7 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ข่าวการจากไปจนถึงแก่ชีวิตของนายมานะด้วยการถูกฟ้าลงทัณฑ์ หรือฟ้าผ่าตาย ทำเอาบุคคลใกล้ชิดและเพื่อนร่วมงานต่างพากันตกใจ

                จากหน้าที่การงาน…นายมานะมีหน้าที่การงานเป็นอาสาสมัครรักษาดินแดนอยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มานานนับสิบปี ซึ่งมานะเป็นนักแม่นปืน ผ่านการปะทะกับโจรใต้ เด็ดหัวทะลุมาก็หลายศพ ไม่น่าจะมาเสียชีวิตโดยการถูกฟ้าผ่า ทั้งที่ ณ เวลานั้นเขาอยู่ในกลุ่มเพื่อนกลางป่า แต่สายฟ้ากลับฟาดลงที่เขาคนเดียว

                มานะจากไปด้วยวัยเพียง 45 ปีเท่านั้น เจ้าหน้าที่ร่วมงานหลายฝ่ายต่างบ่นเสียดายในความใจถึงของเขา…หากจะมีแต่คนใกล้ชิดที่รู้จักเขาดีเท่านั้น การที่มานะต้องมาจากไปก่อนวัยอันควรเป็นเพราะแรงกรรมอันเกี่ยวพันจากแรงสาบานนั่นเอง!

                จากการลงพื้นที่มากว่า 15 ปีของอส. มานะ เขาเป็นคนหนึ่งที่ถูกผู้ใหญ่ (บุคคลที่มีอำนาจสูงกว่า) เรียกไปใช้งานด้านสายข่าวหนึ่ง เนื่องจากเขาเป็นคนในพื้นที่และเกิดในสามจังหวัดชายแดนใต้ และที่จำเป็นยิ่งยวดคือเขาพูดเขียนภาษายาวี เขียนแปลภาษาอารบิคได้เป๊ะมาก ไม่ว่าโจรจะเขียนสื่อสารมาถึงเจ้าหน้าที่รัฐในรูปแบบไหน อส.มานะจะมีหน้าที่ช่วยแปล ทั้งคำด่า คำขู่…ประมาณนั้นฯ

                ส่วนด้านการใช้ปืน อส.มานะไม่เคยเป็นสองรองใคร เขาถูกนายเลือกตัวใช้งานอยู่บ่อยๆ นับว่าเขามีคนที่นับหน้าถือตากว่าใครในหมู่เพื่อนอส.ด้วยกัน แต่เหรียญนั้นย่อมมีสองด้านเสมอๆ เพราะด้านครอบครัวของ อส.มานะถือว่าเทาดำ…ครอบครัวของมานะ มีภรรยา 1 คน มีบุตรสาว 1 คน อายุปัจจุบัน 13 ปี เด็กหญิงมีปัญหาด้านสายตาทั้งสองข้างตั้งแต่กำเนิด ต้องสวมแว่นสายตาหนาเตอะ ต้องเปลี่ยนแว่นทุก 6-12 เดือน ส่วนภรรยาของมานะนั้นชอบแต่งตัวสวยๆ อยู่บ้าน มีเครื่องทองหยองใดก็โปะเต็มพิกัด ชนิดที่ไม่แคร์ความปลอดภัยจากโจรแม้แต่น้อย คุณวันเพ็ญมักอ้างเมื่อเพื่อนฝูงตักเตือนด้วยความปรารถนาดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

                “ชีวิตทุกวันนี้ ขับรถไปส่งลูกไปโรงเรียน ก็เลยเข้าบ่อน ไม่มีโอกาสได้เจอคนภายนอกสักเท่าไหร่ จะไปกลัวอะไร หากเก็บเครื่องทองหยองไว้กับบ้านนั่นสิ ไม่แน่…ไม่วันใดก็วันหนึ่งถูกยกเค้าแน่! แถมทุกวันนี้ ใครต่างก็รู้ พี่มานะบ้านอยู่ไหน หนีมาบ่อนเนี่ยปลอดภัยที่สุด ไม่ต้องเสี่ยงที่จะต้องอยู่บ้านคนเดียวตามลำพัง”

                ซึ่งเพื่อนในบ่อนพนันต่างอวยเห็นดีเห็นงาม เนื่องจากอุปนิสัยของวันเพ็ญ เธอเป็นคนชนิดที่ใจถึงพึ่งได้ ไม่เคยสร้างปัญหาให้ใคร แม้แต่เพื่อนบ้านอย่างผู้เขียน เช่น หาก อส.มานะเข้าเวรติดๆ กันหลายวัน วันเพ็ญก็จะฝากลูกสาว (น้องแว่น) และสุนัขอีก 4-5 ตัวให้ผู้เขียนดูแล หายไป 2-3 วัน กลับมาก็หอบข้าวของพะรุงพะรังมาฝาก กราบขอบคุณเราอยู่อย่างนั้นที่ช่วยสอนหนังสือให้หนูแว่นและเลี้ยงหมาให้ ที่ยกประเด็นปลีกย่อย เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อมาเนื่องจากความเหินห่างจากบุคคลในครอบครัวเป็นที่ตั้ง เพราะวันหนึ่งในต้นเดือนมิถุนายน วันเพ็ญมาเคาะบ้านผู้เขียน ระบายความในใจ

                “พี่นะเค้ามีเมียน้อยนะป้า อันที่จริงมีคนมาส่งข่าวให้หนูฟังนานแล้ว แต่ไม่เคยเชื่อคำพูดคนอื่น นอกจากเชื่อใจคนในครอบครัวเรา” เธอเริ่มร้องไห้ “ข่าวว่ามันเป็นคน อ.เบตง และมีครอบครัวแล้ว ผัวของมันก็มีอยู่ทนโท่ ลูกอีกสาม ที่หนูเชื่อสนิทใจเพราะผัวของอีนี่มันโทรศัพท์มาเล่าทุกอย่างให้หนูฟัง หนูสุดแสนจะอับอายค่ะคุณป้า เวลาไปทางไหน เจอใครก็ได้แต่คุยฟุ้ง พูดเต็มปาก พี่มานะเป็นคนดี รักครอบครัว ไม่เจ้าชู้ แต่หารู้ไม่ เขาสองคนพากันควงกันไปไหนมาไหน พากันไปเข้าโรงแรมมาเป็นเดือนแล้ว วันเพ็ญซะอีกที่มีทุกอย่าง กลับกลายเป็นอีโง่…อีงั่งภายในพริบตา ทันทีที่รู้ข่าวจากผัวของมัน!”

                “ผู้ชายคนนั้นพูดอะไรบ้าง?” ฉันถาม

                “ครอบครัวเขาเป็นคนค้าขายอยู่ อ.เบตง เขากับเมียเป็นคน จ.เชียงราย แต่ย้ายถิ่นฐานมาก่อร่างสร้างตัวที่ อ.เบตง เมื่อ 20 กว่าปีก่อน จนปัจจุบันเปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเล็กๆ ที่ตึกแถวหนึ่งคูหาในตลาด ซึ่งตอนแรกหนูเองยังไม่เชื่อ แต่เขาก็ได้ปล่อยรูปแอบถ่ายที่คนสองคนเขาเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกัน แม้กระทั่งพาเข้าไปนอนโรงแรมที่…ปรากฏว่าใช้รถของพี่นะ ทุกอย่างคือเขาจริงๆ หนูย้อนถาม แล้วเฮียจะเอาอย่างไร เขาตอบอย่างปลงตกว่า เมียเขาเลือกที่จะอยู่กับ อส.คนนี้ เขารักกัน แต่เมื่อถามกลับว่า อส.มานะเขาไม่มีเมียรึอย่างไร เมียก็ตอบว่า เขาคุยกันรู้เรื่องดี ผมถึงได้ดิ้นรนสืบหาเบอร์โทรศัพท์คุณ อยากถามว่ายินยอมเต็มใจหรือที่จะให้ผัวไปมีอีกคน?”

                ผู้เล่า เล่าไปสะอื้นไป “หนูตอบเฮียคนนี้ไปตามตรงว่าหนูเพิ่งรู้ความจริงกระจ่างกับเฮียนี่ล่ะ ทั้งที่หลายเดือนก่อนจนถึงวันนี้มีแต่คนมาฟ้อง พี่นะมีกิ๊กนะ พากันไปนั่งกินข้าวร้านนั้น…พากันเข้าโรงแรมนี้ ซึ่งเฮียแกก็พูดนะคะ ย้ำเลย หากคุณเต็มใจที่จะอยู่กันสามคนผัวเมียผมก็ยอมใจ หนูก็บอกไม่เป็นไร หนูจะคุยกับแฟนเอง จะให้เขาเลิกกัน…เฮียสบายใจได้ เพราะพี่นะเขารักหนู รักลูก อย่างน้อยก็เพื่อหน้าตาทางญาติ ทางสังคม อย่างไรเราก็เลิกกันไม่ได้ หนูพูดให้เฮียคนนี้เขาสบายใจค่ะ หนูกับเขาต่างเจ็บไม่แพ้กันหรอกค่ะ แต่คิดว่าอย่างไรเสีย คำว่า…น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย ให้ต่างฝ่ายต่างใจเย็นเพื่อยื้อการเจรจาตกลงเป็นดีที่สุดนะคะ”

                ทั้งนี้วันต่อๆ มาได้เห็นคุณมานะเดินทางไปไหนคู่กับคุณวันเพ็ญถี่ขึ้น…ดูคนทั้งคู่รักกันเหมือนคู่หนุ่มสาว แต่ไม่ทันพ้นสองอาทิตย์ ได้มีผู้หญิงคนหนึ่ง รูปร่างเล็กๆ มีผิวขาว หน้าตาดี อายุไม่น่าเกิน 40 ปี ได้มาหามานะถึงบ้าน และทันทีที่คนสามคนมาเจอหน้ากัน ฝ่ายหญิงที่เดินทางมาได้ตัดพ้อต่อว่ามานะทั้งน้ำตา ตามด้วยคำพูด “หนูสู้อุตส่าห์ทิ้งลูก ทิ้งผัวมาอยู่กับพี่ และพี่บอกว่าเลิกกับเมียแล้ว ทำไมพี่ทำกับหนูอย่างนี้ หนูหมดกับพี่มาเท่าไร เสียทั้งตัว เสียทั้งเงิน ยังไม่ได้ใจของพี่อีกหรือ?” เธอพูดไปร้องไห้ไปอย่างไม่อายต่อสายตาผู้ที่ผ่านไปมา

                ต่อมาผู้หญิงคนดังกล่าวได้ถามมานะซึ่งๆ หน้าว่า รู้อย่างนี้แล้วจะเอายังไง เขารีบปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่เคยมีอะไรกับเธอ…เธอต่างหากที่มโนไปเอง เพราะเห็นว่าเขามีฐานะดี มีความสามารถสูง และมีบุคลิกหน้าตาดี ล้วนเป็นคำพูดที่ปวดใจ ยอมรับว่าผู้เขียนที่มีบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามยืนแอบฟังทุกถ้อยคำ ซึ่งหากผู้หญิงคนนี้เป็นคนรู้จักหรือญาติพี่น้อง ดิฉันจะรีบพาเธอกลับบ้าน และให้เหยียบฝังชื่อผู้ชายคนนี้เอาไว้ใต้รองเท้าให้นานแสนนานจนชั่วชีวิต!

                และในส่วนของวันเพ็ญ ซึ่งเป็นที่แน่นอน ในเมื่อสามีได้ออกโรงปกป้องครอบครัวถึงเพียงนี้ ก็ให้ยิ้มจนแก้มปริ “กลับไปซะ แค่นี้เธอคงพอเข้าใจแล้วสินะ ว่าผัวฉันนั้นเอาเธอแก้เหงายามที่อยู่ไกลบ้าน ไกลเมีย ทุกอย่างขอให้เลิกแล้วต่อกันจ้า” วันเพ็ญยืนเท้าสะเอว สะกดคำให้ได้ยินชัดเจน

                “เออ กูไปแน่ แต่กูขอถามไอ้นะสักคำว่ามึงกล้าสาบานไหม ที่มึงอ้างว่ากูนั้นคิดไปเอง มโนไปเอง…” อยู่ๆ ผู้หญิงคนนี้ได้เปล่งคำพูดเหล่านี้ออกมา “กล้าสาบานกับกูต่อหน้าเมียมึงสิ แล้วกูจะไป”

                เขาลุกออกจากเก้าอี้ ยืดอกพูด “ได้…มึงมาให้ท่า มาอ่อยกูก่อนเองนะ ลองนึกดูดีๆ สิ”

                “ไอ้เลว”

                “จริงๆ ไม่งั้นกูจะกล้าสาบานต่อหน้าเมียกูเหรอ เอาไงก็ได้ ว่ามา…”

                “ขอให้มึงฟ้าผ่าตาย!”

                “ด้ายย…มึงกลับไปเถอะ กูอย่างไรก็ได้ มึงเองก็มีผัวแล้ว กลับไปอยู่กับลูกกับผัวซะ” น้ำเสียงท้ายๆ เป็นคำพูดราวพ่อพระสั่งสอน ผู้หญิงคนนั้นยกมือไหว้ขึ้นฟ้าก่อนที่จะขับรถออกไป ความโล่งใจของสองสามีภรรยาคู่นี้กลับมาอีกครั้ง ทั้งนี้วันถัดมาเป็นวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลเข้าพรรษา เพื่อนบ้านร่วมซอยต่างแยกย้ายกลับบ้านต่างจังหวัด ครั้นพอวันเปิดทำงานก็ทราบข่าวจากวันเพ็ญ

                “คุณป้าจำอีบ้านั่นที่มายืนโวยวายกับพี่นะเมื่ออาทิตย์ก่อนได้ไหมคะ นั่นล่ะค่ะมันผูกคอตายที่หลังบ้านมันในคืนวันพระที่ผ่านมา หมดเวรกันเสียที!” คุณวันเพ็ญพูดทิ้งไว้แต่พอเข้าใจ ก่อนจะขับรถออกจากบ้าน เข้าบ่อนตามปกติ ไม่ยี่หระ สะทกสะท้านใจกับชีวิตที่จากไปแม้แต่น้อย ครั้นเมื่อเจอหน้าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น คุณวันเพ็ญมักพูดจาไม่ดีต่อผู้ที่จากไป “คนมันทรยศหักหลังลูกผัวก็เป็นอย่างนี้ ต้องมีอันเป็นไป ถึงมีชีวิตอยู่ก็ทำมาหากินไม่ขึ้น พวกผิดศีลข้อ 3”

                ทว่าผู้ฟังบางคนได้ขัดคอไปบ้าง “คนตายก็ตายไปแล้ว อย่าพูดให้เป็นบาปเป็นกรรมเลย”

                ในที่สุดวันเพ็ญได้สารภาพทั้งน้ำตา “หนูเจ็บจนจุกนะ แต่ไม่มีใครรับรู้ด้วยหรอก ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอก แต่เราต้องเอาใจ ต้องรั้งผัวเราไว้ก่อน เพื่อครอบครัวจะได้เป็นครอบครัวต่อไป เรื่องเดิมๆ จะได้ไม่เกิดขึ้นอีก”

                “มานะรู้รึยังว่าผู้หญิงคนนั้นผูกคอตาย”

                “รู้สิ แต่เขาไม่ยุ่ง อยากทำร้ายตัวเอง ใครจะไปห้ามได้”

                “อย่างน้อยก็จุดธูปขออโหสิกรรมกลางแจ้งก็ยังดี จะได้ขาดกัน ไม่ต้องมาจองเวรถึงชาติหน้า!” ซึ่งวันเพ็ญตอบโต้ว่า ชีวิตเธอไม่ต้องพูดถึงชาติหน้า ขอให้อยู่รอดชาตินี้เพียงชาติเดียวก็พอ ซึ่งชาติหน้าดังกล่าวไม่รู้จะมีจริงรึเปล่า? หากเมื่อได้ขึ้นชื่อว่าคำสาบาน คนชอบสาบานที่มักเอาฟ้าดินมาอ้าง ต้องขอเรียนว่าไม่ใช่เรื่องที่ใครจะพูดกระทำอย่างล้อเล่นหรือให้ผ่านไปทีได้!

                ถัดจากเหตุการณ์ที่ผู้หญิงคนนี้เสียชีวิต ได้ทำการฌาปนกิจศพในวันที่ 12 กรกฎาคม ตกตอนบ่ายของวันที่ 19 กรกฎาคม ห่างกันเพียง 7 วัน ขณะที่ อส.มานะกับเพื่อนๆ กำลังช่วยกันเก็บเต็นท์ที่กางต้อนรับคณะผู้ใหญ่ที่มาเยือนในสามจังหวัดชายแดนใต้ ขณะที่กำลังรีบทำงาน เนื่องจากมีฝนตกโปรยปราย และมีสายฟ้าแลบแปล๊บๆ อยู่ เสมือนว่าฝนที่ตกหนักไกลๆ อีกไม่นานก็จะมาถึง…อยู่ๆ สายฟ้าได้ฟาดลงดังเปรี้ยง! ร่างของ อส.มานะล้มลงทรุดฮวบกองกับพื้น บริเวณลำคอมีรอยดำไหม้เกรียม เส้นผมบางส่วนมีกลิ่นไหม้คละคลุ้ง ผู้ที่ช่วยปั๊มหัวใจเล่าว่าร่างกายของเขาตึงเกร็งเหมือนคนถูกไฟแรงสูงช็อต เขาเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ ร่างที่นำส่งโรงพยาบาลคือร่างที่ปราศจากลมหายใจแล้ว

                หลายคนในที่เกิดเหตุต่างพากันงุนงง สายฟ้าผ่าลงที่ร่างเขาเปรี้ยง ครืนเดียวฟ้าฝนก็สงบนิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ อส.มานะเสียชีวิต เพราะสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาทที่เขาสวมอยู่ แต่เพื่อนที่ปฏิบัติงานอยู่ไม่ไกลกัน ห่างกันราว 5-10 เมตร บางคนได้สวมสร้อยทอง สร้อยนาก แต่กลับไม่เป็นอะไรเลย รอดชีวิตได้อย่างปาฏิหาริย์! เรื่องนี้เป็นที่โจษขานกันมาก แม้กระทั่งในงานศพของ อส.มานะ เสียงซุบซิบนินทายังคงมีอยู่ ในทำนองที่ว่าคนตายปากเปราะ ปากพล่อยเพื่อเอาตัวรอด คนเราทำอะไร ดีชั่วฟ้าดินย่อมรู้เห็น ที่คนโบราณตักเตือน ให้นิยามไว้นั้น เป็นความจริงทุกประการ

                สุดท้ายนี้ไซร้ เมื่อคิดดีทำดีแล้วสิ่งดีๆ จะตามมา อย่างน้อยๆ จิตใจก็จะเบิกบานตลอดวัน ได้เพิ่มพลังแห่งชีวิต ปล. ต้องขออภัยผู้อ่านที่ไม่สามารถระบุชื่อ สถานที่ต่างๆ ในเหตุการณ์ได้ = ผู้เขียน

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. pixabay.com, wallpaperaccess.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •