“เฮือน” เป็นภาษาทางเหนือแปลว่า เรือน หรือบ้านนั่นเอง บ้านเรือนทุกแห่งย่อมต้องมีผีบ้านผีเรือน และผีไม่รับเชิญ ผู้เขียนเจอผีหลอกบ่อยมาก ขอย้ำว่ามากๆ ด้วย ไม่รู้เพราะมีเซนส์หรือมีสื่อพิเศษที่ดึงดูดผีให้มาหา มาบอกความนัย ขอความช่วยเหลือ หรือไม่ก็มาขอส่วนบุญต่างๆ กันไป
จึงไม่แปลกที่จะมีประสบการณ์ผีโดยตรงมาเล่าสู่กันฟัง…เรื่องเกิดนานมาแล้ว แต่ก็ยังจดจำได้แม่นยำแบบตราไว้ในดวงจิตเลยก็ว่าได้
ด้วยความที่เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วจึงมีเพื่อนฝูงเยอะ ตอนนั้นปิดเทอมใหญ่พอดี เพื่อนรุ่นพี่ที่รู้จักกันได้ทำงานอยู่ทางเหนือ ชื่อโรจน์ ชวนให้ไปช่วยงานที่คณะของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ย่อ มช.) เกี่ยวกับการจัดการวารสารเอกสารระบบเก่าให้หมดไป เป็นงานเหมา ถ้าทำหมดเร็วก็จบเร็ว ได้กำไรเยอะ
ผมถนัดงานด้านนี้อยู่แล้ว ปิดเทอมก็นานอยู่ หาเงินใช้ช่วยครอบครัวน่าจะดี จึงตอบตกลงและเดินทางขึ้นเหนือ และพักที่บ้านของรุ่นพี่ที่แกเช่าไว้อยู่ด้านหลัง มช. ใกล้กับทางเข้าวัดอุโมงค์
เส้นทางนี้เงียบ ไม่ค่อยมีรถวิ่งสักเท่าไร สามารถเดินทะลุเข้าทางประตูหลังของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ได้สะดวก แต่ส่วนใหญ่จะขับรถมอเตอร์ไซค์ หรือไม่ก็นั่งสองแถวแดงกันมากกว่าเดินเท้า
ส่วนบ้านที่อยู่ต้องเข้าซอยเล็กๆ ที่แยกจากซอยถนนของหมู่บ้าน ระหว่างทางเดินจะมีต้นไม้สูงขึ้นอยู่หลายต้น พื้นที่นี้เป็นที่ดินแปลงใหญ่ เจ้าของมาทำบ้านเป็นหลังๆ ให้นักศึกษาเช่าอยู่ 3 หลัง มีทั้งแบบ 2 ชั้น ชั้นเดียวยกพื้นสูง กับชั้นเดียวเล่นระดับ ค่าเช่าไม่แพง หลังที่พักเป็นบ้านชั้นเดียวเล่นระดับ
เมื่อเป็นงานเหมา ทำกันแค่สองคนจึงต้องแข่งกับเวลา คือตื่นแต่เช้า กินอาหารเช้าแล้วเข้าไปทำงานในคณะ กลางวันก็ไปกินข้าวที่ตึกของคณะ หรือไม่ก็ฝากเขาซื้อมานั่งกิน กินเสร็จก็ลุยงานกัน
ที่ไม่จ้างคนเพิ่มเพราะเปลืองเงิน (ค่าส่วนแบ่ง) กับทำหลายคนยิ่งวุ่นวาย เสียเวลามาดูแลถ้าไม่เคยทำมาก่อน พี่โรจน์จึงจ้างผมคนเดียว จ่ายหนักหน่อย จึงหยุดพักวันอาทิตย์วันเดียว
กว่าจะกลับบ้านบางวันเพลินถึงมืดค่ำ…วันไหนกลับเร็วถ้ามีเวลาก็แวะทักพี่ข้างบ้านที่อยู่มาก่อนหลายปี เป็นไกด์ นิสัยดีมาก จนผ่านไปเกือบเดือนงานจึงเริ่มเข้าที่และจับทางได้ คราวนี้ก็ไวขึ้น…
ถ้างานนี้จบก่อนกำหนด ผมจะได้ไปเที่ยวกับเขาเสียที วันๆ จมกับกองกระดาษ พอวันหยุดก็ต้องซักผ้าและพักผ่อน ไม่อยากไปไหนไกลๆ
บางทีเพื่อนที่คณะอื่นก็มาหาพี่โรจน์ถึงบ้าน หิ้วเหล้ายาปลาปิ้งมากิน แกไม่ค่อยกินเหล้าสักเท่าไร ผมเองก็จิบพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะต้องทำงานวันรุ่งขึ้น
บ่ายวันนี้ลูกพี่มีธุระออกไปก่อน ผมจึงอยู่ทำงานคนเดียวจนมืด แถมเป็นคืนเดือนดับ บรรยากาศวิเวกชอบกล ต้องเดินลัดตัดผ่านสวนเป็นเนินข้ามมาทางประตูหลังเพื่อกลับบ้าน มันช่างยาวและมืดเสียกว่าทุกวัน หรือเป็นเพราะเราต้องเดินคนเดียวก็ไม่รู้ จึงรู้สึกไปต่างๆ นานาตามจิตปรุงแต่ง
พอใกล้จะถึงประตูทางออก มีแสงสว่างมากกว่าเมื่อครู่ ได้มีคนเรียกบอกให้รอก่อนจึงหันไปดู เป็นรุ่นน้องที่คณะจิตรกรรม 2 คนกำลังวิ่งตามมา แล้วเดินออกไปด้วยกัน
พอข้ามถนนแล้วเดินย้อนขึ้นไปใกล้ตลาดสัก 100 เมตรก็เป็นร้านขายอาหารโต้รุ่ง จึงเดินไปทางเดียวกัน ผมหิวข้าว จะซื้อกลับไปกินที่บ้านสักหน่อย ต่างคนต่างสั่งอาหารและซื้อของกินกลับมา
เขาทั้งสองซื้อเบียร์มาอีก 3 ขวด กับแกล้มอีก 2-3 อย่าง แล้วบอกขอไปนั่งกินที่บ้านด้วย อยากคุยกับพี่โรจน์ ใช่ว่าพวกนี้จะไม่เคยมาเสียเลยก็ไม่ใช่ เพราะเป็นรุ่นน้องพี่โรจน์เคยไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ผมแค่คนอาศัยจะไปห้ามได้อย่างไร จึงพยักหน้าตอบรับ
ปากทางเข้าบ้านจะมีร้านขายของชำ เปิดตั้งแต่ไก่ขันตี 5 พระบิณฑบาต พอสองทุ่มก็ปิดแล้ว เลี้ยวเข้าซอยที่เป็นทางแยกเข้าบ้าน แต่ต้องเดินตรงไปอีก 30 กว่าเมตร โดยต้องผ่านต้นไม้สูงที่อยู่ริมทางเดิน ลมไม่พัดให้กิ่งใบไหวเลย แถมบรรยากาศคืนนี้หลอนๆ ในความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิมในทุกครั้ง คล้ายมีไอเย็นวาบมากระทบแผ่นหลังให้แอบสะดุ้ง
ทันใดนั้น…สองหนุ่มหยุดกึกและแหงนหน้ามองฟ้า มีคนใส่ชุดราตรีขาวห้อยลงมาจากต้นไม้ ผมปรกหน้า ทั้งสองร้องลั่น “ผีหลอก…” ร้องเสร็จก็วิ่งพรวดๆ สองสามก้าวก็ถึงที่พัก นั่งหอบแฮกๆ ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อโทรมกายอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่ได้แกล้ง
ผมหายตะลึงกับเหตุการณ์ที่เขาทั้งสองร้องเสียงหลงแล้ว จึงแหงนขึ้นไปมองตามบ้าง ก็ไม่เห็นอะไรเลย…มีแต่กิ่งไม้ที่ลมพัดวูบไหวไปมา จึงรีบสาวเท้าตามเข้าบ้าน
เจ้าสองคนบอกว่า เห็นผีผู้หญิงผูกคอห้อยลงมา ทำท่าหวาดกลัว พี่โรจน์ก็ปลอบใจว่าผีไม่มีหรอก พวกเขาตาฝาดกันไปเอง อยู่มาตั้งนาน และโบ้ยมาทางผมอีกว่า ผมก็อยู่มาเป็นเดือนไม่เห็นเจอเลย
“มาตั้ง 2 – 3 ครั้งไม่เคยเจอ แต่ทำไมวันนี้ถึงถูกหลอกได้” พี่โรจน์พูดเสียงช้าๆ แบบไม่เชื่อ
“ผมไม่ได้โกหกนะ เห็นจริงๆ…ก็ทุกทีมาไม่เคยมืดค่ำแบบวันนี้นี่นา” ทั้งสองคนบอกไม่กล้ากลับหอแล้วคืนนี้ ขอนอนค้างที่นี่ด้วย พี่แกก็บอก งั้นก็นอนที่ห้องโถง บ้านขนาดเล็กมีแค่ 2 ห้องนอนเท่านั้น แล้วแกก็กำชับว่า “อย่าเสียงดังก็พอ มันมืดแล้วด้วยไม่อยากรบกวนใครเขา”
ผมจึงเอาจาน ช้อน และแก้วมาให้พวกเขานั่งดื่มเบียร์คลายความหวาดกลัวและความเครียด ไม่มีใครแย่งดื่ม ปล่อยให้สองหนุ่มกินให้หนำใจ
ทั้งสองกินกันเงียบๆ ปกติจะกินไปคุยไปเสียงดังไม่เบา จนพี่โรจน์ต้องเอาหมอนมาให้ เขาก็ยกมือขอบคุณ ไม่รู้ว่ากลัวพี่โรจน์ หรือกลัวผีตามมาหลอกกันแน่ ผมกินข้าวเสร็จ เก็บจานชามมาล้าง จากนั้นทั้งสองก็เมา งีบพิงข้างฝาหลับไป
ลมเย็นพัดผ่านเข้ามา ห้องโถงมีหน้าต่างเปิดรับลม พลันได้ยินเสียงดนตรีไทย เสียงระนาด กลองลอยลมมา ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน…ตื่นตอนตี 5 จึงลงไปเข้าห้องน้ำ มีสองห้องคือห้องอาบน้ำกับห้องสุขาสำหรับถ่ายหนักเบา และพื้นที่ซักผ้าด้านข้าง มีประตูหลังเปิดออกมาเป็นลานตากผ้า และเดินทะลุถึงหน้าบ้านได้อีกด้วย
พอจัดการธุระเสร็จ เสียงหวีดดด แหลมเล็ก ได้ดังขึ้นมา เข้าใจว่าเป็นคนเป่านกกวีด (ที่เคยมีการใช้นกหวีดเป่าขอความช่วยเหลือยามฉุกเฉิน) จึงเปิดประตูหลังมองไปรอบๆ ฟ้าใกล้สางแล้ว มีหมอกน้ำค้างบางเบาตามยอดไม้ แต่เสียงที่ได้ยินมันอยู่เหนือลม
พอหันไปด้านข้างต้องสะดุ้ง ตาโตทันที เหมือนเห็นขาคนเป็นหน้าแข้งสูงมาก ยังไม่เห็นหัวเข่า จึงขยี้ตามองให้ชัดๆ ภาพนั้นคงอยู่ หน้าแข็งเป็นสีดำ ด่างๆ หยาบๆ จึงไม่กล้าเงยหน้ามองขึ้นไปเหนือหัว หรือก้มดูตีนผี
แค่นี้ก็น่าจะคิดออกนะว่าเห็นอะไร ถ้าไม่ใช่ผีเปรต!!
เออ..ถูกหลอกกันถ้วนหน้าแล้ว แต่โบราณว่าไว้ ถ้าเห็นเปรตคือเห็นญาติมาขอส่วนบุญ เมื่อคิดได้ เราจึงยกมือพนมขึ้นไหว้ว่า “อย่าหลอกกันเน้อ จะทำบุญตักบาตรอุทิศให้…สา…ธุ..”
พอลืมตาก็ไม่เห็นขาแล้ว เขาคงฟังรู้เรื่อง จึงรีบปิดประตูหลังกลับเข้าบ้าน หายง่วงกันทีเดียว เลยเปลี่ยนใจอาบน้ำแต่งตัว สักพักจึงออกไปที่ร้านขายของหน้าปากซอย จะใส่บาตรสักหน่อย
อาจยังเช้าตรู่อยู่ ลูกค้าจึงไม่เยอะ หยิบชุดใส่บาตร แล้วเขยิบไปใกล้ร้านขายปาท่องโก๋ ยืนรอพระไปด้วย และรอน้ำมันทอดร้อน แม่ค้าก็นวดแป้ง แฟนแกคอยทอด แม่ค้าเป็นคนแถวนี้ ผมนึกได้จึงถามขึ้นว่า
“แม่ค้า…เมื่อคืนบ้านไหนเขามีงานเลี้ยงเหรอ เล่นดนตรีไทยเสียงไพเราะ พวกตะโพนปี่พาทย์วง พอฟังหลับสบายเลย เขาเล่นเพราะจริงๆ”
แม่ค้าหน้าเปลี่ยนสีทันที ถามกลับว่า “คุณได้ยินเมื่อคืนนี้เหรอ” พยักหน้าว่าใช่ พี่คนขายปาท่องโก๋จึงเล่าให้ฟังว่า…
“ในหมู่บ้านนี้ สมัยก่อนมีตะโพนยักษ์สำหรับงานบุญใหญ่ เครื่องดนตรีไทย อันนี้มีมานาน ทำสืบต่อกันมาเพื่ออุทิศให้ผีเปรตและผีบรรพบุรุษ จู่ๆ ตะโพนยักษ์เกิดฉีกขาด จนบัดนี้ยังซ่อมไม่ได้เลย สาเหตุเพราะคนเชิญลืมเชิญเจ้าปู่ที่เป็นเหมือนครูบาก่อน มัวแต่เชิญผีเปรตสัมภเวสีให้มารับก่อน จึงเกิดเหตุวิบัติ ท้องฟ้าที่สว่างใสๆ กลับมืดมัว บังแสงตะวันไปหมด ลมพัดแรงจนข้าวของปลิว คนในงานแตกตื่นและหลับตาปี๋กลัวฝุ่นที่ฟุ้งเข้าตา แล้วตะโพนก็ขาดทันที จากนั้นมาเราก็ไม่ได้จัดบุญผีเปรตอีก”
แม่ค้ากล่าวด้วยเสียงเศร้าๆ หลังจากเกิดเหตุร้ายวันนั้นไม่นาน ช่างฝีมือที่ทำกลองเกิดเสียชีวิต ผู้เฒ่าผู้แก่ท่านว่า ถ้ามีคนได้ยินเสียงตะโพน ดนตรีไทยดังอีก หมายความว่าเจ้าปู่หายโกรธแล้ว ไม่ช้าจะได้ฤกษ์จัดงานบุญใหญ่ หมู่บ้านจะกลับมารุ่งเรืองดังเดิม
“มิน่า ผีเปรตจึงมายืนร้องปรี๊ดๆ ข้างบ้าน” เหมือนแม่ค้าจะได้ยินถ้อยคำรำพึงเบาๆ นี้ด้วย
“คุณเห็นผีเปรตเหรอ…โอย…สาธุๆๆ” แม่ค้าพูดพร้อมยกมือสาธุท่วมหัว
คนขายพูดไปเรื่อย รวมถึงการเห็นเปรตกลายเป็นเรื่องน่ายินดีไปเสียอีก เพราะไม่ใช่ว่าใครจะพบเห็นเปรตได้ง่ายๆ
ใครที่ได้เห็นเปรตหมายถึงเป็นคนมีบุญ หรืออาจเป็นญาติกับเปรตมาแต่ปางก่อน ใบหน้าแม่ค้าฉายแววยินดีอย่างออกนอกหน้า ฉายแววความเชื่อมั่นไว้เกินร้อย
สักครู่พระมาแล้ว จึงขอไปตักบาตรให้ผีเปรตเขาสักหน่อย ท่านยืนนิ่งสงบมาก เปิดบาตรให้ใส่อาหาร พอใส่เสร็จท่านก็กรวดน้ำแบบแห้งและให้พร นั่งยกมือไหว้อธิษฐานในใจว่า ขอให้ทานกับผีเปรตที่มาให้เห็น และสัมภเวสี ดวงวิญญาณทั้งหลาย ในและนอกอาณาเขตบ้านที่พักให้มารับ เป็นสุขๆ เถิด อย่าได้มาหลอกกันนะจ๊ะ พระท่านสวดจบ จึงอนุโมทนาบุญ สาธุอีกสามครั้ง
หลังจากนั้นจึงเดินมารับปาท่องโก๋กับปังสังขยา แม่ค้าไม่ยอมรับเงิน บอกขอเลี้ยง เพราะถือเป็นเรื่องดีของหมู่บ้าน…แถมขู่ถ้าไม่รับ วันหน้ามาซื้อจะไม่ขายให้ จึงกล่าวขอบคุณเสียยกใหญ่
เช้านั้นจึงได้ลาภปากจากผีเปรต พี่โรจน์ตื่นแต่งองค์ทรงเครื่องแล้ว จึงนั่งกินขนมที่ได้มา และเล่าเรื่องเปรตให้ฟัง แกเองก็งงนะ เพราะอยู่บ้านเช่านี้มาคนเดียว 2 ปีกว่าแล้ว ไม่เคยเจอผีหรือเรื่องขนหัวลุกเลย
แกกลับว่า “แปลกนะ ตั้งแต่นายมาอยู่ ทำไมผีจึงเยอะจัง แต่แปลก นายเองก็ไม่เคยถูกหลอกแบบเจ้าสองคนนี่”
ผมก็ได้แต่หัวเราะกลบเกลื่อน มีอีกเยอะที่เพื่อนโรจน์ไม่รู้ว่าผมเคยเจออะไรมาบ้าง แต่อย่ารู้จะดีสุด
สักพัก เจ้าสองคนก็ตื่น ลุกไปล้างหน้าแล้วยกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนไปยังบรรยายเล่าถึงผีเมื่อคืนให้พี่โรจน์กับผมฟัง แล้วเล่าตรงกันด้วย…สองหนุ่มบอก เป็นผีสาวผมปรกหน้า แต่ตาก็เกือบจะถลน ลิ้นจุกปาก น่ากลัวมาก ยังดีที่มีของดีจากครูบาพกติดตัวมาด้วย มันเปิดเสื้ออวดตะกรุดที่เอวให้ดู
เล่าจบจึงขอตัวกลับหอก่อน จึงอาสาเดินไปส่ง ตั้งใจว่าขากลับจะแวะถามข้างบ้านสักหน่อย เพราะบ้านเขาอยู่ถัดจากต้นทองหลางมาไม่ไกลนัก ต้องเดินผ่านดงผีนี้ก่อน แล้วเลี้ยวซ้ายก็จะถึงทางเข้าบ้านแก พอถึงหน้าบ้านร้องทักทายก่อนขึ้นบันไดไปชั้นบน เป็นชานกว้าง มีเก้าอี้เล็กๆ ตั้งอยู่
ผมยื่นปาท่องโก๋ที่เพิ่งซื้อชุดใหม่ให้ลูกสาวแกรับไป คุยกันเล็กน้อย และถามว่าเมื่อคืนพี่ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า เสียงเพื่อนผมเอง…เหมือนแกจะรู้ว่าผมต้องมาถามหาคำตอบแน่ๆ…จึงเล่าเรื่องสองคนที่ถูกผีหลอกให้ฟัง ใบหน้าตอนเล่าคงตลกเชียว พี่ผู้หญิงถึงกับอมยิ้ม
“คุณไม่ต้องกลัวนะ เขาไม่หลอกคุณเพราะเป็นคนดี มีของดีคุ้มอยู่”
“อ้าว งั้นก็หมายความว่ามีคนเคยผูกคอตายน่ะสิ” คนฟังพยักหน้าแทนคำตอบ แกจึงเล่าให้ฟังว่า
มันเกิดหลายปีแล้ว ก่อนที่เขาจะเปิดให้นักศึกษาเช่า เดือนคือหญิงที่แขวนคอตาย เป็นเด็กสาวอยู่ในหมู่บ้าน เกิดรักใคร่กับนักศึกษาชายในมหาลัยนี้ล่ะ เห็นว่าเรียนวาดรูปด้วย
พอได้เสียเกิดตั้งท้องขึ้นมา ผู้ชายก็ห่างเหิน หนีหน้าไม่ยอมรับ…ด้วยความอับอายจึงผูกคอตาย และที่เห็นว่าต้นไม้สูงนั้น เป็นเพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว
หลังจากนั้น…คนตายเป็นผีตายโหงและแรงด้วย ตายทั้งกลมอีก เรียกว่าเฮี้ยนมาก ต้องนิมนต์พระมานำศพไปฝัง ผ่านไปสักอาทิตย์ นักศึกษาคนนั้นก็มาหาเดือนที่ต้นทองหลาง โดยไม่รู้ว่าเดือนตายไปแล้ว คืนนั้นคนทั้งหมู่บ้านได้ยินเสียงกรีดร้องน่ากลัวมากๆ ทุกคนเงียบกริบ ไม่กล้าออกจากบ้านสักคน
นักศึกษาวิ่งหนีผีจนถูกรถยนต์ชนลอยกระเด็นไปไกล ตายคาที่!! คนขับรถมองไม่เห็นคนวิ่งตัดหน้ารถด้วย น่าจะถูกผีบังตา นับจากนั้นมาไม่เคยมีเรื่องคนเห็นผีที่ผูกคอตายที่ต้นไม้นี้อีก
ทำไมถึงมาหลอกอีก? อาจเพราะเป็นนักศึกษาคณะจิตรกรรมเหมือนกันหรือเปล่านะ?
เมื่อคืนเป็นวันพระเดือนดับ…เขาว่าพลังงานและสิ่งเร้นลับจะมีอำนาจมาก…เรื่องนี้ก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน ผมจึงไม่เดินทางค่ำๆ มืดๆ คนเดียว รีบทำงานให้จบๆ ไปเที่ยวและกลับบ้านดีกว่า…
*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เรื่องโดย. อุษา
ภาพโดย. Ai