7 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                บ้านตามชนบทในสมัยก่อนก็อยู่กันแบบตามมีตามเกิด ไม่ได้เคร่งครัดอะไรกันมาก ไม่ว่าจะรวยจะจน เขาก็อยู่กันแบบง่ายๆ เช่น ห้องน้ำ ห้องนอน หรือห้องครัว ตัวบ้านพอยกพื้นสูงขึ้นไปก็เป็นโถง

                ถ้าบ้านไหนมีลูกสาวก็จะกั้นเป็นห้องสักหน่อย นอกนั้นก็มุมใครมุมมันตามสะดวก บางบ้านไม่มีห้องน้ำด้วยซ้ำไป พอปวดหนักขึ้นมาก็ถือเสียมเดินเข้ารกเข้าพง ขุดๆ แล้วก็กลบเป็นปุ๋ยได้อย่างดี

                หรือบางครั้งก็พกกาบมะพร้าว หรือไม่ก็ใบไม้แถวนั้น (ตอนเด็กๆ พ่อเคยพาไปเยี่ยมญาติ ผู้เขียนเคยเห็นเขามีไม้ไผ่เป็นแท่งเล็กๆ มัดรวมกันกับกาบมะพร้าวแขวนไว้ เมื่อก่อนก็ไม่เข้าใจ พอถามก็มีคนบอกว่าเอาไว้ปาด..ปัดโธ่ เพิ่งมารู้เอาตอนโตแล้วว่าปาดอะไร)

                ไร่แตงโมมีเนื้อที่หลายสิบไร่ ทั้งผลผลิตที่มากมาย เจ้าของไร่ก็เลยจ้างสองพ่อลูกมาช่วยดูแล ก็คือลุงปั๋นกับลูกชายชื่อเจ้าโด่ง ทั้งสองคนขยันขันแข็งเอาการเอางานไม่ขี้เกียจ เจ้าของไร่ไว้เนื้อเชื่อใจ

                เวลาเขามาครั้งหนึ่ง เขาก็จะนำอาหารการกินที่พออยู่ได้เป็นสิบๆ วัน มาทิ้งไว้ให้ เรียกว่าไม่ต้องออกไปไหนกันเลย ซึ่งหนทางก็ลำบาก เพราะอยู่ไกลทุรกันดาร ก็เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่ง

                “พ่อ…ฉันไปทุ่งหน่อยนะ” โด่งบอกผู้เป็นพ่อ

                “ไอ้โด่งส้วมก็มี มึงจะไปทุ่งทำไมทุกวันๆ”

                “โอ๊ย…ส้วมพ่อ ฉันไม่เอาด้วยหรอก เล่นเอาต้นมะพร้าวมาพาดสองต้น มองลงไปเห็นแล้ว…หดหมดกัน ทั้งสีทั้งกลิ่น ฉันไปทุ่งของฉันดีกว่า ได้ชมวิวด้วย”

                ว่าแล้วก็คว้าจอบติดมือไปด้วย เป็นอันรู้กันว่าไปไหนทำอะไร โด่งเดินฝ่าไร่แตงโมไปจนถึงพงหญ้าที่อยู่ไกลๆ เลือกหาที่เหมาะๆ ที่เป็นเชิงที่ลาด ก็จัดแจงขุดดินให้เป็นหลุมเพื่อทำธุระของตัวเอง

                ขณะที่กำลังนั่งทำธุระอยู่นั้น โด่งก็มองเห็นลังกระดาษใบใหญ่พอสมควรเหมือนถูกนำมาวางทิ้งไว้

                “หือ…ใครเอาลังอะไรมาทิ้งไว้ตรงนี้วะ”

                พอเขาทำธุระตัวเองเสร็จเรียบร้อยก็รีบรุดแหวกพงหญ้าไปดูลังหรือกล่องกระดาษที่ถูกวางทิ้งไว้ มีเชือกมัดไว้อย่างแน่นหนาพันอยู่หลายรอบ แต่มันกลับส่งกลิ่นเหม็นเน่าตุๆ จนต้องเอามืออุดจมูก…

                “อะไรวะ…หรือใครเอาปลาเค็มหรือเนื้อเค็มมาแอบทิ้งไว้ที่นี่ หรือพวกขโมยเอามาซ่อนไว้ เปิดดูดีกว่า”

                แล้วโด่งก็เอามีดที่เหน็บเอวมาด้วยตัดเชือกที่มัดกล่องไว้ถึงหลายชั้นจนขาด ทั้งฝากล่องก็เปิดอ้าออกทันที แล้วเขาก็เห็นถุงดำใบใหญ่อยู่ในกล่องนั้นอีกชั้น

                “พวกหัวขโมยเอามาแอบแน่ๆ ดีนะที่เรามาเจอ ต้องแกะดู”

                เจ้าโด่งพยายามลากถุงดำออกจากกล่องที่มีน้ำหนักหลายสิบกิโลด้วยความพยายาม

                “อะไรวะ ทำไมหนักแบบนี้….เอ้า..อึ้บ…เฮ้อ กว่าจะลากออกมาได้”

                เขาตัดเชือกที่มัดปากถุงออก พอปากถุงอ้าออกเท่านั้น เจ้าโด่งถึงกับเซผงะถอยหลังลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้า…เพราะสิ่งที่เห็นก็คือ ซากศพที่ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ พร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาทันทีที่ถุงดำเปิดออก

                เขาวิ่งเตลิดด้วยความตกใจกลัวกลับมาบ้าน พอถึงบ้านเขาก็แหกปากตะโกนลั่นๆ

                “พ่อ…พ่อ…เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พ่อ!!”

                ลุงปั๋นโผล่หน้าออกมาพร้อมกับเจ้าโด่งรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้านอย่างเหนื่อยหอบ รีบพูดละล่ำละลักทั้งชี้มือชี้ไม้ไปที่ชายทุ่ง

                “พ่อเกิดเรื่องใหญ่แล้ว มีคน…มีคนเอาศพใครก็ไม่รู้มาทิ้งใส่กล่องกระดาษ ฉัน…ฉันไม่รู้ไปเปิดดู มันถูกหั่นเป็นชิ้นๆ น่ากลัวมากๆ ทำไงดีพ่อ”

                ลุงปั๋นเองก็ตกใจที่ได้ยินอย่างนั้น พอเจ้าโด่งสงบลง แกก็บอกให้โด่งพาไปดู สองพ่อลูกเดินไปยังจุดนั้นทันที พอไปถึง…

                “คงถูกฆ่าจากที่อื่นแล้วเอามาทิ้งที่นี่ แต่ทำไมเอามาทิ้งที่นี่วะ ไกลก็ไกล จากถนนตั้งเยอะมันแบกกันมายังไงวะ”

                “เราจะทำยังไงดีล่ะพ่อ ขุดหลุมฝังให้เขาหน่อยดีไหม”

                “มึงจะบ้าเหรอไอ้โด่ง…ขืนเราเอาไปฝัง ตำรวจเขาก็หาว่าเป็นคนฆ่า ติดคุกตายห่ามึงกะกู เอาอย่างนี้ เดี๋ยวไปหาอะไรมาพันมาปิดไว้อีกที กลิ่นมันจะได้ไม่พัดไปไกล รอเจ้านายมา อีกวันสองวันเขาก็มาแล้ว ค่อยไปแจ้งตำรวจกัน ไม่งั้นเราจะไปยังไง สถานีตำรวจห่างจากที่นี่เป็นสิบๆ กิโล ไปๆ เราไปเอาเสื่อหรือไปหาอะไรมาช่วยกันคลุมไว้อีกที”

                “จะดีเหรอพ่อ ทิ้งไว้อย่างนี้ นี่มันศพกำลังเน่า เหม็นแล้วด้วย”

                “โอ๊ย ก็มันกำลังเน่านะสิ ถึงได้หาอะไรมาคลุมอีกที กลิ่นมันจะได้ไม่โชยไปทั่วเวลาลมพัด เวทนามันไม่รู้เป็นใคร ถูกเขาฆ่าแล้วเอามาทิ้ง เอาบุญลูก…ไม่ต้องกลัวเราทำดี”

                แล้วตาปั๋นก็หันไปพูดกับศพว่า

                “เออ ข้าก็ช่วยเอ็งได้เท่านี้แหละ อย่าดื้อล่ะ…เดี๋ยวข้าไปเอาอะไรมาคลุมเอ็งไว้ก่อน รอเจ้านายมาเขาจะได้พาไปแจ้งตำรวจ”

                แล้วสองพ่อลูกก็ไปเอาเสื่อเก่าๆ กับพลาสติกมาคลุมกันแมลงวันและกลิ่น ก่อนอื่นก็ช่วยกันมัดปากถุงไม่ให้กลิ่นมันทะลุทะลวงออกมาได้

                “เอ็งอยู่ตรงนี้ล่ะ ไม่ต้องตามพวกข้ามานะ ไม่งั้นพวกข้าไม่ช่วยเอ็งนะ”

                แล้วสองพ่อลูกก็รีบเผ่นกลับบ้าน วันนั้นทั้งวันทั้งสองคนเงียบกริบ แถมบรรยากาศรอบตัวเหมือนมันวังเวงบอกไม่ถูก เพราะทั้งสองรู้ดีว่าที่ขอบไร่มีอะไรอยู่

                ลำพังลุงปั๋นไม่เท่าไร แต่เจ้าโด่งเหมือนสะดุ้งกับเสียงอะไรนิดๆ หน่อยๆ ตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่พ้นสายตาของลุงปั๋นผู้เป็นพ่อ

                เขารู้ดีว่าการที่คนเราเห็นสภาพศพขนาดนั้นก็คงไม่มีใครมีจิตใจที่ปกติไปได้ ศพที่ถูกหั่นเป็นท่อนๆ กำลังเน่าขึ้นอืดพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่ามันช่างน่ากลัวจริงๆ

                ตกเย็นสองคนพ่อลูกขึ้นบ้านแต่หัวค่ำ พอจะขึ้นนอนเขาจะชักบันไดบ้านขึ้นเพราะป้องกันขโมยหรือใครมาทำร้ายเอาได้

                สองพ่อลูกหลังจากกินข้าวอิ่ม คนเป็นพ่อก็นั่งสูบยาเส้นพ่นควันอยู่ที่เชิงบันได ซึ่งมีลูกชายนั่งๆ นอนๆ อยู่ข้างๆ อยู่ๆหมาเจ้ากรรมก็วิ่งกรูไปหอนที่ราวป่าริมไร่แล้วก็วิ่งกันไปมาทั้งเห่าทั้งหอน

                “พ่อ…พ่อ หมามันไม่เคยหอนนะ หรือว่า…”

                “ไอ้โด่ง เอ็งไม่ต้องพูด…เราเข้าบ้านแล้วกัน พ่อว่าคืนนี้มันชักไม่เข้าท่า ไปๆ เข้าไปข้างในกัน”

                “พ่อ…พ่อ ดูนั่นก่อน เหมือนมีใครกำลังเดินมาตรงนี้น่ะ เห็นไหม”

                ผู้เป็นพ่อหันไปมอง เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่แต่อยู่ในเงามืด ลุงปั๋นรู้ทันที เพราะที่นี่ไม่มีใครนอกจากแกกับลูก นอกจากเวลาที่เก็บผลผลิตถึงจะจ้างชาวบ้านมาช่วย

                ลุงปั๋นทำท่าไม่ให้โด่งส่งเสียง แล้วแอบดูบนบ้านอยู่เงียบๆ…ร่างนั้นเดินย่างสามขุมเสียงดังสวบๆ จนมาถึงตีนบันได มองซ้ายมองขวาเหมือนพยายามหาทางจะขึ้นมาข้างบน

                เจ้าโด่งกลัวมาก เขากัดผ้าห่มไว้แน่น ลุงปั๋นเองก็รู้สึกหวาดว่าต้องใช่วิญญาณไอ้ศพนั่นแน่ๆ

                แล้วมันก็เดินวนรอบบ้าน…ที่รู้เพราะว่าหมามันวิ่งตามทั้งเห่าทั้งหอนแล้วมันก็พากันรุมเห่าอยู่ใต้ถุนบ้านตรงที่สองพ่อลูกกำลังแอบมองมันอยู่ เสียงโด่งกระซิบ

                “พ่อ ดีนะที่เราชักบันไดขึ้น ไม่งั้นมันขึ้นมาแน่”

                “เออไอ้นี่ มึงจะพูดทำไม”

                เหมือนว่าไอ้ผีที่อยู่ใต้ถุนมันจะได้ยินเสียงสองพ่อลูก มันกระทุ้งที่พื้นกระดานจนสะเทือน

                ปัง…ปัง…ปัง…ตึก…ตึก…ปัง…..

                โด่งชี้มือบอกพ่อว่ามันอยู่ข้างล่างนี่เอง สองพ่อลูกก็กลัว หลบไปยืนตรงไหนมันก็ตามไปกระทุ้งที่พื้น

                คนเราพอกลัวมากๆ ก็กลายเป็นความบ้าบิ่นขึ้นมา ลุงปั๋นเลยข่มใจร้องตะโกนออกไปว่า

                “เออ ไอ้ผีเนรคุณ…กูสองพ่อลูกช่วยมึงแท้ๆ ยังตามหลอกพวกกูอีก รู้อย่างนี้น่าปล่อยให้มึงเน่าอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักบุญคุณคนอื่น ไปให้พ้นเชียวนะ ไม่งั้นกูจะแช่ง แล้วกูก็จะไม่ไปแจ้งตำรวจด้วย”

                “พ่อ…พ่อจะบ้าเหรอ ไปด่ามันเดี๋ยวมันก็โกรธหรอก”

                “เออ กูก็โกรธ…ผีไม่รู้จักบุญคุณคน มึงไปเชียวนะ มึงไปรอที่ศพมึง ถ้ามึงไม่กลับไป กูจะไม่ไปแจ้งตำรวจ มึงก็จะหายสาบสูญไปเลย แล้วกูก็จะแช่งมึงด้วย ไม่ต้องผุดต้องเกิดกันละ”

                ได้ผล เสียงกระทุ้งพื้นเงียบ แล้วร่างเงาดำสูงใหญ่ก็ค่อยๆ เดินออกไปที่ริมไร่ เพราะมีหมาตามเห่าเป็นพรวน

                กว่าจะได้หลับได้นอน เพราะความหวาดระแวงเล่นเอาเกือบสว่าง มารู้สึกตัวตื่นอีกทีได้ยินเสียงเจ้านายมาเรียก เพราะเขาแวะมาเยี่ยมเอาของกินของใช้มาให้

                แล้วลุงปั๋นและโด่งก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง ไม่นานนักตำรวจก็แห่กันมาและมาเก็บศพไปพิสูจน์ว่าเป็นใคร ทำไมถึงถูกฆ่าและเอามาทิ้งที่นี่

                ทั้งหมดต้องไปให้การที่โรงพักว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตาย แล้วก็กลับบ้านจนผ่านไปได้เกือบเจ็ดวัน ตำรวจก็มาแจ้งว่าผู้ตายเป็นใคร เพราะอะไรถึงถูกฆ่าอำพรางศพ

                แล้วก็เป็นวันเดียวกับที่คืนนั้น ลุงปั๋นฝันว่ามีผู้ชายคนหนึ่งหน้าตาธรรมดา รูปร่างสูงใหญ่ มาขอบคุณที่ช่วยให้เขาไม่ตายฟรี เขายังบอกอีกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจหลอก เขาแค่อยากจะบอกว่าเขาเป็นใคร แต่พวกเรากลัวกันไปเอง…

                สภาพกระทุ้งพื้นใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว ผีนะไม่ใช่คนที่จะมาคุยกันได้ว่าอะไรเป็นอะไรนอกจากเข้าฝัน…เขามาขอบคุณ เขาบอกจะไปแล้ว เขาก็พูดว่าผมอายุ 32 นะ ลุงจำไว้นะ

                วันรุ่งขึ้น โด่งเข้าเมืองไปกับเจ้านายเพื่อเอาแตงโมไปส่ง ลุงปั๋นเลยสั่งให้ซื้อหวยให้แกคู่หนึ่ง เอาเลข 32 พอวันหวยออกแกถูกรางวัลที่สาม แกดีใจไปคุยฟุ้งว่าผีให้โชคแก

                “เห็นไหมโด่ง เราทำความดี บางทีมันก็ไม่เสียหลาย…แล้วนี่เอ็งไม่ไปทุ่งแล้วเหรอ เห็นบ่นปวดท้อง”

                “ไม่แล้วพ่อ ฉันว่าส้วมของพ่อก็ดีเหมือนกัน ใกล้บ้านอุ่นใจ ฮ่าๆๆๆ”

                จบกันไปอีกหนึ่งเรื่อง หวังว่าคงสร้างความสนุกสนานให้ทุกท่านนะคะ เราต้องกล่าวลากันเหมือนเช่นเคย อย่าลืมติดตามเราได้จากนิตยสารสุสานผีฉบับต่อไปค่ะ ขอให้ทุกๆ ท่านโชคดี มีความสุข ปราศจากโรคภัย แข็งแรงร่ำรวย ด้วยรักจากใจจากเราชาวสุสานผี สวัสดีค่ะ

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย. กฤตยา อยู่ประเสริฐ

ภาพโดย. Ai


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เรื่องที่เกี่ยวข้อง