14 พฤศจิกายน 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                จำได้ว่าสมัยที่ผมยังเด็ก วันไหนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วละก็ คุณแม่ท่านจะทำอาหารอร่อยๆ ให้พวกเราได้กินร่วมโต๊ะพร้อมกันเสมอๆ

                เมนูเด็ดฝีมือท่านมีอยู่หลายอย่างล้วนอร่อยๆ ทั้งนั้น ที่ผมจำได้ไม่ลืมก็เห็นจะเป็นแกงส้มดอกโศก กับต้มโคล้งปลากระบอก นึกถึงทีไรยังหวั่นใจไม่หายเลยสักครั้งเดียว

                สมัยที่ผมยังเด็กอยู่นั้น บ้านเก่าที่ปัจจุบันคุณแม่ท่านอยู่นี้ ลูกๆ ไม่ค่อยจะได้อยู่กันแล้ว พวกเราเคยอยู่กันที่บ้านแหลม

บ้านผมเรียกว่าโอ่โถง และมีที่ทางมากกว่าบ้านคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน อาจจะเพราะคุณพ่อท่านเลือกทำเลและมองดูลู่ทางไว้นานแล้ว เราถึงได้มีบ้านที่สบายแบบนี้

                จำได้ว่าตัวบ้านเราเป็นบ้านสองชั้น คุณพ่อท่านออกแบบเอง ท่านเป็นช่างเก่าฝีมือดี เรียกว่าช่างที่ฝีมือดีอย่างท่านนั้นหาตัวจับยากแล้วในสมัยนี้ บ้านหลังนี้ท่านก็ออกแบบเอง สร้างเอง และคุมช่างฝีมือเองกับมือเลยทีเดียว

                ตัวบ้านสร้างง่ายๆ ไม่ซับซ้อนมาก แต่ที่ซับซ้อนกลับเป็นการเข้าไม้และต่อเดือยในส่วนของปีกอาคารทั้งหมด ไม้กระดานแผ่นโตๆ ที่ต้องไสไม่ให้มีเสี้ยน ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

                ผมเคยใช้พื้นที่ชั้นบนมาทำเป็นห้องทำงานอยู่พักหนึ่งสมัยที่หันมาจับงานดีไซน์ เพราะพื้นที่ใช้สอยบนนั้นว่าง เป็นห้องโถงกลายๆ มีหน้าต่างจรดพื้นรอบห้อง เพดานสูง มีบันไดเล็กขึ้นสู่ชั้นบน และมีประตูเปิดโล่งยาวตลอดแนว ลายลูกกรงระเบียงก็เข้าไม้แบบพิสดาร ไม่ใช่ทำแบบง่ายๆ อย่างช่างปัจจุบันนี้

                สมัยก่อนวันไหนคุณพ่ออยู่บ้านละก็ ลูกๆ ล้อมหน้าล้อมหลังเลยทีเดียว ปกติคุณพ่อเป็นคนเฉยๆ ไม่ค่อยพูด ถึงกับพี่คนอื่นๆ ก็เถอะ มีเพียงพี่คนรองเท่านั้นที่ท่านเล่นหัวด้วยบ่อยๆ

                แม้กับผมเองที่เป็นลูกคนเล็ก ท่านก็ไม่เอาใจมาก แต่ท่านก็รักลูกทุกคน จำได้ว่าคุณพ่อท่านชอบทานกับข้าวฝีมือคุณแม่มาก และคงจะถูกปากท่านที่สุดแล้ว

                สมัยก่อนเวลาท่านว่างจากงาน คุณแม่มักจะทำอาหารให้ทานเป็นประจำ คุณพ่อท่านชอบทานแกงส้ม ผมเคยสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่า ผู้ชายมักจะทานแกงส้มและแกงเผ็ด ส่วนผู้หญิงมักชอบต้มส้มหรือแกงจืด คุณพ่อก็เหมือนกัน และแกงที่ท่านถูกปากมากที่สุดเห็นจะเป็นแกงส้มดอกโศก

                พูดถึงดอกโศก ไม่ทราบว่ายังมีใครรู้จักกันอีกหรือเปล่า เพราะสมัยนี้ก็หายากแล้ว สมัยก่อนจะมีปลูกไว้เยอะแยะแถววังบ้านปืน สองฟากถนนจะเป็นต้นโศกเรียงราย เวลาออกดอกกลิ่นดอกโศกจะฟุ้งไปหมดเลยทีเดียว ผมว่านี่แหละเป็นที่มาของเพลงกลิ่นดอกโศกที่ผู้ใหญ่รุ่นก่อนชอบฟังกัน

                ต้นโศกเป็นไม้เนื้อแข็งและเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางไม่สูงมากนัก แต่ก็มีบ้างที่สูงเอาเรื่อง ใบแหลมและยาว เวลาแตกใบอ่อนจะดูเขียวสดไปทั้งต้น ยิ่งเวลาออกดอกแล้วจะเห็นต้นโศกกลายเป็นสีส้มไปทั้งต้นเลย และก็ดอกโศกนี่แหละที่แกงส้มอร่อยนักหนา

                คุณแม่จะแกงส้มดอกโศกกับไข่และใส่กุ้ง แกงส้มจะออกรสชาติอมเปรี้ยวอมหวานจากดอกโศก และสีแกงจะเป็นสีส้มเพราะสีจากดอกโศกละลายออกมา น่าดูเป็นที่สุด

                และก็นี่แหละเป็นอาหารโปรดที่สุดของคุณพ่อ ผมเองเคยลองทานหลายครั้ง ชอบเหมือนกันแต่ไม่ชอบมาก อาจจะไม่ถูกลิ้นเด็กรุ่นๆ อย่างผมก็เป็นได้

                นึกถึงแกงส้มดอกโศกทีไร อะไรก็ไม่สนุกเท่ากับการออกไปเก็บดอกโศกที่ต้องออกไปเก็บกันเอง เพราะไม่เคยเห็นมีใครจะเอาดอกโศกมาขาย ไม่เหมือนดอกแค ดอกกระเจี๊ยบ หรือดอกไม้อื่นๆ ที่ยังพอหาที่ตลาดได้ แต่ดอกโศกนี่ไม่มีแน่ๆ จะกินก็ต้องไปเก็บเอาเองทุกบ้าน

                และแหล่งที่จะเก็บดอกโศกได้ก็ไม่พ้นสองข้างทางแถววังบ้านปืน พอถึงหน้าดอกโศกออกดอกพรืดดาษดื่นไปทั่วทั้งถนนแล้วละก็ คุณแม่จะให้ผมกับพี่สาวอีกสองคนไปช่วยกันเก็บ เสร็จแล้วก็เอามาล้างน้ำจนสะอาดก็นำไปทำแกงส้มได้

                วันไหนจะต้องเก็บดอกโศก ผมจะตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะจะได้ออกไปเที่ยว

                เราจะใจจดใจจ่อมาก ผมเตรียมตัวตั้งแต่เช้าทีเดียว พอเที่ยง กินข้าวเสร็จเรียบร้อย พี่สาวจะหาถังสองใบและเอารถมอเตอร์ไซค์ที่พวกเราเรียกกันว่ารถเครื่องออกมา

                เราจะนั่งซ้อนกันไปสามคน ผมตัวเล็กนั่งข้างหน้า ขี่รถป๊อกแป๊กๆ ไปไม่นานก็ถึงแหล่งดอกโศก เราจะเอาไม้ยาวๆ มาสอย เก็บได้พอสมควรก็กลับ แต่เวลานั่งเก็บ ผมมักจะอู้ ดูโน่นดูนี่อยู่เสมอ

                คนอื่นที่เดินไปเดินมาก็ไม่เห็นแปลกว่ามาสอยดอกโศกทำไม ไม่มีใครหวง เพราะทิ้งเอาไว้มันก็ร่วงเสียของเปล่าๆ และเราเก็บไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเก็บจนหมดถนนหรือหมดต้นซะที่ไหน

                พอเก็บได้เต็มถังแล้วก็กลับ เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง ไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไรเลย แต่แล้ววันหนึ่งไอ้การไปเก็บดอกโศกมาทำแกงส้มก็กลายเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้

                ผมจำได้ดีว่าวันนั้นมันรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว เพราะผมรู้สึกใจสั่นชอบกล แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพอพี่เตรียมรถ วันนั้นผมลังเลว่าจะไปหรือไม่ไปดี แต่สุดท้ายก็ซ้อนรถไปกับพี่ๆ เค้าด้วย เพราะอย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าอยู่เฉยๆ ในบ้านล่ะน่า

                วันนั้นไม่รู้เป็นไง ทุกครั้งเราจะมากันแต่หัววัน แต่วันนั้นต้องรอพี่สาวเลยช้าไปหน่อย กว่าจะเรียบร้อยออกจากบ้านก็บ่ายสามโมงกว่าแล้ว กว่าจะขับรถกว่าจะกระดืบๆ มาถึงก็ปาเข้าไปสี่โมงพอดี

                อะไรไม่ร้ายเท่า วันนั้นอากาศไม่ค่อยจะเป็นใจเสียอีก ทุกทีอากาศร้อนสว่างไสวเพราะเป็นช่วงกลางวันแสกๆ มาวันนี้อากาศขมุกขมัวน่าดู สงสัยฝนมันทำท่าจะตกก็เลยรีบเก็บกันหน่อย

                เราวางถัง จอดรถเรียบร้อยก็มาหาดอกโศกกัน เพราะมันจวนจะวายเต็มทีแล้ว แต่มันก็ไม่ถึงกับหมดซะทีเดียว พี่สาวเห็นต้นหนึ่งอยู่ที่หัวมุม ตรงนั้นเงียบเหงาวังเวง ไม่ค่อยมีคนด้วย

                ผมวิ่งตามพี่ๆ มาติดๆ ดอกโศกต้นนี้มันอยู่ในที่ลับตาคน ไม่มีคนเก็บเลย ดอกก็เลยบานหอมฟุ้งไปทั่ว พี่สาวรีบเอาไม้สอยทันที ไม่นานเราก็ได้ดอกโศกเต็มถัง กำลังจะสอยใส่อีกถังก็ได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากต้นโศกซะก่อน

                ครั้งแรกผมคิดว่าเป็นพวกกระรอก กระแต หรือตัวอะไรที่ทำรังอยู่บนต้นไม้ เราไปรบกวนใกล้ๆ รังมัน มันก็เลยร้องออกมา แต่พอหาดูจนทั่วแล้วก็ไม่เจอกระรอกอะไรที่ว่านี่เลย

                แต่ตอนนี้เสียงแปลกๆ นั้นเงียบไปแล้ว พอพี่สาวเอาไม้แหย่ไปบนต้นไม้หมายจะสอยดอกโศกช่อใหญ่ก็มีเสียงดังขึ้นมา คราวนี้ดังกว่าเก่าด้วย

                พี่สาวรีบชักไม้กลับ แต่ปรากฏว่าไม้สอยมันติดอะไรสักอย่าง พี่สาวสองคนช่วยกันดึง แต่ดึงเท่าไรก็ไม่หลุดลงมา พี่สาวคนรองเลยกระชากเต็มแรง

                คราวนี้ไม้หลุดออกมา แต่ทว่าที่ปลายไม้มีอะไรบางอย่างยืดตามลงมาด้วย ผมมองไม่วางตาว่าสิ่งที่ติดลงมานั้นเป็นอะไร…ให้ตายสิ….

                …มะ…มันเป็นมือคน มือคนที่ยาวมากๆ

                มือนั้นกำส่วนปลายของไม้เอาไว้ พี่สาวชะงักตาค้างด้วยความตกใจ อีกคนร้องเอิ๊บดังลั่น แล้วเราก็ได้เห็นหน้าคนคนหนึ่งโผล่ลงมาด้วย

                เค้ากลับหัว คือห้อยหัวลงมาและมือก็ยังกุมเอาปลายไม้ของพี่สาวเอาไว้ ก่อนที่จะหยุดมองเราทีละคนๆ

                เราถอยหลังกรูด พี่สาวปล่อยไม้หล่นลงพื้น ถอยหลังออกมาอีกคน ผมต่างหากที่ตกตะลึงไม่วางตา จ้องมองคนที่ห้อยหัวลงมาหาเรา ก่อนที่เค้าจะหดตัวกลับขึ้นไปก็หันมายิ้มกับเราอีกครั้ง

                และที่มุมปากทั้งสองข้างของเขา…เขาฉีกยิ้มขึ้นไปจนถึงใบหูเลยทีเดียว แล้วร่างเก้งก้างนั้นก็หดตัวกลับขึ้นไปบนต้นไม้ตามเดิม

                พี่ผมวิ่งออกไปแล้ว แต่พี่รองเห็นผมตกตะลึงอยู่ก็ต้องวิ่งมาลากผมไปด้วย เพราะผมตกใจจนก้าวไม่ออก เรารีบวิ่งกลับไปเอารถเครื่องแล้วขี่กลับบ้านทันที

                พี่สาวคนโตยังใจเด็ดหิ้วถังกลับมาด้วยแม้ว่าดอกโศกในถังจะกระจัดกระจายเกลื่อนไปหมดก็ตาม พอเราสตาร์ตรถก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังไล่หลังเรามา…

                ….เหมือนมีคนสี่ห้าคนหัวเราะหยอกล้อกันอยู่บนต้นโศกต้นนั้นเลย

                เรากลับมาถึงบ้านในสภาพที่ดูไม่ได้ มอมแมมเป็นลูกหมาทั้งสามคน คุณพ่อและคุณแม่ต่างก็ถามเราว่าเป็นอะไรไป เพราะเห็นสภาพเราแล้วมันไม่ปกติแน่ๆ

                เราเล่าให้ท่านฟัง พอจบท่านก็ให้รีบอาบน้ำ กินข้าวปลาแล้วขึ้นไปไหว้พระทั้งสามคน คืนนั้นผมไข้ขึ้นละเมอทั้งคืน รุ่งเช้าต้องไปหาพระที่วัดให้รดน้ำมนต์เป็นการใหญ่ ไข้ถึงได้ทุเลาลง แต่ก็ยังเจ็บกระเสาะกระแสะมาอีกหลายวัน

                ตั้งแต่นั้น คุณพ่อก็เลิกให้พวกเราไปเก็บดอกโศกมาทำกับข้าวกินกันอีก…

                …ส่วนพวกเราก็ไม่เยี่ยมกรายไปแถวนั้นอีกเลย เพราะมารู้ทีหลังว่า ที่ต้นโศกต้นนั้นเคยมีคนผูกคอตาย…อาจจะเพราะเค้าตายอยู่ที่นั่นโดยไม่มีใครสนใจ และวิญญาณของเขายังคงวนเวียนไม่ได้ไปไหน มันก็เลย…ทำให้เขาปรากฏร่างออกมาหลอกผู้คน และเป็นที่ร่ำลือกันว่า…

                “…ผีที่ต้นโศก…ช่างดุนักดุหนา…แย่จริงๆ”

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย จุติ จันทร์คณา

ภาพโดย. Ai


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เรื่องที่เกี่ยวข้อง