้องมีการสั่งสอนกันบ้างแล้ว ดังนั้นพวกเพื่อนๆ ของผมก็เลยแกล้งเอาขยะมาเทจนรกห้องไปหมด…บางคนก็เอาฝุ่นชอล์กในรางกระดานดำมาแกล้งโรยเสียทั่วพื้น แต่ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือแกล้งเอาโต๊ะ เก้าอี้ ออกไปแอบซ่อนไว้ที่ห้องอื่น หรือไม่ก็แกล้งเอาเก้าอี้มาสุมๆ กันจนเป็นกองพะเนินอยู่กลางห้อง ทำให้ลำบากแก่การจัดเก็บอย่างยิ่ง
พอภารโรงพวกนี้มาเจออะไรแบบนี้เข้าก็โกรธมาก ขู่ว่าจะฟ้องอาจารย์ฝ่ายปกครอง แต่พวกเราก็ไม่กลัว ท้าให้ไปฟ้องเลย เพราะถ้าขืนพวกภารโรงฟ้องเราก็ฟ้องบ้างว่า ก็เค้าอยากมาด่าเราก่อนทำไม หลายครั้งที่เราเองก็โดนคาดโทษ และพวกภารโรงก็โดนตำหนิ…ผมเชื่อว่าพวกเค้าก็คงเคืองหรือโกรธพวกเราแน่ๆ ล่ะ บางครั้งเค้าก็เลยพยายามแกล้งพวกเราทุกวิถีทาง แกล้งเรื่องนั้นไม่ได้ก็มาแกล้งเรื่องนี้…ทำให้ความไม่ลงรอยระหว่างพวกเราและพวกเค้ายิ่งหนักข้อมากยิ่งขึ้นทุกวัน
แต่แล้วในวันหนึ่ง เรื่องราวตรงนี้ก็ถึงวันแตกหักจนได้ ที่จริงมันน่าจะแตกหักมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ต่างฝ่ายต่างก็ทน และดูทีท่ากันไปมา…แต่วันนั้นมันคงจะสุดๆ จริงๆ
วันนั้นเรามีงานกีฬาสี ปรากฏว่าพวกเราเอาข้าวขึ้นมากินบนอัฒจันทร์แล้วเราลืมเก็บเพราะต้องรีบไปร้องเพลงเชียร์ต่อ…แต่พวกเราก็กะว่าเสร็จจากร้องเพลงเชียร์แล้วจะเอาจานไปคืนที่โรงอาหารเอง แต่ทว่ากว่าจะเสร็จงานในวันนั้นก็ปาเข้าไปเย็นมากโขอยู่ ดังนั้นเราก็เลยพากันลืมเรื่องจานข้าวที่วางทิ้งเอาไว้ไปเสียสนิท…จนเวลาล่วงมาจนเลิกงานแล้วนั่นแหละ เราก็ยังไม่ได้เอาจานข้าวไปคืนที่โรงอาหารเลย
ภารโรงพวกนี้รู้เข้าก็โกรธเราเป็นการใหญ่…มาถึงก็มาด่าว่าเราต่างๆ นานา หาว่าเราโตแล้วทำอะไรไม่รับผิดชอบ เพื่อนผมคนหนึ่งค่อนข้างเลือดร้อน หมอนี่ชื่อสมเกียรติ ก็เถียงออกไป…สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องทะเลาะกันยกใหญ่ ร่ำๆ จะวางมวยกันเลยทีเดียว ผมจำได้ว่าภารโรงหนึ่งในนั้นชื่อตาสุด แกถึงกับกล่าวอาฆาตพวกเราไว้ ท่าทางแกจะโกรธแค้นพวกเรามาก แต่แกก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้…เพราะอย่างน้อยในเวลานั้น พวกเราก็มีพวกมากกว่า หลังจากวันนั้นแล้วเราก็ไม่ได้ไปสนใจอะไรกับภารโรงพวกนี้ แต่เราหารู้ไม่ว่า ระหว่างนั้นได้มีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น..และเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็มาเกี่ยวพันกับพวกเราอย่างช่วยไม่ได้
วันนั้นเป็นช่วงเช้าวันหนึ่งในช่วงกลางสัปดาห์ที่อากาศหนาวอย่างเหลือรับประทาน…อาจจะเป็นเพราะว่ามันยังอยู่ในช่วงฤดูหนาว หรืออาจจะเป็นเพราะคราวนั้นเราจะซวยด้วยก็ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าช่วงนั้นพวกเราออกมาจากบ้านกันเร็วเหลือเกิน ครั้นมาถึงเราก็มานั่งจับกลุ่มคุยกัน การมานั่งคุยกันยามเช้าในเวลาที่สนามหญ้ามีแต่หมอกหนาอยู่รอบๆ ตัวเรา จะว่าไปมันก็เป็นเรื่องที่สนุกมากเลย…
ชั่วขณะหนึ่ง ขณะที่เรานั่งเล่นอยู่กลางสนามหญ้าที่รอบตัวเต็มไปด้วยหมอกหนานั้น เราพากันเงยหน้ามองขึ้นไปบนอาคารเรียนห้าชั้น และชี้ชวนกันดูโน่นดูนี่ เพราะเวลานี้หมอกหนาอยู่รอบตัวเราไปหมด…ฉับพลันเราก็เห็นอาคารเรียนชั้นห้าห้องหนึ่งมีใครบางคนยืนอยู่หน้าห้อง เราจำได้ว่าท่ามกลางหมอกที่หนานั้น เรามองฝ่าหมอกไปยังห้องบนตึก กลับเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้อง…
“…เฮ้ย ดูนั่นสิ ใครวะ?” ประวิทย์เพื่อนคนหนึ่งที่เห็นเป็นคนแรกถามพวกเราขึ้นมาเบาๆ
“ไหนๆ วะไอ้วิทย์?” คราวนี้ทุกคนเริ่มสงสัยบ้างแล้ว เพราะเวลานี้บนอาคารแทบจะไม่มีใครอยู่เลย เพราะอาจารย์ไม่ให้ทุกคนขึ้นไปหลบอยู่บนห้อง…อาจารย์ท่านกลัวว่าจะมีคนขโมยข้าวของ ท่านก็เลยให้ทุกคนที่นำกระเป๋าเรียนขึ้นไปเก็บแล้วให้ลงมาอยู่ข้างล่างกันหมด จะว่าไปมันก็เป็นการดี แต่ในกรณีนี้ไม่ดีแน่ๆ
แต่ทว่าตอนนี้พวกเราเห็นใครบางคนกำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้อง…ท่าทางการเดินของเขาก็ดูแปลกๆ เอาการ มันไม่ใช่ท่าเดินที่ธรรมดา มันดูชอบกลเหลือเกิน แต่แล้วฉับพลันเค้าก็มีอาการแปลกๆ เพราะคราวนี้เค้าไม่แค่เดินเฉยๆ แล้ว เค้าเริ่มทำท่าทางที่ชอบกล เริ่มปีนป่ายไปมาที่ริมราวลูกกรงระเบียง ท่าทางที่แปลกประหลาดอย่างนั้นมันไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
ทีแรกเค้าก็ปีนเข้าปีนออก สักพักเดียวเท่านั้น เค้าก็ปีนออกมายืนอยู่ที่ขอบระเบียง เอามือเกาะราวลูกกรงเอาไว้แล้วทำอะไรที่น่าหวาดเสียวอีกหลายอย่าง เราพยายามมองดูกันว่าเค้าเป็นใคร แต่แล้วชั่วขณะหนึ่งที่หมอกบางๆ เริ่มจางลงชั่วขณะ เราก็เห็นว่าผู้ชายคนนั้นคือตาสุด ภารโรงตัวดีนั่นเอง…
“เฮ้ย ตาสุดมันจะทำอะไรวะ มันเล่นปีนออกมาที่นอกระเบียงทำไม?” ใครไม่รู้ในกลุ่มพวกเราพูดขึ้นเสียงดัง
“มันจะมาขโมยของมั้ง…” หลายคนว่าเช่นนั้น เพราะด้วยท่าทีที่ไม่น่าไว้ใจมันชวนให้คิดอย่างนั้น แต่แล้วเราก็รู้ทันทีว่าแกไม่ได้มาขโมยของหรอก แกจะมาฆ่าตัวตายต่างหาก เพราะหลังจากที่แกมายืนที่ริมระเบียงแล้ว จู่ๆ แกก็ออกมายืนที่ขอบระเบียง…พอได้จังหวะ แกก็ปล่อยมือทิ้งตัวลงมาทันที เราทุกคนตกใจลุกขึ้นยืนพรวดพราด เพราะเราเห็นร่างแกลอยลิ่วลงมาจากชั้นห้า ลองได้ร่วงลงมาจากชั้นห้าแล้วล่ะก็ ลงมาถึงพื้นก็ไม่มีเหลือแน่นอน
เราตกใจรีบวิ่งไปบอกอาจารย์ถึงสิ่งที่เราเห็น แล้วเราทุกคนก็เห็นว่าอาจารย์ท่านหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที ท่านถามเราย้ำๆ อีกครั้งว่าเราเห็นใครนะ “ก็ตาสุด ภารโรงไงล่ะครับอาจารย์ อยู่ดีๆ แกก็ร่วงลงมาจากอาคารชั้นห้านั่นแหละครับ” เราทุกคนรีบละล่ำละลักบอกอาจารย์ แกเห็นเราตกใจมากก็ปลอบให้เราใจเย็นๆ อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป
แต่สิ่งที่แกบอกพวกเรามาทีหลังกลับทำให้เราตกใจยิ่งกว่าเดิมเสียอีก เพราะแกบอกว่าตาสุดนั้นแกตายไปตั้งหลายวันแล้ว แกตายเพราะขึ้นไปเช็ดกระจกที่อาคารสูงแล้วพลัดตกลงมาตาย นี่ทางโรงเรียนก็ต้องปิดเรื่องให้เงียบเพราะกลัวว่าเด็กๆ ทุกคนจะกลัว…ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ที่เราเห็นแกเมื่อสักครู่นี้ก็คือตาสุดแกแสดงอภินิหารหลอกพวกเรานั่นเอง คิดมาถึงตรงนี้ทุกคนก็กลัวกันหัวหด ผมนั้นหนาวสั่นไปทั้งวันเลยทีเดียว เราทุกคนแย่ไปตามๆ กัน…
แล้วจากนั้นมาเราก็ไม่อยากจะไปวอแวกับพวกภารโรงอีก เพราะกลัวว่าสุดท้ายแล้วประวัติศาสตร์มันจะซ้ำรอย เหมือนที่ตาสุดมันมาหลอกเราเอาอีกน่ะสิครับ
*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น
/
เรื่องโดย. จุติ
ภาพโดย. ensia.com, www.flickr.com, weburbanist.com, www.thesun.ie