7 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                เรื่องราวแปลกประหลาดมากมายที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มีอยู่หลายเรื่องที่เกิดขึ้นกลางมหาสมุทรหรือกลางทะเล และหนึ่งในนั้นก็มีเรื่องแปลกๆ อยู่มากมายเช่นเดียวกัน

                เรื่องแปลกในมหาสมุทรนั้น นอกจากเรื่องของนางเงือกที่มีผู้คนพบเห็นกันมากแล้ว เรื่องของสัตว์ประหลาดหลงสำรวจก็เป็นอีกเรื่องที่มีผู้คนค้นพบกันมากหลายสิบหลายร้อยราย เรื่องเหล่านั้นถูกนำเสนอลงในนิตยสารและหนังสือแปลก หรือสิ่งพิมพ์จำพวกเรื่องลึกลับเหนือการพิสูจน์อยู่หลายครั้ง และจะสังเกตเห็นได้ว่าเรื่องเหล่านี้มีขึ้นทั่วทุกมุมโลก และทั่วทุกมหาสมุทร

                ทว่าในจำนวนเรื่องมากหลายสิบหลายร้อยเรื่องนี้ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก เพราะสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และเหตุการณ์แวดล้อมนั้นช่างเหมือนกันไปแทบทั้งหมด ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นก็คือ เรื่องที่เกิดขึ้นแม้จะเกิดกันคนละมุมโลก คนละมหาสมุทร และบางครั้งก็ไกลกันคนละทวีป แต่ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นและปรากฏให้เห็นนั้นล้วนเกิดในสิ่งแวดล้อมอย่างเดียวกัน

                หลายครั้งที่ออกจะเหมือนกันมากในรายละเอียดเลยทีเดียว ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในแง่ของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอย่างนั้น ซึ่งเรื่องที่ดูจะแปลกประหลาดนี้มาจากเรื่อง “ปลาอสูรแห่งทะเลดำ” (THE EVIL FISH OF THE BLACK SEA) ในทะเลดำสมัยเมื่อกว่า 60 ปีมาแล้ว การเดินเรือระหว่างหมู่เกาะต่างๆ ยังมีความนิยมกันอยู่ และการค้าขายก็ต้องพึ่งทางเรือเป็นสำคัญ ดังนั้น ระหว่างการเดินทางกลางมหาสมุทรจึงมีเรื่องแปลกๆ ที่กัปตันและลูกเรือในสมัยนั้นบันทึกกันไว้มากมาย อย่างเรื่องของปลาอสูรแห่งทะเลดำนี้ก็เหมือนกัน

ทะเลดำ

                เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1934 กัปตันเรือซันไชน์หรือตะวันรุ่ง (SUNSHINE) กัปตันเรือคือ ซารัมปานา เอสปามาคัสตาน่า (CAP. SALUMPANA ESPAMACUSTANA ) กำลังนำเรือผ่านทะเลดำ ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างปรากฏร่างขึ้นมาบนผิวน้ำ เรื่องที่กัปตันได้บันทึกไว้นี้มีความสำคัญมากในอีกสามสิบปีต่อมา ดังบันทึกที่ว่า “…มีอะไรบางอย่างที่ลอยตัวขึ้นมาเรี่ยๆ ผิวน้ำ ขนานไปกับเรือ รูปพรรณสัณฐานของมันเท่าที่เห็นตอนนี้ มันดูเป็นปลาชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ แต่รายละเอียดอื่นๆ แตกต่างไปจากปลาที่เราพบเห็นทั่วไปโดยสิ้นเชิง”

                “มันว่ายน้ำได้เร็วประมาณ 20 ไมล์ต่อชั่วโมง มีส่วนหัวที่ใหญ่โตมาก ประมาณ 4 ฟิต ชูครีบที่กระโดงหลังขึ้นเหนือน้ำ ส่วนลำตัวของมันที่มองเห็นอยู่ในน้ำนั้นมีเกล็ดเป็นมันเลื่อม สีออกเขียวปนแดง ความยาวตลอดลำตัวประเมินว่าไม่น่าจะยาวต่ำกว่า 60 ฟิต หรือ 18 เมตร มันว่ายน้ำได้รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ เพราะครีบหางที่แผ่แบนและกว้าง แค่ระยะเวลาไม่นาน มันก็เริ่มว่ายห่างออกไป ห่างออกไปจากเรือ และเริ่มห่างจากเรือเราไปช้าๆ ไม่นานก็หายลับตาไป”

