27 กรกฎาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

            สำหรับเรื่องนี้มีความหลอนและน่ากลัวมาก จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนอยากท้าพิสูจน์ ในหนังและสารคดีอาจมีความน่ากลัว แต่เชื่อเถอะครับ มันน้อยและเทียบไม่ได้กับเหตุการณ์จริงดังเรื่องต่อจากนี้..

            เรื่องนี้เกิดขึ้นปี พ.ศ.2513 หรือเมื่อ 50 กว่าปีก่อน เมื่อโรเจอร์และแคโรลินพาลูกๆ ย้ายมาอยู่ที่ใหม่เป็นบ้านหลังใหญ่ มีพื้นที่กว้างกว่า 200 เอเคอร์ หรือ 500 กว่าไร่ และลูกๆ อีก 5 คน ที่เมืองแอร์ริสวิลล์ โร้ด ไอซ์แลนด์

            มีชื่อเรียกตั้งแต่สร้างเสร็จเมื่อ 285 ปีก่อน (ปี ค.ศ. 1736) ว่า “The Old Arnold Estate” มีอายุนับร้อยๆ ปี ย่อมต้องผ่านความเป็นอยู่และช่วงสมัยที่ต่างกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเพราะเอากันถึงตาย?

            เมื่อครอบครัวโรเจอร์ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว พวกเด็กๆ มักเห็นวิญญาณเดินไปมาทั่วบ้าน บางทีก็ขโมยของเล่นของพวกเขาไป หรือไม้กวาดในบ้านถูกย้ายที่เอง หรือบ้างก็ได้ยินเสียงขนแปรงไม้กวาดถูกับกระเบื้องห้องครัว

            เวลาแคโรลินออกไปข้างนอกแล้วกลับมา มักเจอเศษฝุ่นและเศษดินตามพื้นบ้านทุกครั้ง ยิ่งกว่านั้นวิญญาณบางตัวในบ้านยังเริ่มทำความรู้จักกับเด็กๆ เช่น วิญญาณชายหลังค่อม เจ้าของรอยยิ้มสยอง ผู้ชอบโผล่ออกมายืนมองเด็กๆ เล่นกัน เด็กๆ เริ่มพูดถึงและเรียกวิญญาณตัวนี้ว่า “แมนนี่”

            สองสามีภรรยาไม่เชื่อว่าเป็นการกระทำของผี เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นผีมาก่อน ยิ่งไม่เชื่อมันก็ยิ่งแสดงรุนแรงขึ้น บางทีก็ทำให้เตียงลอยจากพื้น เฟอร์นิเจอร์เคลื่อนย้ายที่ได้เอง ประตูบ้านเปิดปิดเองอย่างแรงจนรูปภาพแขวนตกลงจากผนัง

            โรเจอร์และแคโรลินเริ่มสืบค้นหาประวัติของบ้านในอดีต จึงรู้ว่าบ้านนี้เคยมีคนอาศัยมา 8 รุ่น มีหลายครอบครัวที่พบกับชะตากรรมอันน่าสะพรึงกลัว เช่น

            ครอบครัวอาร์โนลด์ ผู้อาศัยสมัยศตวรรษที่ 18 ความตายก็มาเยือน พรูเดนซ์ อาร์โนลด์ วัย 11 ปี ถูกชาวสวนข่มขืนและฆ่า ส่วนจอห์น อาร์โนลด์ หญิงชราวัย 93 ปีผูกคอตายที่โรงสีข้างบ้าน ตามด้วยจอห์นนี่ที่เป็นญาติผูกคอตายในห้องใต้หลังคา

            ต่อมา เกิดเหตุคนจมน้ำตายอีกสองศพในลำธารที่ตัดขวางพื้นที่บ้าน แล้วยังพบศพชายปริศนาสี่คนถูกแช่แข็งมานานหลายปี ก่อนครอบครัวอาร์โนลด์จะเข้ามาอยู่อีกด้วย

            หลังอ่านประวัติของบ้านสุดสยองจบลง พวกผีร้ายก็เริ่มสำแดงเดชในคืนนั้นทันที ลูกๆ ถูกหลอกและกลั่นแกล้งในห้องนอน โดนกระชากขา และถูกดึงผมตอนหลับ

            ส่วนซินดี้น้องเล็กถูกผีร้ายกระซิบข้างหูซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ในผนังห้องนั้นมีศพทหารฝังอยู่ นี่แค่เริ่มต้น แล้วสิ่งที่มาแรงกว่าคือ แม่มดแบธชีบา

            แบธชีบา เธเยอร์ ภรรยาของจัดสัน เชอร์แมน ที่แต่งงานกันช่วงกลางของศตวรรษที่ 18 แล้วได้ย้ายมาอยู่บ้านนี้และลูกคนแรกเขาเสียชีวิต ชาวบ้านอ้างว่าเธอฆ่าลูกเพื่อนำศพทารกน้อยไปบูชาให้ซาตานเพื่อแลกกับความงาม แล้วเธอก็ถูกจับกุม

            แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับการปล่อยตัวเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ เธออยู่ในบ้านนี้จนชรา และผูกคอตายใต้ต้นไม้หลังบ้านในช่วง 1890 เมื่อพบศพครั้งแรก ศพได้แข็งราวกับหิน หมายความว่าเธอทำผิดร้ายแรงและถูกลงโทษให้ศพแข็งกว่าศพปกติทั่วไป นี่คือเรื่องที่เล่ากัน

            แต่ในชีวิตจริงมีการบันทึกไว้ว่า แบธชีบามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของทารกน้อยที่เป็นลูกของเพื่อนบ้านที่เธอรับฝากเลี้ยง แต่ไม่มีหลักฐานว่าเธอเป็นฆาตกร เธอกับสามีตายพร้อมกันและถูกฝังตามพิธีกรรมทางศาสนาอย่างถูกต้อง

            แต่ทำไมผีร้ายแบธชีบาทำร้ายแคโรลิน? ตามร่างกายมีรอยถูกหยิก ตบ ทั่วร่าง บางทีก็ขว้างข้าวของในบ้านใส่ตอนเผลอ ที่หนักคือตอนนอนเล่นบนโซฟา น่องเธอถูกกรีดเป็นแผลยาวลึกจนเลือดไหลไม่หยุด

            เธอตัดสินใจจะย้ายบ้าน แต่แบธชีบาเข้าสิงเธอเสียก่อน จึงทำให้สามีเธอขอความช่วยเหลือจากเอ็ดและลอร์เรน วอร์เรน เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึง พบว่าแคโรลินพูดภาษาอื่นแปลกๆ และมีพละกำลังมหาศาล ทั้งผลักทั้งโยนคนอื่นกระแทกไปทั่วห้อง ทำให้เอ็ดและลอร์เรนตัดสินใจทำพิธีไล่ภูตผีปีศาจทันที

            แต่กลับทำให้สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้น โรเจอร์พาลูกย้ายออกจากบ้านชั่วคราว ผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดผีแบธชีบาก็ออกจากร่างของแคโรลิน แบธชีบาถูกขับไล่ออกไปแล้ว ครอบครัวพวกเขาจึงอยู่อย่างสงบนานนับ 10 ปี

            อันที่จริงผีไม่ได้ออกไปไหนแต่คงอยู่ เพียงแต่พวกเขาต้องอยู่กับวิญญาณอย่างเข้าใจและปรับตัวสุดๆ จนปี 1980 ได้ย้ายไปอยู่รัฐจอร์เจีย แต่แอนเดรีย ลูกสาวของโรเจอร์และแคโรลินเล่าไว้ในหนังสือของเธอว่า มีวิญญาณจากบ้านหลังนั้นตามไปหลอกหลอนพวกเขาในบ้านใหม่อีกด้วย

            ถ้าพวกเขาไม่ไล่ผี ก็อาจเสียชีวิตจากการสิงของผีในร่างคนใดคนหนึ่ง และทำร้ายจนถึงแก่ความตายได้ และตกเป็นฆาตกรได้

            มาดูอีกรายที่พูดไปก็ไม่มีคนเชื่อ ว่าฆาตกรคือตุ๊กตา มันเก่งถึงขั้นลงมือฆ่าคนได้จริงๆ ต้องบอกก่อนว่าในหนังกับเรื่องจริงมันต่างกันนะครับ

            ตุ๊กตาผีสุดเฮี้ยน แอนนาเบลล์ ตัวที่แสดงในหนังเป็นตัวสมมุติ ดูน่ากลัวน่าเกลียดกว่าตัวจริงเสียอีก เช่นนั้น เรามาดูเรื่องจริง เสียงจริง และหลอนจริงกันเลย

            เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1970 ดอนน่าได้รับของขวัญวันเกิดจากแม่ เป็นตุ๊กตาวินเทจที่ฮิตในยุคนั้น ทำด้วยผ้า ชื่อแรกคือ เกอดี้ แอนน์ ตุ๊กตาถูกวางไว้บนเตียงนอนในหอพัก เธอมีรูมเมทชื่อว่าแองจี้

            ผ่านไปไม่กี่วัน สองสาวสังเกตเห็นว่าตุ๊กตาแอนน์เริ่มขยับที่เองได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยู่หอพักเลย แรกๆ ก็ขยับจากที่เดิมไปไม่ไกลนัก แต่หลังๆ มันสามารถย้ายไปอีกห้องได้ และบางครั้งก็มีท่าทางเปลี่ยนไปอย่างวางขาไขว้กันบ้าง กอดอกบ้าง หรือจากที่ตั้งให้นั่งไว้ หันมาอีกทีตุ๊กตาก็ยืนตรงขึ้นมาเอง มันหลอนใช่ไหมล่ะ

            บางครั้ง เธอลองวางตุ๊กตาไว้บนโซฟาในห้องนั่งเล่นก่อนออกไปทำงาน พอกลับมาก็พบว่ามันเข้าไปอยู่ในห้องนอนเอง

            หลังจากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเกือบเดือน พวกเธอเริ่มสังเกตเห็นข้อความลายมือคล้ายเด็กเขียนทิ้งไว้บนกระดาษอบขนมว่า “ช่วยเราด้วย” และ “ช่วยโลด้วย” เธอไม่เข้าใจและไม่รู้ว่าใครเป็นคนเขียน ดอนน่าจึงขยำกระดาษทิ้ง นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด

            คืนหนึ่ง ดอนน่ากลับมายังหอพัก พบว่าตุ๊กตาแอนน์ย้ายที่เอง คราวนี้มันนั่งอยู่บนเตียงของเธอเอง เธอสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แปลกไปและเริ่มรู้สึกหวาดกลัว

            พอยกแอนน์ขึ้นมาดูก็พบว่า หลังมือและหน้าของแอนน์มีรอยเลือดเปื้อนอยู่ ดอนน่าจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องเหนือธรรมชาติทันที (ไม่ใช่เอ็ดและลอร์เรน)

            ต่อมา สองสาวรู้จักกับแอนนาเบลล์ ฮิกกินส์ เป็นวิญญาณเด็กวัย 7 ขวบ ทั้งสองพบร่างบนที่ดินบริเวณนี้ก่อนสร้างตึกหอพัก แอนนาเบลล์บอกว่า เธอรู้สึกชอบและสบายใจเวลาอยู่ใกล้กับดอนน่าและแองจี้ เธออยากอยู่กับดอนน่าและแองจี้ ทั้งสองคนตัดสินใจให้แอนนาเบลล์อยู่ด้วยกัน

            พวกเธอไม่สนใจคำเตือนจากโล เขาก็เจอเรื่องประหลาดจากตุ๊กตาแอนน์ ตั้งแต่วันแรกๆ ที่มันย้ายเข้าไปอยู่ในหอพัก โลเล่าว่าเขาตื่นขึ้นมากลางดึกคืนหนึ่งเพราะฝันร้ายเป็นเรื่องเดิมที่ตามหลอกเขา

            คราวนี้มันไม่ใช่ร่างกายของเขาขยับตัวไม่ได้ หางตาเขาเหลือบไปเห็นวิญญาณเด็กน้อย แอนนาเบลล์อยู่ปลายเท้า ก่อนเงามืดจะค่อยๆ คลานขึ้นมาตามตัว และนั่งนิ่งบนหน้าอกของเขา ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น แอนนาเบลล์ได้บีบคอโลอย่างแรงจนแทบเกือบหมดลมหายใจและสลบไป

            เช้าวันรุ่งขึ้นโลตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่มั่นใจว่า เรื่องที่เกิดขึ้นต้องไม่ใช่ฝันแน่ๆ เขาต้องการอยู่ห่างจากแอนนาเบลล์ เลยชวนดอนน่าและแองจี้จัดโร้ดทริปเล็กๆ ด้วยกัน

            วันต่อมา โลอ่านแผนที่เตรียมตัวไปโร้ดทริปกับแองจี้ จู่ๆ มีเสียงดังขึ้นในห้องของดอนน่า พวกเขานึกว่ามีโจรแอบย่องเข้ามาขโมยของ แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้อง ไม่มีร่องรอยบุกรุก เห็นเพียงตุ๊กตาแอนน์นอนอยู่กลางห้องตัวเดียวเท่านั้น

            โลอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนพบว่าหน้าอกของเขามีรอยกรงเล็บข่วนขนาดใหญ่ 3 นิ้วเรียงยาวตามแนวตั้ง ส่วนรอยกรงเล็บอีก 4 นิ้วเป็นแนวนอน บาดแผลลึกจนมีเลือดซึมออกมาและร้อนเหมือนแผลไฟไหม้

            แต่รอยแผลเหล่านี้ค่อยๆ ดีขึ้นและจางหายไปสองวันหลังจากนั้น ต่อมา ดอนน่าก็เชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาเผชิญอยู่ไม่ใช่แค่วิญญาณเด็กน้อยธรรมดา แต่เป็นปีศาจร้าย เธอจึงติดต่อกับบาทหลวงเฮแกน แต่ท่านบอกว่าพลังอำนาจของปีศาจตนนี้ยากเกินจะรับมือ จึงบอกบาทหลวงครูดให้เชิญสองสามีภรรยาวอร์เรนมา

            หลังจากไถ่ถามที่มาที่ไป เอ็ดและวอร์เรนบอกว่า ปกติวิญญาณร้ายไม่ได้สิงสิ่งของหรือสถานที่ แต่มันมักสิงผู้คน แต่ในเคสนี้คือมีปีศาจควบคุมสิ่งของ หลอกว่ามีผีสิงอยู่ในของเหล่านั้น เพื่อรอวันเข้าสิงผู้ที่จิตใจเริ่มอ่อนแออีกที

            ดังนั้น เรื่องวิญญาณเด็กจึงเป็นเพียงคำโกหกให้ดอนน่าใจอ่อนยอมรับตุ๊กตาอยู่ด้วยอย่างเต็มใจ เท่ากับว่าตุ๊กตาเป็นตัวกลางที่ได้รับอนุญาตให้ปีศาจใช้เป็นเครื่องมือแผลงฤทธิ์อย่างเต็มที่

            ทั้งหมดทำพิธีกรรมชำระล้างทั่วหอพักด้วยคำสวดยาวกว่า 7 หน้ากระดาษ มันไม่ใช่บทสวดขับไล่ปีศาจ แต่เป็นบทสวดศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ปกปักรักษาและคุ้มกันบริเวณหอพักด้วยพลังแห่งพระผู้เป็นเจ้า

            เมื่อเสร็จพิธี ดอนน่าไม่อยากให้มีเหตุอันตรายเกิดขึ้นกับเธอและเพื่อนๆ อีก มือปราบผีจึงนำตุ๊กตาแอนน์กลับไปทำพิธีสะกดวิญญาณที่ห้องเก็บของอาถรรพ์ของพวกเขา

            แต่ระหว่างทางกลับบ้านพวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายจากตุ๊กตาที่นั่งอยู่เบาะหลัง มันทำให้รถส่ายไปมา เกือบหลุดโค้งและเบรกแทบพัง และชนสิ่งของต่างๆ ตลอดทาง เอ็ดจึงจอดรถพรมน้ำมนต์ให้ตุ๊กตาผี เขาจึงกลับบ้านได้โดยสวัสดิภาพ

            แต่พอถึงบ้านก็แผลงฤทธิ์อีก ต่อมา เขาจึงสั่งตู้กระจกพิเศษมาใส่มัน นัยว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และมนตราด้วย เพื่อที่มันจะได้ไม่ออกไปทำร้ายใคร

            แต่เอาเข้าจริงๆ มันสามารถออกมาได้ และทำร้ายคนที่ท้าทาย ด่ามัน บางคนตายหลังจากออกจากพิพิธภัณฑ์โดยประสบอุบัติเหตุ บางคนรอดแต่ก็สาหัสทีเดียว

            เรื่องผีที่เป็นฆาตกรหรือเป็นผู้ควบคุมเข้าสิงคนนั้น เป็นเรื่องที่ตำรวจต่างปวดหัว เพราะไม่รู้จะจับกุมมาดำเนินคดีได้อย่างไร เพราะมันคือเรื่องเหนือธรรมชาติ

            แต่หากมันสิงคนให้ฆ่าคนอื่น คนที่ถูกจับและถูกศาลตัดสินก็คือคนที่โชคร้ายรายนั้น แต่เหมือนส่วนใหญ่จะไม่ตาย ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับจิตเวช รวมทั้งเรื่องเร้นลับเหล่านั้น

            คราวหน้าพบกับเรื่องราวน่าขนหัวลุกกันอีกนะครับ

เรื่องโดย กรุเก่า

ภาพโดย. Ai


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •