29 มีนาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                เรื่องนี้เริ่มจากนายเอก ชายวัย 55 ปี อันเป็นเพื่อนสนิทของผู้เขียน ได้มีความทุกข์ใจเกี่ยวกับบุตรสาวและบุตรชายวัยไล่เลี่ยกัน ซึ่งลูกสาวคนโตของเอกชื่อ น้องมล ปัจจุบันอายุ 25 ปี ส่วนลูกชายคนเล็กชื่อ น้องม่อน ซึ่งตัวของน้องม่อนนั้นมีอายุ 23 ปี เด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนยังเรียนไม่จบระดับปริญญาตรี

                เอก ผู้เป็นพ่อนำเรื่องราวมาถ่ายทอดเชิงปรับทุกข์ว่า

                “เรื่องลูกๆ ขี้เกียจเรียน นึกขยันเรียนกูก็แต่งตัวออกจากบ้าน วันไหนที่ขี้เกียจกูก็นอนอยู่กับบ้าน ถือเป็นเรื่องปกติ สมัยที่กูยังวัยรุ่นก็เป็นอย่างนี้ ไม่อยากตำหนิลูก ทีรุ่นพ่อยังทำได้ เกเร เกรียนยิ่งกว่าเด็กสมัยนี้ซะอีก…สำหรับตัวกู กูว่า”

                ปกตินิสัยของเอก เขาเป็นคนง่ายๆ ใครอยู่ใกล้ชิดจะสบายใจ แต่ดูสีหน้าเพื่อนแล้ว วันนี้เพื่อนคงมีความทุกข์ใจจริงๆ

                “หากที่กูเครียด กูอายชาวบ้านทุกวี่วันเนี่ย ก็เพราะลูกสาวคนโตมันเสือกเป็นทอม ส่วนไอ้ลูกคนเล็ก ไอ้ม่อน มันก็เสือกเป็นตุ๊ด และตุ๊ดของไอ้ม่อน ไม่ใช่ตุ๊ดที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวกลัวพ่อเตะอะไรเลย แต่มันเป็นตุ๊ดที่แรด กรี๊ดกราด ตามแอ๊วตามจีบผู้ชายออกหน้าออกตา และกูก็เป็นทหาร ต้องอยู่บ้านพักฯ บ้านตัวเองยังต้องรอเงินเกษียณ”

                เอกถอนหายใจเฮือกใหญ่ ดูเหนื่อยหน่าย

                “แต่ละวัน กูต้องทนกับคำติฉินนินทา ไอ้มลลูกคนโตไปกินเหล้าห้องแถวนั้นซอยนี้ ไปติดผู้หญิงลูกจ่าด้วยกัน วันดีคืนดีก็ทะเลาะกัน ส่วนไอ้ม่อนรึก็วาดหน้าวาดตา นุ่งสั้นแค่คืบ แข้งขารึเป็นมัดๆ ดูแล้วมันทุเรศ…ยิ่งมีคนเรียกลูกให้ได้ยิน คำก็กะเทยควาย สองคำก็กะเทยควาย มันเจ็บหัวใจยิ่งกว่ามีดกรีดหลายร้อยเท่า…ใครไม่เป็นพ่อไม่รู้หรอกนะโว้ย…ส่วนแม่มันก็ไม่น่าชิงตายเลย!” เอกพูดด้วยเสียงเบาๆ ในประโยคท้ายๆ

                เมื่อพูดถึงกุ้ง ภรรยาของเอกที่จากไปนับสิบปีแล้ว โดยกุ้งประสบอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ เธอขับไปเฉี่ยวชนกับรถมอเตอร์ไซค์ด้วยกัน…ต่างฝ่ายต่างเสียชีวิต ยามนั้น ผู้เขียนได้แต่คิดว่าไอ้กุ้งหมดเวรจากเจ้าเอกไปแล้ว…จากเหตุผลเพราะอุปนิสัยของเอกในยามนั้น มันจะขี้เมา และใครพูดผิดหูไม่ได้เสียด้วย

                โดยเฉพาะไอ้กุ้งนั้นเจอเจ้าเอกพลั้งมือในเวลาเมาบ่อยครั้ง พอตื่นเช้าขึ้นมาก็แทบอุ้มเมียขึ้นนั่งบนหิ้ง เรียกแม่อย่างนั้น…แม่อย่างนี้…พ่อขอโทษ

                ส่วนเจ้ากุ้งก็ใจอ่อนเข้าตามสูตรผัว-เมียละเหี่ยใจ ทำยังไงก็ต้องกลับมากินข้าวหม้อเดียวกัน

                อยู่ๆ เจ้าเอกพูดโพล่งออกมา

                “มาวันนี้ ไหนๆ ชีวิตกูก็เดินมาค่อนคนแล้ว จะตายวันไหนยังไม่รู้ มึงว่า…เวรที่ลูกทำให้กูหนักใจ เพราะมาจากตัวกูที่สมัยก่อน 30-40 ปีโน้นได้ทำให้แม่กูต้องเสียน้ำตา ร้องไห้ทุกวันรึเปล่าวะ”

                เอกเล่าย้อนอดีตของเขาครั้งที่อยู่กับมารดา โดยที่เขาเป็นลูกชายคนเล็ก มีชีวิตที่สุขสบาย แม้ขณะนั้นบิดาได้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ แต่พ่อได้ทิ้งสมบัติให้แม่และลูกๆ ทั้งสองคนได้อยู่กินอย่างสุขสบาย ไม่เคยเดือดร้อนเรื่องการเงิน

                หากปัญหาครอบครัวได้เกิดขึ้นจนได้ ด้วยสาเหตุที่ว่า…

                “ช่วงนั้น กูติดทั้งเหล้า สูบทั้งกัญชา ทั้งที่มีอายุแค่ 17-18 ปีเท่านั้น แต่กลับคบคนรุ่นพี่รุ่นพ่อ โรงเรียนไม่เคยไปถึง ได้แต่เมาปลิ้นกลับบ้านได้ทุกวัน

                เมื่อตะวันตกดินก็อาบน้ำแต่งตัว แบมือขอเงิน ขอขั้นต่ำ 300-400 บาท ซึ่งเกือบ 40 ปีก่อนโน้นเงินมันเยอะนะ เลี้ยงอาหารคนได้เป็นโต๊ะ! และกูต้องขอแม่อย่างนี้ทุกคืน เหตุเพราะโดนรุ่นพี่ปะเหลาะมาอีกที ไม่อย่างนั้นจะไม่ให้เข้ากลุ่ม”

                “มีไหมที่แม่ปฏิเสธไม่ให้สตางค์”

                “มีสิ บางคืน พี่สาวยุให้แม่แข็งข้อ หือกับกู กูจึงทุบกระจกบ้านแก้กลุ้ม เย็บเป็นสิบเข็มเสียอย่างนั้น ทำเอาแม่เป็นลมแล้วเป็นลมอีกเพราะสงสารลูก”

                เอกพูดคุยด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่น

                “แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร ที่ตอนนั้นกูกลับไม่มีความเห็นใจแม่เลยสักนิด ครั้นเมื่อขู่ขอตังค์ เห็นแม่ตัวสั่นงันงกกูยิ่งชอบใจ…นี่คงเป็นเวรกรรมที่ให้มาเจอกับลูกตัวเอง เพื่อนว่ามั้ย?”

                ผู้เขียนได้แต่พยักหน้า อยากฟังเพื่อนคุยต่อ

                “ส่วนของนังพี่สาวที่ตอนนี้มันรวย ไปไกลไม่เห็นฝุ่น…สมัยก่อนมันคงระอากับน้องชายคนนี้มาก ครั้นพอมันแต่งงานกับไอ้พี่เขยคนบ้านนอก…เดี๋ยวๆ มันก็มาขนนั่นขนนี่ออกจากบ้าน ขนย้ายถ้วยชามหม้อไหใส่ท้ายรถกลับไปให้บ้านแม่มันที่อยู่บ้านนอก เล่ากันว่ากันดารนักหนา!

                แต่ท้ายที่สุด มันถ่ายโอนยันตึกแถวโว้ย พี่สาวหลอกล่อให้แม่เซ็นโอนให้มันสองคน ตอนนั้นกูไม่เคยสนใจอะไรทั้งที่อายุครบบวชแล้วก็เหอะ

                อ่า…มารู้อีกทีก็ตอนแม่จากไปแล้ว เหลือเพียงบ้านหลังแรกที่พ่อแม่แต่งงานกันใหม่ๆ หลังไม่ใหญ่โตนัก…

                พอกูเกณฑ์ทหารแล้วเสร็จ ก่อนปลดประจำการ นายคงสงสาร ถามว่าพลทหารสรรเสริญ อยากเป็นนายสิบทหารบกต่อมั้ย? นายคงเห็นเป็นเด็กกำพร้าด้วย ก็บอกตามตรง ‘หากไม่เป็นทหารต่อก็ไม่รู้จะเป็นอะไรล่ะครับ เหมือนตัวคนเดียว พี่สาวเขาก็ไม่เอาเรา’