                บางคนบอกว่า สิ่งที่เห็นนั้นอาจจะเป็นปลาอสูร (EVIL FISH) ที่ปรากฏอยู่ในตำนานก็เป็นได้ เพราะปลาที่ว่ายน้ำได้เร็วและมีขนาดตัวที่ใหญ่ขนาดนั้น ก็ไม่น่าจะว่ายน้ำได้เร็วมากนัก อีกทั้งยังไม่สามารถระบุสายพันธุ์ได้ด้วย แต่ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ เมื่อมันออกห่างเรือไปสักระยะหนึ่ง เราก็เห็นมันเปล่งแสง แสงที่เปล่งออกจากตัวปลาที่ว่านี้ สว่างๆ วาบๆ เห็นได้ชัดในท้องทะเลเลยทีเดียว มันเป็นปลาที่น่าแปลกและน่ากลัวมาก และด้วยความที่มันเปล่งแสงได้นี่เอง มันถึงได้รับชื่อและสมญานามอย่างนั้น

                ถัดมาอีกเรื่องหนึ่ง ในระยะเวลาที่ห่างกันราว 30 ปี คือในปี ค.ศ. 1964 ซึ่งเรื่องถัดมานี้ได้เกิดขึ้นกับเรือเดินสมุทร ชื่อเรือปิตาญโญ ( PITANYOH ) กัปตันเรือปิตาญโญ คือโรบินสัน อัคบาร์ (CAP. ROBINSON ACBARS) ขณะเดินทางไปทะเลดำอีกเช่นเคย และก็ได้บันทึกถึงเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นไว้ตอนหนึ่งว่า…

                “วันนี้เวลาบ่ายสองโมงสิบห้านาที ขณะที่เรือปิตาญโญเดินทางมาถึงทะเลดำแล้ว จู่ๆ พลันลูกเรือก็ร้องตะโกนขึ้นโหวกเหวก…ทุกคนมาที่สะพานเดินเรือเพราะสงสัยว่าลูกเรือเห็นอะไร ก็ปรากฏว่าเวลานี้เรือปิตาญโญกำลังตรวจด้วยคลื่นโซน่าห์ แล้วพบวัตถุประหลาดกำลังตรงรี่เข้ามาหาเรา แรกเริ่มเดิมทีไม่มีใครสังเกตว่ามันเป็นอะไร หรือคืออะไรกันแน่ หลายคนคิดว่าเป็นทุ่นตอร์ปิโด”

                “แต่แล้ว เมื่อสิ่งนั้นเข้ามาใกล้เรือปิตาญโญมากๆ เข้า มันก็เริ่มยกส่วนหางขึ้นมาโบกสะบัดให้ทุกคนเห็น ใช่แล้ว มันคือปลาอะไรสักอย่างที่ไม่สามารถบุได้ เพราะขนาดตัวที่ไม่ธรรมดา และด้วยความยาวของส่วนหางที่มันยกขึ้นในราว 10 ฟิต และลำตัวที่ยาวกว่า 18 ฟิต ทำให้คนบนเรือร้องกันดังลั่น ปลาประหลาดที่ว่ามันตรงรี่เข้ามาหาเรือปิตาญโญก็จริง แต่ก็ไม่ได้กะทำร้ายเรือ มันแค่โบกครีบที่แผงหลังขึ้นพ้นน้ำเพื่อข่มขู่ศัตรู พอมันสังเกตทิศได้แล้วมันก็เบี่ยงทิศหันเหออกจากเรือปิตาญโญ แล้วมุ่งตรงไปทางอื่นทันที”

                ลักษณะของปลาประหลาดที่ว่านี้ กัปตันเรือปิตาญโญบันทึกไว้ว่า…มันมีส่วนหัวใหญ่โตและดูไม่ธรรมดา มีความคล้ายปลาฉลามและปลาวาฬรวมกัน มีเกล็ดสีเขียวปนแดง บางทีอาจจะเป็นปลาอสูรที่ชาวเรือพูดถึง แต่สิ่งที่ไม่เหมือนปลาชนิดใดๆ ก็คือแสงสว่างที่เปล่งออกจากตัวมัน มันเป็นปลาที่สามารถเปล่งแสงสว่างออกมาจากตัวได้ ซึ่งนับว่าแปลกและน่ากลัวกับขนาดที่ใหญ่โตของมัน

                แสงสว่างที่เปล่งจากตัวของมัน แม้มันจะว่ายห่างจากเรือไปแล้วในราวสองถึงสามร้อยเมตร แต่เราก็ยังคงเห็นแสงสว่างที่ว่านั้นได้อยู่ดี บางที การที่มันรี่เข้าหาเรือปิตาญโญ มันคงคิดว่าเรือของเราเป็นศัตรูตัวฉกาจของมันอย่างแน่นอน…และนี่อาจจะเป็นปลาในตำนานเก่าๆ ที่ชาวเรือรุ่นก่อนๆ เคยพูดถึง…ปลาอสูรที่เปล่งแสงได้…ก็เป็นได้

                และเมื่อปลาอสูรมันได้ผ่านไปแล้ว ลูกเรือและคนในเรือก็วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอื้ออึง แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนส่ายหน้าว่าแทบจะไม่เชื่อก็คือขนาดลำตัวของมันนั่นเอง เรื่องนี้กัปตันเรือบันทึกเป็นเรื่องแปลกพิเศษไว้ในปูมเรือ และเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันต่อๆ มาอีกหลายรุ่น หลายครั้งหลังๆ ที่ชาวเรือหรือนักเดินทะเลมีการพบสัตว์แปลกในทะเล กัปตันก็จะบันทึกไว้ทุกครั้ง

                ทีนี้มาที่เรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเรื่องนี้ก็มาพ้องกับสองเรื่องแรก ทั้งที่ต่างปี ต่างสถานที่กันเลยทีเดียว แต่ทว่าสิ่งที่คนในเรือพบเจอนั้นช่างเหมือนกับเรื่องราวสองเรื่องก่อนหน้านี้อย่างยิ่ง คราวนี้เป็นเรือตกปลามัคติโนห์ (MACHTINOH) ที่ชาวสเปนและครอบครัวออกตกปลากันที่นอกชายฝั่งปลาซัสเตโซเบ รานิอา (PLAZAS DE SOBERANIA) และไม่ไกลจากฝั่งมากนัก

                วันนั้นเป็นอีกวันหนึ่งที่อากาศดีมาก มิสราติญญา (MRS. RATINYAH ) ภรรยาของ มร.ดูปง (MR. DUPON) และบุตรสาวมาริยง (MISS MARIAYON) พร้อมทั้งน้องสาวของเธอ คือมิสซิส ปุญติญโญ (MRS. PUNTINYOH) และบุตรชายโอตัญญี (OTANYEEH) ออกไปตกปลาและพักผ่อนกัน ทันทีที่ออกจากฝั่งไปได้ไม่นานนัก พวกเขาก็พากันเห็นสิ่งแปลกประหลาดซึ่งไม่สามารถระบุในเวลานั้นได้ ปรากฏอยู่ใกล้ๆ ไม่ไกลจากเรือมากนัก

                “เราเห็นทีแรก นึกว่าท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่โดนพายุโค่นจนหักโค่นและพลัดลงทะเล แล้วลอยมากลางน้ำ แต่แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย” ดูปงกล่าว “เพราะมันไม่มีทางใช่ขอนไม้แน่ๆ เพราะขอนไม้ไม่ขยับและเคลื่อนที่ได้ แต่มันเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมากทั้งๆ ที่มันมีขนาดใหญ่อย่างนั้น ทีแรกเราไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ทันทีที่มันตั้งลำได้ มันก็พุ่งรี่มาทางนี้ทันที ผมสั่งให้พวกผู้หญิงและเด็กๆ เกาะให้แน่น เราหันหัวเรือหลบเพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้นั้นมันคืออะไร”

                “แต่พอมันรี่เข้ามาแล้ว ทุกคนก็ได้แต่ฉงนและพูดอะไรไม่ออก เพราะตรงหน้านี้คือปลาขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่กำลังยกหางขึ้นโบกสะบัดแล้วพลิกตัวลงในน้ำอย่างรวดเร็ว เราไม่รู้ว่ามันทำอย่างนั้นทำไม แต่พอมันโผล่หัวขึ้นมาอีกทีนั้น เราก็เห็นว่ามันคาบปลาที่ตัวย่อมกว่า หรือสัตว์อะไรสักอย่างไว้ในปาก เราดูจากตรงนี้พบว่ามันเป็นปลาที่มีลำตัวใหญ่ทีเดียว”

                “สัตว์ที่อยู่ในปากของมันนั้นทั้งดิ้นทั้งขยับตัว แต่พอเราเพ่งมองดีๆ แล้ว ตัวที่มันคาบก็คือปลาฉลามหัวค้อนนั่นเอง เจ้าปลายักษ์ที่ว่านี้คาบปลาฉลามหัวค้อนไว้ในปาก แล้วจัดแจงกัดขย้ำปลาฉลามเคราะห์ร้ายนั้นเต็มแรง แล้วโยนฉลามหัวค้อนขึ้นไปบนอากาศ จากนั้นมันก็อ้าปากรอรับ พอปลาร่วงลงมามันก็เขมือบทันที”

                “ทุกคนบนเรือเห็นฉลามหัวค้อนตัวนั้นยังคงดิ้นกระแด่วๆ ก่อนจะลงไปในปากของปลายักษ์ที่อ้าปากรออยู่ พอมันเขมือบปลาตัวนั้นลงท้องไปแล้ว มันก็ดำน้ำลงไปทันที และก่อนที่มันจะดำน้ำลงไป เราเห็นว่าส่วนครีบหางมันบิดเป็นเกลียวก่อนจะแผ่กว้างออกอีกครั้งหนึ่ง การบิดตัวของมันไม่มีสาเหตุ แต่ก็ทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่หลายลูกโถมปะทะเข้าหาเรือ”

                “ทันทีที่มันดำลงไป เราก็เห็นสิ่งที่แปลกประหลาดอีก เพราะปลาอสูรที่ว่านี้มันเปล่งแสงได้ แสงสว่างที่ส่งออกมาจากตัวมันสว่างวาบๆ เห็นแสงสว่างที่ว่านี้สว่างไปตลอดแนวยาวของลำตัวมัน แสงที่ว่านั้นส่องสว่างและสีออกแดง ความสว่างของมันถึงกับทำให้เราปวดตาได้ถ้าจ้องดูนานๆ”

                “มันดำน้ำลึกลงไป แต่เราก็ยังพอมองเห็นแสงสว่างที่ส่องขึ้นมาจากใต้น้ำได้ และหายไปใต้น้ำชั่วครู่ก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง โดยห่างจากเรือของเราไปทางตะวันตกในราว 100 ฟิต แล้วมันก็ทำแบบเดียวกันอีกครั้ง คือหมุนตัวแล้วดำน้ำลงไปอีก จากนั้นเราก็ไม่เห็นแสงสว่างของมันสว่างแวบๆ ขึ้นมาที่ไหนอีกเลย บางทีแสงสว่างที่เปล่งออกมาจากตัวมันอาจจะเป็นหนึ่งในวิธีการล่าเหยื่อก็เป็นได้ มันถึงต้องใช้วิธีนี้ และเหยื่อของมันก็คือฝูงปลาฉลามหัวค้อนนั่นเอง”

                สำหรับเรื่องปลาอสูรขนาดมหายักษ์ที่กินปลาฉลามหัวค้อน ที่ครอบครัวมิสราติญญาได้ประสบพบมานี้ ภายหลังโด่งดัง และถูกตีพิมพ์ลงหนังสือในกรุงมาดริดอีกหลายครั้ง และที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือ เจ้าปลาอสูรที่ปรากฏขึ้นในแต่ละที่และแต่ละปีนั้น มันคือปลาตัวเดียวกันหรือไม่ หรือว่ามันมีเป็นฝูงใหญ่หลายตัว และที่น่าสงสัยก็คือ ปัจจุบันมันยังอยู่หรือเปล่งแสงได้อีกหรือไม่?

*โปรดใช้วิจาณญาณในการอ่าน

/

เรื่องโดย. ดิษฏึกษ์

ภาพโดย. wallpaperswide.com, www.oysterworldwide.com, www.mentalfloss.com, earthobservatory.nasa.gov, en.wikipedia.org, commons.wikimedia.org


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •