เมื่อครั้งที่รถ บขส.ยังไม่มีรถโดยสารหรือรถเมล์ของเอกชนที่ได้รับสัมปทานจากทางการ ถ้าวิ่งระหว่างจังหวัดกับจังหวัดก็จะเป็นสีส้ม ส่วนถ้าเป็นจังหวัดกับอำเภอจะเป็นสีอื่น ถ้าระหว่างอำเภอกับอำเภอก็จะเป็นรถสองแถว รถโดยสารที่วิ่งระหว่างจังหวัดกับจังหวัดทางภาคอีสานแถบบ้านผมจะตั้งชื่อไพเราะทั้งนั้น เช่น สายัณห์ จุฑาทิพย์ เป็นต้น
ห้าโมงเย็นของวันนั้น รถโดยสารจุฑาทิพย์ที่วิ่งระหว่างอุบลฯ-ร้อยเอ็ด, ร้อยเอ็ด-อุบลฯ ได้วิ่งจากร้อยเอ็ดจะไปอุบลฯ เมื่อวิ่งมาถึงอำเภอที่ผมอยู่ จากตลาดตัวอำเภอเลยมาประมาณ 1 กิโลเมตร ผ่านดอนปู่ตาของอำเภอ บริเวณนั้นจะเป็นทุ่งนา ตอนที่รถวิ่งผ่านดอนปู่ตาไม่กี่สิบเมตร เงินในกระเป๋าเสื้อของผู้โดยสารคนหนึ่งซึ่งนั่งมาบนหลังคารถได้หล่นปลิวลงไป เป็นธนบัตรใบละ 10 บาท 3 ใบซ้อนกันอยู่ หล่นปลิวลงไปข้างล่าง
จะด้วยความเสียดายเงินหรือเหตุผลใดไม่มีใครทราบได้ ชายหนุ่มคนนั้นได้กระโดดลงจากหลังคารถ ทั้งๆ ที่รถกำลังวิ่ง หัวของเขากระแทกกับพื้นถนนซึ่งเป็นลูกรัง ไม่ทราบว่าลงไปท่าไหน ใบหน้าและส่วนหัวหายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนคนขับรถจุฑาทิพย์กว่าจะรู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็เลยไป 150 เมตร รถจึงได้จอดแล้วผู้โดยสารทั้งหมดก็ลงไปดูศพ
บรรดาไทยมุงก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ผมกับเพื่อนอีก 2 คนออกมาที่ทุ่งนา เตรียมจะต้อนควายกลับบ้าน ตอนนั้นอายุ 15 ปี อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุแค่ 200 เมตร เมื่อเห็นคนมากันเยอะจึงชวนกันวิ่งไปดู เมื่อผมกับเพื่อนมาถึง ไทยมุงยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะในครั้งนั้นเรื่องอุบัติเหตุตายโหงไม่มีให้เห็นได้ง่ายๆ ตอนนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาที่ศพซึ่งนอนตะแคงอยู่ แล้วพลิกศพมานอนหงาย ก้มตัวลงไปเขย่าศพพร้อมกับเรียกชื่อ
“คำมูล คำมูล คำมูล” แต่ก็อย่างว่า ศพหน้าและหัวหายไปครึ่งหนึ่งจะรอดได้อย่างไร ชายหนุ่มคนนั้นได้พูดว่า “นายคำมูลเป็นเพื่อนของผม อายุ 25 ปี คืออยู่ในวัยเบญจเพส ได้เดินทางจากร้อยเอ็ดจะไปอุบลฯ และได้นั่งบนหลังคารถมาด้วยกัน”
“อ้าว…ทำไมต้องไปนั่งบนหลังคารถ แล้วทำไมไม่นั่งที่นั่งผู้โดยสารในตัวรถ” ไทยมุงคนหนึ่งพูดขึ้น
“จริงๆ แล้วผมกับผู้โดยสารที่นั่งบนหลังคารถมาด้วยกันก็อยากนั่งที่นั่งผู้โดยสารเช่นกัน แต่มันเต็ม จึงต้องขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ เพราะหากจะนั่งชั้นล่างต้องรอรถเที่ยวต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมง และส่วนมากพวกที่นั่งบนหลังคารถก็หนุ่มๆ และวัยฉกรรจ์ทั้งนั้น” เพื่อนนายคำมูลว่า
ส่วนเงิน 30 บาทของนายคำมูล ซึ่งเป็นชนวนเหตุให้นายคำมูลถึงแก่ความตายยังอยู่ที่พื้นผิวถนน เป็นธนบัตรฉบับละ 10 บาท 3 ใบซ้อนกันอยู่ รุ่นที่เป็นสีแดงอมชมพูในสมัย ร.9 ธนบัตรสวยงามมาก ศพนายคำมูลอยู่เลยธนบัตรไปประมาณ 20 เมตร ไทยมุงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ บางคนดูศพแล้วก็เดินไปดูธนบัตร บรรดาไทยมุงก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา แล้วก็มีเสียงผู้หญิงพูดขึ้นว่า “ตายโหงแบบนี้ ผีตายโหงเฮี้ยนแน่เลย” ทำให้ไทยมุงที่ดูศพอยู่มองหน้ากันไปมองหน้ากันมา แล้วก็มีเสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้น “ก็เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่ามันจะต้องเฮี้ยน แล้วพูดทำไม กลัวจะไม่เฮี้ยนหรือไง”
เมื่อทางตำรวจท้องที่ทราบเรื่องก็ได้มาชันสูตรพลิกศพตามธรรมเนียม ในครั้งนั้นที่เรียกหน่วยกู้ภัยจิตอาสา มูลนิธิเกี่ยวกับการเก็บศพ ร้านขายโลงศพยังไม่มี ส่วนศพของนายคำมูลทางญาติจะนำไปฝังป่าช้าท้องถิ่น หรือนำกลับไปจังหวัดอุบลฯ ผมไม่ได้ติดตามข่าว นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บริเวณที่นายคำมูลนอนตายและเงิน 30 บาทตกอยู่ พอตกกลางคืนก็ได้เกิดเหตุการณ์สยองขึ้น
คนขับรถยนต์ผ่านตอนกลางคืน ซึ่งในครั้งนั้นรถรามีไม่มาก นานๆ ถึงจะมีรถผ่านสักคัน แสงไฟจากหน้ารถส่องไปจะเห็นคนก้มๆ เงยๆ เหมือนกำลังหาของอะไรบางอย่าง พอรถเข้าไปใกล้จะหายไป คนขับรถผ่านบริเวณนั้นตอนกลางคืนเจอกันบ่อยมาก บางรายเจอผู้ชายยืนโบกรถแบบจะขออาศัยไปด้วย แต่พอเข้าไปใกล้ก็หายไป บางทีจะเห็นเป็นสัตว์ใหญ่ เช่นวัว ควาย เดินข้ามถนนตัดหน้ารถ
ยังมีขาจรรายหนึ่ง คงไม่ทราบว่าบริเวณนี้ตั้งแต่มีคนกระโดดรถตาย ผีตายโหงเฮี้ยนขนาดไหน ได้ขี่จักรยานผ่านบริเวณนั้นตอนกลางคืน เป็นคืนเดือนหงายขึ้น 15 ค่ำ แสงจันทร์สว่างนวล มองเห็นทางอย่างสบาย ยังไม่ดึกมากแค่ 4-5 ทุ่ม ขณะขี่จักรยานเพลินๆ รู้สึกท้ายรถมันหนักผิดปกติ ถีบรถไม่ค่อยออก จึงหันหน้ากลับไปมองที่ตะแกรงท้ายรถ เจอบุคคลที่ไม่ได้รับเชิญนั่งท้าย ใบหน้ามีแค่ครึ่งเดียว ถึงกับช็อกสลบไปเลย พอดีมีคนขับรถผ่านมาเห็นจักรยานล้มอยู่ และเห็นเจ้าของจักรยานนอนสลบอยู่จึงช่วยปฐมพยาบาลจนฟื้นแล้วถามว่า “ทำไมมาขี่จักรยานคนเดียวตอนกลางคืน ไม่เคยได้ยินได้ฟังบ้างหรือว่า ตรงจุดนี้ตั้งแต่มีคนกระโดดรถตาย ผีดุมาก หลอกคนที่ผ่านไปมาตอนกลางคืนเยอะมาก ถ้าไม่มีเพื่อนหลายคน อย่าผ่านตรงนี้”
บรรดาคนขับรถยนต์ผ่านบริเวณนี้ตอนกลางคืนต่างก็ขยาดกันทั้งนั้น พอขับรถก่อนจะถึงจุดนั้นได้ชะลอความเร็วของรถลงแล้วบีบแตร 3 ครั้ง เป็นทำนองบอกกล่าวว่าขอผ่าน
คืนนั้นผมกับเพื่อนอีก 2 คนได้ตกลงกันจะไปชมมหรสพยอดฮิตของทางภาคอีสาน นั่นก็คือหมอลำหมู่ (หมอลำหมู่นี้ทางภาคกลางจะเรียกลิเกลาว เพราะรูปแบบการแสดงคล้ายกัน มีนักแสดงเกือบ 20 คน การแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายกัน มีตัวพระ ตัวนาง ตัวโกง ตัวตลกเช่นกัน แม้แต่เรื่องที่นำมาแสดงก็จะออกแนวจักรๆ วงศ์ๆ เหมือนกัน) หมอลำหมู่จะมีการแสดงสมโภชงานบวชที่หมู่บ้านอื่น ซึ่งทางที่จะไปชม ถ้าไปทางลัดก็จะเฉียดๆ บริเวณที่นายคำมูลนอนตาย
หมอลำหมู่คณะนี้ข่าวว่าพระเอกหล่อ นางเอกสวย ตัวโกงยอด ตัวตลกเยี่ยม แถมพระเอกนางเอกเสียงดีอีกต่างหาก ตอนขาไปผมกับเพื่อน 2 คนตกลงกันว่าจะไปแต่หัวค่ำ ส่วนขากลับจะกลับทางอื่น ถึงจะอ้อมไกลหน่อยก็ยอม เพราะถ้ากลับทางเก่าก็ขยาดความเฮี้ยนผีตายโหงนายคำมูล เพราะภาพนายคำมูลหน้าและหัวเหลือครึ่งหนึ่งยังติดตา
แล้วก็พากันไปชมหมอลำหมู่ที่หมู่บ้านอื่น หมอลำเริ่มแสดงประมาณ 3 ทุ่ม การแสดงหมอลำหมู่คณะนี้ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาตี 2 ครึ่งก็เลิก ผมกับเพื่อนจึงพากันกลับบ้าน ที่เคยตกลงกันไว้ว่าขากลับจะกลับทางอ้อมที่ไกลกว่าก็พานขี้เกียจเดินไกล จึงได้กลับทางเก่า เพื่อนบางคนก็แย้งว่า มึงไม่กลัวโดนผีหลอกหรือ แต่เสียงส่วนมากบอกว่ากลับทางเก่าก็ต้องตามนั้น เมื่อถึงที่จะมาบรรจบถนนใหญ่ต้องผ่านดอนปู่ตาซึ่งตั้งอยู่ในป่ารกครึ้ม มีต้นไม้ใหญ่สูงแหงนคอตั้งบ่าทั้งนั้น ในดอนจะมีศาล (ศาลเจ้า) 2 ศาลคู่กัน จะเรียกศาลปู่กับศาลตา
หมู่บ้านขนาดใหญ่ทางภาคอีสานจะมีดอนปู่ตากันทั้งนั้น ชาวบ้านนับถือศรัทธาต่อศาลปู่ตามาก นัยว่าศาลปู่ตาจะปกป้องคุ้มครองชาวบ้าน ใครจะลบหลู่ล่วงเกินไม่ได้ คนที่ลบหลู่ล่วงเกินเคยเจอดีมาแล้วชนิดเข็ดจนตาย บรรยากาศภายในดอนปู่ตาจึงวังเวงน่ากลัวมาก เมื่อมาถึงดอนปู่ตา ผมกับเพื่อน 2 คนก็ใจแป้ว ไม่มีใครอยากเดินตามหลัง พอมาถึงถนนใหญ่ใกล้กับจุดที่นายคำมูลนอนตายห่างแค่ 40 เมตรก็ได้ยินเสียงเหมือนม้าวิ่งมาจากบริเวณนายคำมูลนอนตาย เสียงดัง “กุบกับ กุบกับ กุบกับ”
เสียงเหมือนม้าวิ่งในภาพยนตร์คาวบอย ทั้งๆ ที่หมู่บ้านในย่านนั้นไม่เคยมีคนเลี้ยงม้าเลย คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด ผมกับเพื่อนมีไฟฉาย 2 กระบอก จึงฉายไฟไปที่ต้นเสียง แสงไฟส่องไปมีหมาดำขนาดใหญ่ตัวน้องๆ ม้ามันจ้องมาที่พวกผม ทำท่าเหมือนจะกระโจนใส่ “เฮ้ย…ผีหลอก” เสียงเพื่อนคนหนึ่งตะโกนขึ้น เท่านั้นแหละ ผมกับเพื่อนก็ใส่ตีนหมาโกยอ้าว มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างออกไป 400-500 เมตร เมื่อถึงหมู่บ้านก็หอบซี่โครงบานกันทุกคน แล้วก็โทษกันไปโทษกันมา “กูว่าแล้วให้กลับทางอ้อม รู้ทั้งรู้ยังโดนผีหลอกจนได้”
ความเฮี้ยนของผีตายโหงนายคำมูลที่ยังห่วงหาอาวรณ์กับเงิน 30 บาทของเขาเป็นที่หวาดกลัวของคนทั่วไป คนที่ไม่เคยทราบข่าวและคนขาจรที่ไม่ทราบเรื่องนายคำมูลกระโดดรถตาย ผ่านบริเวณนั้นตอนกลางคืนคนเดียว โดนผีตายโหงนายคำมูลหลอกแทบจับไข้หัวโกร๋นกันมามากต่อมาก
*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น
/
เรื่องโดย. สนิท เกาะสมบัติ
ภาพโดย. www.rockpapershotgun.com