                แต่ก่อนเป็นก็ต้องเสียเงินล่ะ เจ้านายขอแค่หลักหมื่น จึงได้ตัดสินใจเอาบ้านของแม่ไปจำนองนายทุนจนได้เข้ารับราชการ ได้แต่งเมีย แต่สุดท้ายบ้านก็หลุดจำนองเพราะมีลูกติดกันสองคน ซึ่งทางเลือกเวลานั้นมีให้เลือกสองทางคือ ถ้ากูส่งดอกเบี้ยทุกเดือน มันหมายถึงลูกสองคนกูต้องไม่ได้กินนมยี่ห้อดีๆ สุดท้ายต้องตัดใจให้บ้านหลุดจำนอง”

                ผู้เขียนตบไหล่เอกเบาๆ ปลอบใจ อย่างน้อยเวลานี้ เขาทำดีที่สุดมาตลอดเวลาหลายปี ช่วงชีวิตของทุกคน เชื่อว่าหลายคนย่อมมีอดีตที่ไม่สวยหรู ไม่ถูกใจตนเอง และคิดมากมาจนทุกวันนี้ บางคนกลายเป็นตราบาปของชีวิตเลยก็ว่าได้ จึงเตือนสติเพื่อนเก่าไป

                “อยากให้เพื่อนคิด เตือนสติตัวเองเสมอๆ มนุษย์เราเกิดมาทุกคนล้วนมีกรรมติดตัว ไม่มีใครเกิดมาพบแต่ความสุขสมหวังทุกขณะทุกเวลาไปได้ แค่เรามีอยู่ทุกวันนี้ และพอใจในสิ่งที่เรามี ปรับจูนบ้าง มันไม่ได้เสียหายอะไร โดยเฉพาะเรื่องลูก

                ที่แกทุกข์ใจอยู่ตอนนี้เพราะคิดอยู่อย่างเดียว ลูกผู้ชาย ลูกผู้หญิงที่เกิดมามีนิสัยที่ผิดเพศ ตรงนี้คือตัวปัญหา ซึ่งตลอดเวลาที่แกเลี้ยงดูสิ่งที่เรียกว่าตัวปัญหานี้ เขาคือลูกในไส้ของเรา มีความคิดมีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเขาเอง

                และเพื่อนไม่ต้องคิดไปเปลี่ยน หรือดัดแปลงเรื่องใดๆ แต่ขอให้เปลี่ยนนิสัยของเราให้ยอมรับกับสภาพของลูกๆ ได้ เพื่อต่อไปลูกจะได้ไม่เก็บกด…ไปเที่ยวออกลูกนักเลง กินเหล้า ดูดบุหรี่ต่อหน้าคนอื่น หรือลูกชายจะได้ไม่ออกลูกหวานแหวว ดีดดิ้นต่อหน้าทหารทั้งกองร้อย กองพัน…ให้เป็นคำติฉินนินทาเหมือนแมลงหวี่บินเข้าหู

                แกลองกลับมาเลี้ยงลูกอย่างเพื่อนบ้างสิ มีอะไรก็นั่งคุยกัน ปรึกษากัน ดีกว่าที่จะให้ลูกของเราไปลองผิดลองถูกที่นอกบ้าน”

                ต่อมาเอกได้เอ่ยแทรกขึ้น… “พูดถึงเรื่องตุ๊ดเรื่องแต๋ว กูว่ากูมีเวรนะเพื่อน เหตุเพราะสมัยก่อนความที่เกลียดคนกลุ่มนี้ กูนี่ไล่กระทืบมันทุกวัน! ทั้งที่ไม่รู้จักกัน แค่เดินผ่านก็หมั่นไส้พวกแม่ง ไม่รู้เป็นเพราะอะไร”

                เอกถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แต่ไปๆ มาๆ ดันมาได้อีพวกนี้มาเกิดเป็นลูก…แถมเป็นลูกชายที่กูหวังให้บวชเรียนซะด้วย เชื่อว่าชาตินี้คงไม่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของไอ้ม่อนก่อนตาย”

                คำพูดนี้ดูปลงๆ จนอดใจหายแทนเพื่อนไม่ได้

                “หากไอ้ม่อนบวชให้เพื่อนไม่ได้ เมื่อเกษียณอายุราชการ เพื่อนก็บวชเองสิ หาบุญกุศลใส่ตัวเอง อย่าไปคิดพึ่งพาใครแม้แต่ลูก…”

                ผู้เขียนตบไหล่เพื่อนตอกย้ำคำพูด

                “หมั่นลองคิดทุกวัน คิดอย่างที่ข้าพูดเนี่ย แล้วเอ็งจะสบายใจ เรื่องลูกนั้นเมื่อเลี้ยงแล้วอย่าไปคาดหวังสูง เดี๋ยวเราอาจพานเป็นบ้าได้ เชื่อสิ ขอเวลาในแต่ละวันนั่งร่วมวงกินข้าวกับลูกๆ วันละมื้อก็ยังดี มีอะไรนั่งปรึกษาพูดคุยกัน…และข้าเชื่อว่า ตลอดเวลาที่เอ็งนั่งเลี้ยงลูกหลังจากไอ้กุ้งตายมาสิบกว่าปีน่ะ หลับตาก็วาดภาพออก คือ เช้าขึ้นมาเอ็งดุด่า บ่นๆ แต่ก็ให้สตางค์ ชีวิตวนเวียนอยู่แค่นี้ อย่าว่าแต่ให้ลูกเรียนจบเลย เพราะอย่างไรลูกก็เรียนไม่จบ…ลูกขาดที่ปรึกษาไง จำไว้เอกเอ๋ย…แค่ลูกเอ็งออกจากบ้านไป มีชีวิตรอดกลับมานี่เป็นบุญหัวแล้วสำหรับวัยรุ่นยุคนี้”

                ซึ่งขณะนั่งคุยกับเอกที่บ้านพัก เป็นมล ลูกสาวคนโตของเพื่อนที่ดีดบุหรี่ทิ้งบริเวณหน้าบ้านก่อนที่จะเดินตัวลีบเข้าบ้านเพื่อมาสวัสดีผู้เขียน ซึ่งตัวผู้เขียนแอบคิดในใจ

                ลูกผู้หญิงอย่างไรก็คือลูกผู้หญิงวันยังค่ำ มีการเดินที่อ่อนค้อมตัวก่อนเดินผ่านผู้ใหญ่

                เมื่อผู้เขียนทักทาย “มลไปไหนมา ตอนนี้ทำอะไรอยู่”

                เด็กลูกเพื่อนตอบด้วยคำพูดที่ดูถ่อมตน จึงบอกกับมลไป

                “เนี่ย พ่อเขาเพิ่งฝากอาบอก ต่อไปมลจะมีแฟน อยากทำอะไร กินหรือสังสรรค์อะไรนะ ให้พาเพื่อนมาที่บ้านพ่อ ไม่ต้องออกไปบ้านเพื่อนแล้ว พ่อเขาอนุญาต”

                มลตอบอ้อมๆ แอ้มๆ “ครับ…ครับ…ฮะ…ฮะ” ตามประสาเขาก่อนเดินขึ้นไปห้องส่วนตัว โดยเอกนั้นหรือดูจะคร้านในคำพูดของผู้เขียนที่พูดบอกลูกสาวเขาไป

                “แกอย่าลืม ลูกแกเป็นผู้หญิง ต่อไปหากลูกจะเหี้…ก็ให้เขาเหี้…ในบ้านนี่ล่ะ เมื่อเลี้ยงเขาอย่างไว้ใจ เขาจะไม่กล้านอกกรอบกับเราเหมือนที่เคยเป็น ลูกอายุ 24-25 ถือเป็นไม้อ่อนที่รอการดัด ไม่อย่างนั้นอนาคตบ้านแกแตกแน่ เพราะลูกนั้นขาดที่พึ่งทางใจ

                คนเป็นพ่อ ขอให้เป็นพ่อพระในบ้านอย่างแท้จริง…ด้วยอย่างน้อย ลูกเราเซมาทางไหน ตัวเรา บ้านเรา จะได้เป็นหลักให้ลูกไง…หวังว่าข้าคงเตือนเอ็งไม่พลาดนะเอก ไหนๆ ชีวิตเอ็ง ดั่งที่บอก เพื่อนในชุดเรามันคือผีใกล้เผากันแล้ว…หากเลิกทิฐิกับลูกๆ ได้ เชื่อว่าบ้านเอ็งจะน่าอยู่ขึ้นอีกเยอะ…อีกหน่อยลูกจะอยู่ติดบ้านเพราะตัวพ่อนะ ไม่ใช่เพราะเงินที่ขอจนเคยมือ”

                ทั้งนี้ ก่อนที่จะจบการพูดคุย ให้อดพูดถึงเรื่องเวรกรรมเสียมิได้ เนื่องจากช่วงสมัยที่เอกยังเป็นหนุ่มวัยรุ่น เขาทำให้มารดาต้องร้องไห้ นอนหลับฝันผวา ไม่เป็นอันหลับอันนอน

                มาวันนี้…เขาเอง ด้วยความเป็นห่วงลูกสาวลูกชายอย่างไร คงไม่ต่างจากความห่วงใยของแม่ที่มีต่อเขาในวันนั้น

                …เรียกว่า ปลูกอย่างไรได้ผลอย่างนั้นแท้จริง นับเป็นลูกไม้ใต้ต้น ไม่ห่างหายไปไหน!

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. www.wallpaperflare.com, www.reddit.com, www.bristolpost.co.uk, parasolgroup.co.uk


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •