27 กรกฎาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ปลายปี พ.ศ.2562 ผู้เขียนไม่คาดคิดว่าจะได้รับข่าวร้ายจากเพื่อนบ้านคนสนิททั้งสองสามีภรรยาว่า บุตรชายวัย 29 ปี และบุตรชายคนเล็กวัย 27 ปี เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์พร้อมกันถึงสองคน ซึ่งเพื่อนที่เป็นมารดาของคนตายเล่าว่า

                คืนนั้นช่วงหัวค่ำ ลูกชายของเธอทั้งสองได้นอนเล่นอยู่บ้าน ไม่มีโปรแกรมที่จะออกไปไหน (เนื่องจากบ้านของพ่อแม่คนตายนั้นอยู่ต่างจังหวัด ส่วนผู้เสียชีวิตทั้งสองทำงานที่กทม.) หากแต่ดวงชะตาของน้องทั้งสองคงถึงฆาตจริงๆ เพราะอยู่ๆ ช่วง 4 ทุ่มของคืนวันที่ 24 ธันวาคม 2562 (ตรงกับวันโกน) เพื่อนคนตายที่อาศัยอยู่กทม.ได้ขับรถมาเซอร์ไพรส์น้องทั้งสองถึงบ้านพักในโรงสีอันเป็นกิจการของครอบครัวน้องที่สืบทอดธุรกิจมา 4-5 ช่วงอายุคน

                เมื่อเพื่อนเดินทางมาถึงโดยไม่บอกกล่าว คุณสำเนียงผู้เป็นแม่มองดูนาฬิกาว่าเกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว หากไม่รู้จะเตือนลูกชายได้อย่างไร ด้วยเพราะลูกๆ นั้นพูดว่า “จะพาเพื่อนไปเลี้ยงข้าวที่ร้านอาหารริมทุ่ง ใต้สะพานมอเตอร์เวย์ที่กำลังก่อสร้าง ขับรถออกจากบ้าน 10 กว่านาทีก็ถึงแล้ว”

                ซึ่งคุณสำเนียงเล่าว่า คืนนั้นลูกชายเธอแต่งกายคล้ายกัน โดยสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวและกางเกงลายสกอตขาสั้น “คืนนั้นลูกถามฉัน แม่อยากทานอะไรเป็นพิเศษ ลูกจะซื้อมาฝาก ก็บอกลูกไป กับข้าวเราเต็มตู้ เลยเวลากินแล้ว แต่ให้ไปถามอาป๊า พ่อของเขาดีกว่าว่าอยากทานอะไร

                เมื่อลูกออกจากห้องฉัน ฉันเดินตามลูกชายไปชั้นล่าง ห้องบัญชีที่อาป๊าเขานั่งทำงานดึกทุกคืน ทันทีที่ลูกบิดประตูดัง เสียงอาป๊าร้องเฮ้ย! ดังลั่น ครั้นพอเราถาม อาป๊ามีอะไร แกตอบว่าไม่มีอะไร แต่ขอให้รีบไปรีบกลับ หรือสั่งซื้ออาหารจากร้านมานั่งกินที่ตีนท่าริมน้ำหลังโรงสีก็ได้…อย่างไรก็บ้านของเรา กินบ้านเราปลอดภัยที่สุด อยู่ๆ สามีฉันพูดอย่างนี้ขึ้นมา แต่ทว่าไม่มีใครสนใจกับคำพูดของอาป๊าเลยแม้แต่น้อย

                กระทั่งเวลาเที่ยงคืน ลูกคนโตได้โทรมาบอกเมอร์รีคริสต์มาสครับแม่ เมื่อถามกลับไปว่าตี๋น้อยไปไหน ลูกคนโตตอบว่ากำลังคุยโทรศัพท์กับแฟน ทะเลาะกันนิดหน่อยที่ลูกชายออกมาเที่ยวแล้วไม่บอกแฟน เถียงกันประมาณนี้

                ฉันได้ตัดบทกับตี๋ใหญ่ว่า ให้กลับมาสังสรรค์ที่บ้านต่อเถอะ…ตอนนั่งคุยกับลูก อยู่ๆ สายตาได้ดูปฏิทิน ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคม วันคริสต์มาส และตรงกับวันพระ เมื่อนึกถึงวันพระรู้สึกใจคอไม่ดี อยู่ๆ เกิดเป็นขึ้นมาเอง!

                ได้บอกลูกๆ ว่าให้รีบกลับมาก็แล้วกัน แม่รอลูกอยู่นะ จากนั้นตี๋ใหญ่ได้ขอเลิกสาย คือสายถูกตัดไปเฉยๆ ซึ่งเราเองไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ยอมรับว่าระหว่างนี้ อยู่ๆ หมาที่ลูกชายเลี้ยงไว้มันตื่นลืมตาแป๋ว และวิ่งลนลานไปรอบๆ บ้านเหมือนอาการเวลาออกไปรอการกลับมาของลูกชายที่เลี้ยงเขามาไม่ผิดนัก ซึ่งเมื่อบอกให้เขานอน เขาก็ไม่ยอมนอน ทั้งสองตัวเลยค่ะที่มีอาการอย่างนี้”

                คุณสำเนียงเล่าต่อไปว่า “คืนนั้น ทำอย่างไรฉันเองกลับนอนไม่หลับ ครั้นจะโทรกลับไปที่ลูกๆ ก็เกรงเขาจะหาว่าเราจู้จี้

                จนตีสาม แฟนของตี๋น้อยโทรศัพท์มาที่เรา ร้องไห้โฮๆ พูดจาไม่รู้เรื่อง จึงบอกให้น้องเขาใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด ฉันเองคิดว่าเขานั้นคงทะเลาะกันหนัก แต่ปลายสายพูดกลับมาว่า อาม้า ตี๋น้อยรถคว่ำตายแล้ว…เฮียก็ตายแล้วด้วย! ฉันเก็บคำพูดว่าที่ลูกสะใภ้ตะโกนบอกสามีที่อยู่ข้างล่าง ปรากฏว่าเขาเป็นลมก่อนฉันเสียอีก”

                คุณสำเนียงกลั้นน้ำตาอยู่พักใหญ่ก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ให้แขกเหรื่อฟัง “มารู้ภายหลัง ระหว่างที่ลูกโทรมาเมอร์รีคริสต์มาสนั้น เขาสองคนกำลังขับรถ ย้ายจากร้านอาหารอีกที่ไปอีกที่ที่สนุกกว่า เป็นคำบอกเล่าจากเพื่อนเขาที่ขับรถตามหลังมา

                เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ เพื่อนเล่าว่าอยู่ๆ รถได้เร่งความเร็วขึ้นเหมือนกำลังท้าทาย ลองแข่งกับอะไรสักอย่าง ส่วนรถของเพื่อนนั้นได้ขับตามหลังพอเห็นแสงไฟลิบๆ จากนั้นรถกระบะของลูกชายที่เพิ่งออกเมื่อกลางปี ได้ฟาดกับตอม่อของสะพานมอเตอร์เวย์ที่กำลังก่อสร้าง ความแรงของอุบัติเหตุทำให้รถนั้นฉีกขาดเป็นสองท่อนทันที!

                ส่วนที่ตรงนั้น ตรงที่ลูกฉันจากไป ชาวบ้านแถบนั้นเล่าว่าเมื่อก่อน คนดวงตกมักจะเห็นว่ามีรถยนต์อีกคันขับตีคู่กับรถที่จะประสบเหตุ เรียกว่าไม่ตายก็เลี้ยงที่ไอซียูเลยค่ะ

                ชาวบ้านย่านนั้นเรียกว่ารถผี มีวิญญาณเก่าพาไปตาย! ส่วนที่ตำรวจเช็กโทรศัพท์ได้นั้นเป็นเครื่องของตี๋น้อยที่ไม่พัง เขาจึงเช็กไปที่การพูดสายสุดท้ายว่าคนตายคุยกับใคร เบอร์อะไร จึงแจ้งข่าวด้วยการโทรไปที่น้องเขาที่เป็นแฟน ส่วนของอาตี๋ใหญ่นั้นไม่ต้องพูดถึง” น้ำตาของคุณสำเนียงไหลพรั่งพรู

                ย้อนกลับไปถึงคำบอกเล่าของเถ้าแก่สงค์ ซึ่งเป็นเตี่ยของผู้วายชนม์…เถ้าแก่เล่าถึง ‘จิต’ คนเราที่นึกถึงสิ่งใด มักจะไปหาสิ่งนั้นได้รวดเร็ว แม้กายสังขารดับสลายไปแล้วก็ตาม “คืนนั้น ช่วงที่ลูกชายจะออกจากบ้าน ที่ฉันร้องเฮ้ย เพราะตกใจที่ได้เห็นเฮียเส็ง พี่ชายคนโตฉันที่เขารถคว่ำ จากไปเมื่อ 5 ปีก่อน…เป็นเฮียเส็งที่มานั่งกดไหล่ตี๋ใหญ่ไว้ แถมยิ้มมาทางฉัน แววตาเขามองแกมเยาะเย้ยถากถาง”

                ระหว่างนี้คนฟังหลายคนเริ่มนิ่ง เนื่องจากวงในหลายคนทราบดีว่าเฮียสงค์นั้นไม่เคยลงรอยกับเฮียเส็ง พี่ชายคนโตเลย แม้เฮียเส็งจากโลกนี้ไปด้วยอุบัติเหตุ…แต่เฮียสงค์ได้นำร่างพี่ชายไปสวดที่วัด สวดครบสามคืนจึงฌาปนกิจ มิได้มีพิธีกงเต็กแต่อย่างใด เหมือนไม่ให้ความเคารพพี่ชายอันใดเลย ผิดกับงานศพของบุตรชายตนเอง มาบัดนี้ ทั้งร่างตี๋ใหญ่และตี๋น้อยได้จัดตั้งสวดพระอภิธรรมที่ในโรงสีเลย…โดยผู้เขียนไปร่วมงาน ได้มีการสวดทั้งพระไทยและพระจีนในคืนแรก และจะมีการสวดเช่นนี้จนครบเจ็ดคืน

                วกกลับเข้าเรื่องต่อ…เถ้าแก่สงค์เล่าต่อไปว่า… “ที่ฉันเป็นลมล้มพับไปนั้น เหตุเพราะทันทีที่เธอ (คุณสำเนียง) บอกข่าวร้ายเสร็จ ฉันเห็นลูกชายสองคนเสื้อชุ่มไปด้วยเลือดแต่หน้าตาเป็นปกติ มาเคาะกระจกเรียก อาป๊า อาป๊า เปิดประตูให้หน่อย และเสียงพูดตอนที่ฉันเป็นลมได้ดังเข้าหูแว่วมาเป็นระยะๆ เราปวดเมื่อยไปทั้งตัวแล้วอาป๊า เปิดประตูเร็วๆ เปิดประตูเร็วๆ ลูกฉันย้ำอยู่อย่างนี้”

                ซึ่งต่อมาได้ทราบว่าที่เห็นทั้งคุณสำเนียงและเถ้าแก่สงค์ สองคนนั้นดูเข้มแข็ง แต่เมื่อแขกเหรื่อพากันเดินทางกลับเมื่อพระสวดจบ ทั้งสองกอดกันกลมร้องไห้ต่อหน้าร่างลูกชายที่นอนในโลงเคียงคู่กัน ร้องไห้จนนอนพับหลับไป ไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไรหนอที่ลูกๆ ต้องมาจากไปด้วยอุบัติเหตุพร้อมกัน!

                หากแต่คนในตำบล คนเก่าคนแก่อายุเลข 70 ปีขึ้น…จากผู้ที่ฉันนับถือคนหนึ่งได้เล่าให้ฟังถึง ‘ศึกชิงมรดกในโรงสี’ เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน…เรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างเฮียเส็ง พี่ชายคนโต และเฮียสงค์ น้องชายคนเล็ก (ครอบครัวนี้มีพี่น้องร่วมอุทรเพียงแค่สองคน) ซึ่งผู้ที่ฉันนับถือเล่าว่า…

                “สมัยก่อน ครั้งที่ยังเป็นหนุ่ม ยังไม่ได้แต่งงานพาสะใภ้เข้ามาอยู่กงสีร่วมกัน สองพี่น้องคู่นี้เขารักกันมาก ต่อมาเมื่อเฮียเส็งแต่งงานก่อน พาพี่สะใภ้เข้ามาร่วมชายคา ซึ่งช่วงนั้นครอบครัวได้บริหารงานปกติดี ส่วนภรรยาของเฮียเส็ง ซ้อเจ็ง เธอเป็นลูกคนจีน 100 เปอร์เซ็นต์ และเป็นคนมีฐานะดี

                หลายปีถัดมาจนเฮียสงค์เรียนจบจากกรุงเทพฯ กลับมา เขาได้มาพบรักกับสาวชาวบ้านในตำบลเดียวกันนั้นคือพี่สำเนียง ซึ่งตัวพี่สำเนียงนี้ เธอเป็นช่างตัดเสื้อในหมู่บ้าน ฐานะครอบครัวปานกลางจึงไม่ค่อยสบอารมณ์คนในครอบครัวโรงสีบางคนนัก ความที่เห็นว่าภรรยาตนถูกข่มเหงรังแกจากซ้อเจ็ง…ซ้อใหญ่อยู่บ่อยๆ จึงทำให้เฮียสงค์กับเฮียเส็งเริ่มมีปากเสียงถกเถียงกัน สะใภ้ทั้งคู่ก็ทะเลาะเบาะแว้งกันได้ทุกวี่วัน

                เมื่อมองด้วยความเป็นกลาง ไม่เข้าใครออกใคร ผู้เล่าเล่าว่าด้านซ้อเจ็ง เธอคิดว่าตัวเองเป็นซ้อใหญ่ และเป็นคนมีสตางค์ ส่วนของสำเนียงนั้น ญาติพี่น้องเขาเป็นกำนัน เป็นผู้ใหญ่บ้าน พอเวลาด่ากันหรือเถียงกันจึงไม่มีใครยอมใครทีเดียว

                คืนหนึ่ง รถที่เฮียเส็งขับไปทำธุระกับเมียได้ประสบอุบัติเหตุ เป็นเฮียเส็งที่ตายคาที่…ส่วนซ้อเจ็งตอนนี้ยังนอนเป็นอัมพาตอยู่ จากเหตุการณ์ตำรวจระบุว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่ฉันไปเยี่ยมซ้อเจ็งกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอบอกว่าถูกรถขับเบียดประกบซ้ายขวา ถึงทำให้รถตกถนนไปชนกับต้นไม้ใหญ่ และเฮียก็ตายคาที่

                “เวรกรรมมีที่มาที่ไป อย่าลืมในข้อนี้…” ผู้เล่ากล่าวย้ำ เมื่อผู้เขียนถามถึงประโยคที่ว่า เวรกรรมมีที่มาที่ไปคืออะไร

                “อ่า คุณลองคิดดู ถ้าน้องได้วางแผนฆ่าพี่ชายจริง มาวันนี้เถ้าแก่สงค์กำลังได้รับเคราะห์กรรมแล้ว การสูญเสียลูกชายไปพร้อมกันถึงสองคน เปรียบเสมือนสูญเสียดวงตาทั้งซ้ายขวา และชีวิตที่เหลืออยู่จะฝากผีฝากไข้ไว้กับใคร

                เล่ากันว่า มีคนทางนี้ไปเยี่ยมซ้อเจ็งที่บ้านเพชรบุรี ทุกๆ เช้าซ้อแกจะจุดธูป 16 ดอกแช่งฝากฟ้าดิน ใครทำให้ผัวแกตายก่อนกำหนด ก็ขอให้ครอบครัวมันมีอันเป็นไปเช่นกัน

                ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเถ้าแก่สงค์ในตอนนี้ จะด้วยความบังเอิญหรือไม่ก็ตาม แต่ฉันคิดว่ามันเป็นความบังเอิญที่ลงตัว เพราะตอนนั้นที่เฮียเส็งแกจากไป คนเป็นน้องชายอย่างเถ้าแก่สงค์ไม่มีน้ำตาสักหยดให้คนเห็น ได้แต่เร่งๆ เผาศพ

                ฉันขออนุญาตคิดของฉันอย่างนี้ คุณจะเชื่อหรือไม่นั้นก็ใจของคุณ เพราะการจากไปของตี๋หนุ่มมาพร้อมกันถึงสองคนด้วยอุบัติเหตุ ฉันคิดว่าคำสาปแช่งนั้นมีจริง! แช่งคนผิดรับโทษ รับกรรมทุกวัน มันต้องโดนเข้าสักคน ไม่เข้าตัวเองก็ต้องไปโดนกับลูกกับหลาน”

*โปรดใช้วิจาณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย.www.bloomberg.com, integratedlistening.com, www.nj.com, news.yale.edu


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •