แม้เอ่ยถึงเรื่องผลกรรม ทุกวันนี้ผู้คนเชื่อว่ามีอยู่จริง แต่ก็ไม่วายที่จะกระทำกัน ซึ่งบางคนไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้นรู้อย่างเต็มอกว่าบาปแต่ก็ยังดันทุรังที่จะยืนท่ามกลางปล่องเหวนรกด้วยความเต็มใจ ดั่งเรื่องราวต่อไปนี้
ครอบครัวของเพื่อนเก่าผู้เขียน มีพี่น้องร่วมสายโลหิตรวม 3 คน มีพี่บุญล้ำ เป็นพี่สาวคนโต มีสำรวยเป็นน้องสาวคนรอง ตามด้วยสำลี เป็นน้องสาวคนเล็ก ในราว 50 กว่าปีก่อน ทั้งสามพี่น้องอยู่ในวัยเด็ก มีชีวิตวัยเยาว์ที่สุขสบาย พ่อแม่มีเรือโยงล่องข้าวถึง 5 ลำ ล่องมะพร้าวจากลุ่มน้ำท่าจีนไปค้าขายถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยา กระทั่งได้ขึ้นชื่อว่ามีเงินจากการค้าขายเต็มใต้ท้องลำเรือเลยทีเดียว เพราะคนสมัยก่อนไม่นิยมฝากเงินไว้กับธนาคาร และเมื่อค้าขายได้ก็เก็บเงินแบงก์ใส่ถุงกระดาษโชคดี ซุกไว้ตามท้องเรือ เมื่อครอบครัวจะใช้จ่ายเรื่องใดจึงค่อยรวบรวมถุงโชคดีเทเงินออกมาช่วยกันนับ
ทั้งนี้ผู้เขียนกับคุณสำรวย (ที่บัดนี้อยู่ในวัย 58 ปี) เธอเป็นเพื่อนเก่าที่สนิทกัน จึงทำให้ทราบถึงความเป็นไปของครอบครัวนี้เป็นอย่างดี โดยสมัยก่อนนั้น เท่าที่จำความได้ บรรพบุรุษของสำรวย ปู่ย่าตายายนั้นเป็นคนใจบุญสุนทาน มีจิตเป็นกุศล สร้างวัด สร้างเมรุ นำความเจริญจากตำบลสู่อำเภอก็หลายแห่ง โดยต่อมาครอบครัวได้รับนามสกุลพระราชทานเป็นศรีแก่วงศ์ตระกูลมาจนทุกวันนี้
เรื่องราวเป็นมาอย่างไรถึงต้องนำมาถ่ายทอดในกฎแห่งกรรม…? เมื่อบุญล้ำอายุ 15 ปี สำรวยมีอายุ 14 ปี สำลีน้องคนเล็กมีอายุ 13 ปี พ่อแม่ของทั้งสามพี่น้องถูกโจรปล้นเรือแล้วฆ่าปิดปากตาย แม้นชาวบ้านจะลงความเห็นว่าเป็นคนใกล้ตัว เนื่องจากสุนัขที่เลี้ยงไว้ที่ตีนท่า 5-6 ตัว มันไม่เห่าสักแอะ แถมเรือก็จอดฝั่งท่าบ้านตัวเอง หากตำรวจในสมัยนั้นก็ไม่คิดที่จะหาหลักฐานเพิ่มเติม สุดท้ายแล้วบิดามารดาของเพื่อนมีอันต้องตายฟรี ทำให้ชีวิตของทุกคนผกผันตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยเฉพาะสำรวยกับสำลีต้องจากบ้านที่ จ.สุพรรณบุรี เดินทางไปอาศัยอยู่กับญาติที่ จ.จันทบุรี ไปทำงานในสวนผลไม้ ส่วนบุญล้ำพี่สาวคนโตได้ชิงแต่งงานไป แบ่งปันสมบัติได้เป็นบางส่วน
ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ชีวิตต้องเป็นเช่นนี้เพราะถูกลุงกับป้าสะใภ้คดโกงสมบัติให้ตกทอดเป็นของตน (ลุงผู้นี้เป็นพี่ชายแท้ๆ คนเดียวของคุณพ่อคุณสำรวย) แต่บุญล้ำดูจะโชคดีกว่าน้องสองคน เนื่องจากผู้ชายที่เธอแต่งงานด้วย เขาเป็นลูกชายติดป้าสะใภ้ของเธอนั่นเอง ต่อมาบุญล้ำได้ให้กำเนิดบุตรชายเรียงไล่กัน 3 คน ไม่นานนักเธอได้กลับมานั่งชี้นิ้ว ได้ดีก็เพราะลูก เก็บความสุขสบายไว้แต่ตัวเธอและลูกผัว ไม่คิดเจือจานถึงน้องทั้งสองแม้แต่น้อย ส่วนชีวิตของสำรวยและสำลีไม่เคยได้รับความสุขสบายตั้งแต่จากบ้านมา รวมไปถึงการศึกษาก็ไม่ได้เล่าเรียนต่อ ในส่วนของสำรวยที่สนิทกับผู้เขียน วัย 10 ขวบของสำรวย ณ เวลานั้นได้พยายามเขียนและส่งจดหมายถึงข้าพเจ้าเฉลี่ยเดือนละ 2 ฉบับ เพื่อฝากถามถึงบิดาผู้เขียนที่เป็นญาติห่างๆ กัน ให้ช่วยถามไถ่ถึงทรัพย์สินที่ลุงกับป้าสะใภ้อ้างว่ารับฝาก ทั้งเรือ เงินสด ทองคำของพ่อแม่ยังอยู่ครบหรือไม่ และการที่ต้องเดินทางไกลมาถึง จ.จันทบุรี ก็ถูกพานั่งรถ บังคับให้ออกจากบ้านมา เนื่องจากเธอกับน้องสาวนั้นมีความเป็นอยู่ที่ลำบากมาก หากแต่ในเวลานั้นไม่มีใครหน้าไหนสามารถช่วยเหลือสำรวยและสำลีได้จริงๆ
กระทั่งล่วง 10 ปีผ่านไป ด้วยวัยเพียง 20 ปีต้นๆ ทำให้เธอกลายเป็นคนมีอุปนิสัยอดออม เมื่อทำงานเก็บเงินได้ สองคนพี่น้องจะห่อเงินไว้อย่างมิดชิด เก็บใส่กระถางต้นไม้ฝังดิน ทั้งสองมีความตั้งใจ เมื่อแอบเก็บเงินสดได้มากพอก็จะหาทางหนีกลับบ้านที่สุพรรณ เพื่อทวงสิทธิ์ในทรัพย์สินของเธอ และการที่ต้องขุดดิน เนื่องจาก 4-5 ปีที่ผ่านมา เงินเดือนจากการทำสวนผลไม้ของคนทั้งสองจะถูกญาติๆ หยิบยืมไม่เว้นแต่ละเดือน แม้จะทำเป็นทองใส่คอก็ต้องถอดให้ญาติ…เนื่องจากถูกข่มขู่นั่นเอง สำรวยเล่าว่า…วันที่มีความสุขของเธอกับน้อง คือวันพระที่ได้หยุดงาน ไปทำบุญให้พ่อแม่ที่วัด ชีวิตมีความสุขอย่างอบอุ่นก็ตรงนี้
กระทั่งปี พ.ศ.2525 ที่ดินรกร้างติดกับสวนผลไม้ที่สำรวยอาศัยอยู่เริ่มมีรถตำรวจ ทหารขับเข้า-ออก มาทราบภายหลังว่าผืนดินจำนวน 40 ไร่ผืนนี้จะสร้างเป็นแปลงทดลองของเกษตรโครงการหลวง ทุกๆ เช้า สำรวยและสำลีจะตื่นตาตกใจที่จะได้พูดคุยกับทหารตำรวจที่ใจดี ซึ่งคนมาทำงานที่เป็นเพื่อนบ้านใหม่ของเธอได้สอนหนังสือให้เด็กโข่งอย่างพวกเธอให้อ่าน เขียนภาษาไทย ภาษาอังกฤษได้ดี ซึ่งคนงานตามความคิดของสำรวยในเวลานั้น แท้จริงแล้วเป็นนักวิจัย เป็นข้าราชบริพารส่วนพระองค์ (ในรัชกาลที่ 9)
กระทั่งปี 2529 สำรวยได้สมรสกับข้าราชบริพารที่เดินทางมาปฏิบัติงานที่แปลงเกษตรหลวง สามีของสำรวยขอให้ภรรยาลืมเรื่องราวการถูกเอารัดเอาเปรียบในอดีตเพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ อุดมด้วยความดีงาม ในส่วนของสำลี สามีของสำรวยได้ส่งเสียให้น้องภรรยาเล่าเรียนต่อ (ปัจจุบันเธอรับราชการครู)
ที่ทราบเรื่องราวต่างๆ เนื่องจากผู้เขียนมีโอกาสพบกับสำรวยใน 5 ปีก่อน ปัจจุบันเธอใช้ชีวิตเรียบง่าย สุขสบายที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีที่ดินปลูกสวนปาล์มนับร้อยไร่ ครอบครัวในบั้นปลายชีวิต ทั้งลูกและสามีไม่มีใครนำความทุกข์กายใจมาให้เธอเลย ทว่าในสองปีที่ผ่านมา พี่บุญล้ำได้ออกติดตามจนได้พบกับสำรวยอีกครั้ง แต่การออกติดตามหาน้องสาวครั้งนี้จนพบเจอใช่ว่าพี่จะคิดถึงน้อง บุญล้ำกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ครอบครัว สามี ลูก แตกแยกคนละทิศทาง เธอเล่าถึงชีวิตให้น้องสาวฟังทั้งน้ำตาว่าปัจจุบันเธอเลิกรากับสามีแล้ว เนื่องจากเป็นนักพนันตัวยง…บุญล้ำต้องขายเรือทีละลำใช้หนี้พนันให้เขา ส่วนลุงกับป้าสะใภ้ (แม่สามี) ก็รถคว่ำตายไปหลายปีแล้ว ส่วนลูกชายทั้งสามคน เธอก็เลี้ยงอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ในที่สุดก็ผลัดกันเวียนเข้า-ออกคุกเป็นว่าเล่น เธอไม่เหลืออะไรแล้วในทุกวันนี้
พี่บุญล้ำวัย 59 ปีเล่าทั้งน้ำตา สำรวยเล่าว่าการพบกันครั้งนี้ เธอได้แอบช่วยเหลือเงินแก่พี่สาวถึง 3 หมื่นบาท พร้อมแหวนทองคำอีก 1 วงหนัก 1 บาท เพื่อให้พี่สาวเก็บไว้ในยามที่ขาดเหลือ แต่ไม่ทันครบเดือน บุญล้ำได้ขับรถเก๋งเก่าๆ มาหาน้องสาวอีก สำรวยเล่าให้ผู้เขียนฟังอย่างตั้งใจ “พี่ล้ำเธอเก็บของใช้ส่วนตัวมาเต็มคันรถ บอกคนขายยาบ้าที่มาพัวพันกับลูกชายที่ติดคุกได้ขู่ฆ่ายกครัว แกไม่รู้เรื่องอะไรด้วยจึงขอหนีร้อนมาพึ่งเย็น สามีก็บอก “ดีๆ พี่น้องจะได้อยู่ด้วยกันจริงจังเสียที” ส่วนสำลีเมื่อรู้ข่าวก็ดีใจ ขอให้เราเลี้ยงดูพี่ล้ำเป็นอย่างดี ถ้าไม่ลำบากจริง พี่ล้ำคงไม่ออกตามหาเรา”
ผู้เขียนจดจำคำพูดต่างๆ ได้ดีในครั้งที่พี่บุญล้ำได้มาขออาศัยอยู่กับสำรวยในระยะเริ่มแรก ทว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป เมื่อข้าพเจ้าพบคุณสำรวยคราวใด เธอมีสีหน้ามิสู้ดีนัก เมื่อไต่ถามว่าทะเลาะกับสามีหรือผู้พันโชติมาหรือ? คุณนายได้แต่ส่ายศีรษะตอบ ไม่ได้ทะเลาะกับแฟน แต่เป็นเรื่องระหว่างเธอกับพี่บุญล้ำ แล้วเธอก็ปริปากพูด “ทุกครั้งที่พี่ล้ำแกเจอพี่โชติ จะพูดทำนองหมาหยอกไก่กับเรา ทำนองว่าขอโทษนะ ขอยืมผัวใช้บ้างได้ไหม บอกตรงๆ ว่าชอบพอน้องเขยคนนี้ ถูกใจเสียทุกอย่าง คนอะไรอายุ 60 แล้วยังหล่อ ดูดี แถมมียศมีศักดิ์ ตอนแรกๆ คิดว่าคงพูดเล่น ก็พูดอยู่เป็นปีน่ะนะ”
เพื่อนถอนหายใจทั้งน้ำตา “จนเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ลูกสะใภ้คลอดลูกอยู่โรงพยาบาล เราต้องไปดูแล ก็เข้าๆ ออกๆ บ้านกับโรงพยาบาลนี่ล่ะ เช้าหนึ่ง พอกลับถึงบ้าน แฟนเรียกเราไปคุย บอกเมื่อคืนพี่สาวคุณแอบเข้าห้องนอนเราไปอาบน้ำ ตอนแรกแฟนคิดว่า เอ…แม่กลับมาเงียบเชียว ได้ยินแต่เสียงฝักบัวเปิดในห้องน้ำ เมื่อเดินไปดู โอย พี่ล้ำแกแก้ผ้าอาบน้ำให้เห็นจะจะ แถมชักชวนให้นอนกับแก สามีถาม คุณจะว่าอย่างไร ถ้าไม่ทำอะไรผมจะไล่! ขืนอยู่อย่างนี้ บ้านซวยตายเลย ไม่เข้าท่า นี่แฟนก็เข้าไปนอนบ้านในค่ายฯ ยังไม่เข้าบ้านเลย”
หากเหตุการณ์แรกนี้ สำรวยปลอบใจสามีไปคนละทิศทาง อ้างว่าพี่บุญล้ำเธอเพี้ยน เธอคงจะหลงลืมอะไรไปหลายอย่างเพราะความเครียด หากปรารถนาให้ครอบครัวเป็นครอบครัวต่อไปก็อย่าถือสาพี่สาวเลย ความที่ผู้พันโชติท่านรักภรรยาก็อะลุ่มอล่วยใจอ่อนตาม หากไม่ช้าไม่นาน พี่บุญล้ำก็ออกฤทธิ์อีก คุณสำรวยมีเรื่องร้อนใจมาเล่าให้ฟังอีก
“มีคนมาแอบเล่า เค้าเชื่อถือได้นะคะ พี่ล้ำไปที่ไหนก็นินทาเราที่นั่น ว่าที่ผ่านๆ มาเรามีผัวมาไม่รู้ต่อกี่คน ที่อยู่ด้วยกันทุกวันนี้เพราะมันทำเสน่ห์ใส่ ทำให้รัก…ไม่เชื่อว่าแกจะทำร้ายเราได้ ลูกเกิดจากพ่อแม่เดียวกันแท้ๆ คนทุกคนที่ฟังเค้ารู้จักเราดี พูดเป็นเสียงเดียวกัน พี่ล้ำเหมือนหอกข้างแคร่ พร้อมจะทิ่มแทงเราตลอดเวลา เลี้ยงงูเห่าเสียดีกว่า เพราะอย่างไรก็รู้ว่าเป็นงู จะได้ระวังตัว!” สำรวยเล่าไปน้ำตาไหลไปพลาง “เรานั้นให้พี่ล้ำทุกอย่างเลยก็ว่าได้ ขอเงินทองเราไม่เคยขัด เธอใช้เงินเก่งยิ่งกว่าเรา ตอนให้เงินเราแอบให้คราวละ 2-3 พัน เดี๋ยวๆ ก็มาขออีก รถเก๋งแกเราซ่อมให้คราวละ 7-8 พัน แอบซ่อมให้ เรื่องเสื้อผ้า เรื่องอื่นๆ เราทุกอย่าง ไม่เคยบ่นพี่เรื่องค่าน้ำค่าไฟ อยากทำอะไรที่สบายใจ พี่ทำไปเลย ทำไมต้องกลับมาทำร้ายกันอย่างนี้” ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ยุติได้ที่คุณสำรวยยอมเก็บความทุกข์ใจไว้แต่เพียงลำพัง
ทั้งนี้ระยะต่อมา…พี่บุญล้ำมักจะขับรถออกไปค้างคืนที่อื่นอยู่บ่อยๆ อ้างว่าไปวัด สำรวยเองก็ไม่เอะใจว่าเรื่องเลวร้ายต่างๆ ได้ตามมาอีก ราวสองอาทิตย์ถัดมา ผู้พันโชติได้มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคประหลาด คือในร่างกายจะมีตัวอะไรวิ่งพลุ่งพล่านจากศีรษะจรดปลายเท้าตลอดเวลา เมื่อตัวดังกล่าวหยุดบริเวณส่วนไหนของร่างกาย ก็จะมีอาการชาไม่มีเรี่ยวแรงในร่างกายส่วนนั้นเสียดื้อๆ บางคราวถึงกับต้องนอนนิ่งๆ ติดเตียง 2-3 วัน ขับถ่ายเสียที่ตรงนั้น
ส่วนของสำรวยนั้น เมื่อลืมตาตื่นจากที่นอน ไม่ว่าจะทำกิจวัตรประจำตัวใดๆ เธอมักได้ยินเสียงคนร้องเรียกชื่อ “สำรวย สำรวย” ติดอยู่ที่ข้างหู หน้าตาของเธอนั้นหมองคล้ำ ดูโทรมจนผิดหูผิดตา สองสามีภรรยาต้องประสบเหตุการณ์ที่ประหลาดอยู่นานนับเดือน กระทั่งบุตรชายคนโตของสำรวยได้มาปรึกษากับผู้เขียนว่าแทบจนปัญญาที่จะรักษาคุณแม่คุณพ่อแล้ว จึงได้แนะนำให้หลานชายได้พบครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเก่งด้านนั่งทางใน ดูสิ่งต่างๆ ที่คนทั่วไปมองไม่เห็น ตอนนี้อาจารย์ได้เดินทางจาก จ.เชียงราย มาพำนักที่กรุงเทพฯ ถือเป็นความโชคดีมาก จึงเดินทางไปขอความช่วยเหลือ ให้ท่านเพ่งพิจารณา โดยครูอาจารย์ได้เอ่ยทักทั้งที่ไม่เคยทราบความเป็นมา
“ที่บ้านของคุณมีมนตร์ดำครอบงำอยู่ เป็นคนมีวิชาอาคม อยู่ในคราบผ้าเหลือง เป็นคนกระทำอย่างไม่รู้บุญรู้บาป คนทำอีกคนนั้นเป็นผู้หญิงแก่ที่อยู่ใกล้ตัว” ต่อมาจึงได้รับตัวอาจารย์ไปยังบ้านของคุณสำรวย ซึ่งเมื่อคณะเราเดินทางถึงบ้าน แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าพี่บุญล้ำมายืนเท้าสะเอวจังก้า ขวางประตูไว้
“คนนี้นี่แหละคนบงการ ที่ว่าเป็นผู้หญิงแก่ใกล้ตัว” อาจารย์เอ่ยทันที ซึ่งก็ไม่พ้นตัวหลานชายที่เป็นคนพูดข่มขู่ “มึงออกจากบ้านกูไปเดี๋ยวนี้นะ ป้าก็ป้าเถอะ ยืนอยู่อย่างนี้ เดี๋ยวกูยิงไส้แตก!…ไม่เชื่อคอยดู” โดยที่ตัวลูกชายคนโตของสำรวยเขาก็รับราชการทหารเช่นกัน พูดไปคลำปืนพกที่อกไป พี่บุญล้ำถึงได้เลี่ยงไปทางอื่น
ต่อมาอาจารย์ได้เริ่มทำพิธีสวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธรูปภายในบ้าน โดยมีผู้พันโชตินอนหายใจรวยริน ไม่ใกล้ไม่ไกล ส่วนตัวของสำรวยเองก็อยู่ในสภาพที่อ่อนระโหยโรยแรง อาจารย์สวดมนต์นานมาก ราว 3 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพักเลย พวกเราได้นั่งฟังด้วยโดยไม่มีใครลุกขยับไปไหน ส่วนพี่บุญล้ำในเวลานั้นเดินวนรอบบ้าน ดูด้วยตาเปล่า…เธอกำลังกังวล ดูทุรนทุราย ไม่มีความสุขกายสุขใจ จนตะวันบ่ายคล้อย อาจารย์ได้ขอเสื้อผ้าชุดโปรดของผู้พันโชติและของสำรวยติดมือกลับคนละชุด กล่าวว่าจะกลับไปทำพิธีถอนคุณไสยต่อเนื่องให้จนครบ 3 วัน (เสื้อผ้าเปรียบเสมือนตัวแทนคุณโชติ และคุณสำรวย)
จนกระทั่งเวลาผ่านไปจนครบ 3 วัน อยู่ๆ อาการป่วยของผู้พันโชติได้หายเป็นปลิดทิ้ง ท่านกลับมาเดินเหินได้ตามปกติ ในส่วนของคุณสำรวยเองก็ไม่กระวนกระวายใจ ร้อนรุ่มในอกเหมือนดังแต่ก่อน เสียงเรียกชื่อข้างหูก็หายไป หากแต่ในสถานการณ์ที่กลับกัน ทุกตอนเช้า พี่บุญล้ำเธอจะเดินแก้ผ้า เปลือยกายล่อนจ้อนอย่างไม่สะทกสะท้าน บางคนว่าเธอแกล้งบ้าให้ครอบครัวน้องสาวอับอาย บางคนว่าเธอเป็นบ้าจริง! เพราะเคยทำคุณไสยมนตร์ดำใส่น้องเขย น้องสาวให้มีอันเป็นไปต่างๆ นานา เมื่อมีคนดี คนปฏิบัติดีมาช่วยแก้ไข ทุกอย่างที่ทำไว้จึงย้อนกลับมาที่พี่บุญล้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำรวยกล่าวกับผู้เขียนอย่างปลงตก คงเป็นกรรมเก่าของเธอและพี่สาวที่ต้องมาอยู่ร่วมกันในลักษณะนี้ หอกข้างแคร่คนนี้คงต้องอยู่จนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง ถึงได้ขึ้นชื่อว่า…หมดกรรมเก่าต่อกัน
ปล. หอกข้างแคร่ เป็นประโยคคำเปรียบเปรย “ที่บุคคลใดมีคนใกล้ตัว…คอยยุยง สร้างความเดือดร้อนให้ไม่หยุดหย่อน จะหลีกหนีก็ไม่ได้ เนื่องจากเป็นคนใกล้ตัวนั่นเอง!”
*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น
/
เรื่องโดย. ประทุมทิพย์
ภาพโดย. wallpapersafari.com, www.ukrgate.com, wallpaperaccess.com, www.producereport.com