ยามค่ำคืนเป็นเวลาที่ผู้คนหลับนอนอย่างมีความสุข แต่บางคนเวลากลางคืนเป็นช่วงที่ต้องทำมาหากินต่อสู้ดิ้นรน…
ผมตีรถออกจากกรุงเทพฯ ตอนเกือบสี่ทุ่ม เพื่อจะไปส่งสินค้าที่จังหวัดสุรินทร์ ปกติผมจะวิ่งสายเหนือเสียมากกว่า นานๆครั้งถึงจะโดดมาสายอีสาน โดยมีเจ้านพเป็นคู่กะที่ต้องผลัดกันขับ แต่วันนี้ตั้งแต่ก่อนจะขึ้นรถมามันก็เมาแอ๋ ผมก็ว่ามันทำไมเมาอย่างนี้ มันบอกว่าคิดว่าไม่ได้ลงเวร ผมเลยไล่ไปนอนแคปด้านหลังคนขับ ซึ่งจะมีที่สำหรับนอน รถยังคงวิ่งมาเรื่อยๆ จนถึงจังหวัดนครราชสีมา พอเข้าทางหลวงหมายเลข 226 เจ้านพก็ส่งเสียงขึ้นมาทันที หลังจากที่มันหลับไปสักพัก
“พี่…พี่แหวงแวะฉี่หน่อยสิ…ข้างทางนี้เลย อูยยยไม่ไหวแล้ว…จอดๆๆ”
“เออๆ…ไอ้นี่ ตื่นมาก็วุ่นเลยนะ…เดี๋ยวอย่าเร่งสิวะ หาจังหวะที่จอดดีๆ ก่อน…เอ้าตรงนี้แหละลงได้…ไปๆ”
เจ้านพรีบวิ่งลงไป ผมเห็นว่าไหนๆ ก็จอดแล้วเลยลงไปทำธุระด้วยเลยดีกว่า ผมไม่ลืมคว้าไฟฉายติดมือลงมาด้วย…ผมลงรถทางด้านขวาแล้วเดินอ้อมหัวรถไปยืนฉี่ตรงประตูด้านซ้าย ส่วนเจ้านพมันไปยืนฉี่เกือบจะท้ายพ่วงที่สอง ผมชะโงกหน้าดูสงสัยว่ามันไปยืนทำไมซะไกล แล้วก็เห็นว่ามันกำลังทำท่าทางชี้ไม้ชี้มือเหมือนกำลังคุยอยู่กับใคร หรือว่ามันยังเมาไม่สร่าง เพราะความมืดทำให้มองเห็นไม่ชัด พอฉี่เสร็จเห็นมันก็เดินไปทางท้ายรถ ซึ่งท้ายรถจะมีไฟท้ายทำให้พอมองเห็นได้บ้าง ผมเห็นมันยืนคุยอยู่กับใครอีกคน…ผู้หญิง…ฮ้า…ผู้หญิงที่ไหน มาทำอะไรแถวนี้มืดๆ ผมทำธุระเสร็จพอดีเลยร้องเรียกมัน
“อ้าวเฮ้ยไอ้นพ…เอ็งคุยกะใครกลับมาเลย…แล้วนั่นใคร…ใครวะ…อะไรของมัน”
นพร้องตอบพร้อมๆ กับเดินกลับมากับผู้หญิงคนหนึ่ง
“มาแล้วๆ…มาเลย…น้องไม่มีปัญหา…เดี๋ยวพี่คุยกะลูกพี่ได้…น้องไม่ต้องกลัว เชื่อพี่”
แล้วมันก็เดินง่อกแง่กเหมือนยังเมาไม่สร่าง พอใกล้จะถึงผมส่องไฟฉายไป กะว่าจะดูผู้หญิงที่มันพามาด้วยว่าเป็นใคร…เป็นเด็กวัยรุ่นหน้าตาน่ารักดี ใส่เสื้อยืดสีชมพูนุ่งกางเกงยีนขาสั้นจู๋…แต่เมื่อไฟฉายสาดต่อไป…ผมก็ต้องตกใจ…เพราะเธอไม่มีขาทั้งสองข้างแบบลอยตามไอ้นพมา ผมแหกปากตะโกนทันที
“เฮ้ย…ตายห่าแล้วไอ้นพ…มึงรีบกลับขึ้นรถเดี๋ยวนี้เลย…กลับขึ้นมาเลยไอ้ห่าเฮ้ย…ตายห่าแล้ว”
ไอ้นพมันเห็นผมตะโกนมันคิดว่าผมโกรธ มันก็บ่น
“พี่แหวง…เป็นอะไรของพี่เนี่ย จะบ่นทำไม…จะโวยวายทำไม”
แต่ก็รีบเดินมาขึ้นรถ ซึ่งตอนนี้มันเดินมาคนเดียวแต่ปากมันก็บ่น มันขึ้นมานั่งอยู่ด้านซ้ายแล้วก็ทำท่ากวักมือเรียกผู้หญิง ปากก็ยังพูดว่า
“พี่จะโมโหอะไรนักหนา…พี่แหวง ผมรู้น่า…จะให้น้องเขามาด้วยสงสารเขา”
รู้ว่ามันพูดบ่น แต่ผมไม่ทันฟังเพราะใจมันสั่น ตะลีตะลานรีบวิ่งมาขึ้นทางด้านขวาที่เป็นด้านคนขับ ทีนี้รถมันสูง ปกติต้องเอาขาข้างซ้ายขึ้นก่อน แล้วก็เกาะที่โหนเพื่อจะเหวี่ยงขาข้างขวาขึ้น…แต่ยังไม่ทันที่ขาข้างขวาจะขึ้นพ้นบันใด…ก็มีเสียงหนึ่งลอยมาว่า
“พี่…พี่…เห็นขาของหนูไหม…พี่จ๋าเห็นขาหนูไหมมมมม”
พอผมแหงะหน้าไปตามเสียง ลมแทบใส่ ตรงช่วงบันไดรถที่ผมกำลังจะชักขาข้างขวาขึ้น มีหน้าของผู้หญิงคนนั้นลอยอยู่ ใบหน้าเปรอะไปด้วยเลือด ผมเกรอะกรังแล้วก็มีเสียงพูดออกมาว่า
“พี่…พี่จ๋า…เห็นขาหนูไหม…อิอิอิ พี่เห็นขาหนูไหม”
เท่านั้นแหละ พอชักขาขึ้นได้ผมรีบปิดประตูทันที ด้วยความกลัวลนลาน ผมรีบดึงผ้าม่านมาปิดเนื้อตัวสั่น…แต่ยังได้ยินเสียงที่ร้องบอก พี่เห็นขาหนูไหมยังดังอยู่ด้านนอกไม่หยุด ผมได้แต่นั่งหลับตาปี๋..ดีนะที่ผมฉี่ไปแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงฉี่ราดในรถแน่ๆ เจ้านพยังบ่นอุบ ว่าผมจะโกรธมันทำไม
“มึงเข้าไปนอนเลยไอ้นพ อย่าพูดมาก เข้าไปเลยหาเรื่องดีนัก”
ผมพยายามข่มใจ แล้วไล่มันให้เข้าไปนอนในแคปที่ด้านหลัง ซึ่งมันก็คลานเข้าไปแต่โดยดี แล้วก็ปิดม่าน ส่วนผมค่อยๆ สตาร์ตรถแล้วขับต่อไป ใจผมก็เต้นตึกๆ ตลอดเวลา พอขับไปเรื่อยๆ สักพัก ใจผมก็เริ่มดีขึ้น ขับต่อไปอีกสักพัก พอเข้าห้วยแถลง เจ้านพก็ค่อยๆ ไต่ออกมาจากที่นอน
“พี่…พี่…พี่แหวงแวะอีกทีเถอะ ผมปวดฉี่…”
“อีกแล้วเหรอ…เมื่อกี้ข้ายังอกสั่นขวัญแขวนไม่หายเลย…”
“เรื่องอะไรพี่ มีอะไร”
“ก็ตอนที่เอ็งฉี่ เอ็งยืนคุยกะผู้หญิงคนหนึ่งไม่ใช่เหรอ แล้วรู้ไหมว่าเขาเป็นอะไร”
“ผมก็จำไม่ค่อยได้ว่าคุยอะไร…ก็…น้องเขาน่ารักดี…แล้วเขาเป็นอะไรพี่”
“ไอ้บ้าเอ้ย มันเป็นผีน่ะสิ ตอนที่เดินมากับเอ็งที่ข้าส่องไฟไป มันมีขาที่ไหนล่ะ…ขามันไม่มีทั้งสองข้างเลย มันลอยตามเอ็งมาที่ข้าบอกให้ขึ้นรถ…ฮุ้ย…มันยังตามมาถามหาขากับข้าเลย…น่ากลัว”
“จริงอ่ะ…พี่ละเมอหรือเปล่า ผมก็เห็นเขาปกติดี พี่คิดมากไปหรือเปล่า บางทีไฟฉายมันอาจส่องไม่ถึงขาเขาก็ได้ พี่พูดเป็นเล่นเขาคุยอยู่กับผมตั้งนานไม่เห็นผิดปกติเลย”
“เอาเหอะ…กูเห็นเต็มสองตาไม่เชื่อก็ตามใจ เอ็งระวังตัวไว้เหอะ”
เจ้านพมันก็ยังทำท่างงๆ แล้วก็เร่งให้ผมจอดรถอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะจอด เพราะความกลัวผมเปิดไฟสูงมาตลอดทาง ผมก็มองหาที่จอดกะว่า ยังไงคราวนี้จะไม่จอดข้างทางอีกแล้ว ถ้าไม่ใช่จุดที่พักรถหรือปั้มน้ำมัน อยู่ๆไอ้นพมันร้องแบบตกใจ
“พี่แหวง พี่แหวงนั่น นั่น มีอุบัติเหตุ มีคนนอนอยู่กลางถนน นั่นเห็นไหม สงสัยรถล้มหรือไม่ก็โดนชนแน่ๆ…นั่นไง พี่จอดๆ ลงไปดูเขาหน่อยดีกว่า”
สภาพที่ผมเห็นมีคนนอนหงายพาดอยู่กลางเลนด้านขวา พอจอดรถสนิทไอ้นพมันวิ่งลงไปก่อน ผมยังไม่ทันจะลงมันก็วิ่งกลับมาหน้าตาตื่นแล้วลำล่ำละลักบอกผมว่า
“ไปพี่…ไป ไปเร็ว…ออกเลย”
มันพูดให้ไป มันยังขึ้นรถไม่พ้นตัวเลย
“อะไรว่ะ แล้วเขาเป็นยังไงมั่ง…ผู้หญิงหรือผู้ชาย…”
“อะไรล่ะพี่..ผู้หญิง ผี …พอผมชะโงกหน้าเข้าไปดูว่าเขาเป็นยังไง เขาลืมตาโพลงใส่ผม ถามยังแลบลิ้นให้อีก ผู้หญิงคนนั้น…เป็น ผู้หญิงคนนั้นเป็นผีจริงๆ ด้วยพี่”
ผมหันไปมองที่ถนน ร่างที่นอนอยู่กลางถนนม้วนตัวกลิ้งหลุนๆ ลงไปข้างทางที่เป็นป่าหญ้า…ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงกันละ ผมใส่เกียร์ออกรถไปทันที ได้ยินเสียงไอ้นพครางหงิงๆเพราะความกลัวอยู่ข้างๆ ผมนึกในใจ ทีนี้ครางเป็นหมาเชียวนะมึง
“ก็บอกมึงแล้ว…ว่าผี…ดันไม่เชื่อ เป็นไงละทีนี้ เต็มๆ ไหมล่ะ แต่เอ๊ะเรามาตั้งไกลแล้วนะ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ หางตาผมเห็นเหมือนอะไรปลิวๆ อยู่ด้านข้างรถ เลยมองที่กระจกส่องด้านข้าง…เต็มๆ ครับ มันลอยตามมาแถมยังส่งเสียงอีกว่า
“…พี่…เห็นขา หนูไหม…พี่จ๋า…เห็นขาหนูไหม…”
คราวนี้ไม่ใช่แค่ผมแล้ว ไอ้นพก็ได้ยิน มันรีบตาลีตาเหลือกคลานเข้าไปด้านหลังที่นอน ปล่อยทิ้งให้ผมเผชิญกับผีอยู่คนเดียว ผมดึงผ้าม่านปิดด้านที่ผมนั่งขับรถ มันก็ลอยผ่านหน้ารถ มาด้านซ้ายแบบลอยตีคู่มากับรถ ผมตะโกนเรียกไอ้นพลั่นรถ
“ไอ้นพโว้ยมาช่วยกูที ไม่ไหวแล้ว…มันลอยไปลอยมา พ่อแก้วแม่แก้ว แม่ย่านาง…หลวงปู่ทวดช่วยลูกช้างด้วย…อย่ามาหลอกกันเลย ไอ้นพมึงเป็นคนชวนเขามามึงมาบอกมันทีสิว่าไม่ให้ไป…”
ผมแทบจะประคองสติไม่ไหว ขับเร็วก็กลัวอุบัติเหตุ ขับช้าก็กลัวผี จากกลัวเลยบ้าบิ่นขึ้นมา…
“มามึงมาเลย…กูจะแช่งให้ไม่ต้องผุดต้องเกิดกันเลย”
ได้ผล มันลอยวืดแล้วหายไปเลย ผมประคองรถขับไปเรื่อยๆ เข้าลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์แล้วมุ่งหน้าเข้าสุรินทร์ทันที ไปถึงที่นั่นเกือบสว่าง จัดการจัดส่งสินค้าเรียบร้อย และเดินทางกลับโดยที่ขากลับเราก็จะกลับอีกทางไม่ซ้ำทางเดิม โดยที่เจ้านพเป็นคนขับ ส่วนผมก็เข้าไปหลับในแคป เจ้านพมันโชคดีเพราะขากลับเรากลับในตอนกลางวัน
หลังจากที่เราเอารถไปจอดที่เก็บรถทางบริษัท เขาก็จะถอดรถพ่วงออกเพื่อที่จะเอาหัวรถไปพ่วงกับตู้อื่นต่อไปแล้วก็แยกย้ายกันกลับไปที่พักเพื่อพักนอนและรอเข้ากะในรอบต่อไป
หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ใช้ตู้นั้น เพราะจะมีตู้อื่นหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย ผ่านไปก็เกือบครึ่งเดือนได้ ปรากฏว่าผมเดินผ่านตู้ที่จอดอยู่ เห็นทั้งน้ำแดงทั้งพวงมาลัยวางอยู่ ก็เลยไปถามยาม ได้ความว่ามีคนเห็นผู้หญิงวัยรุ่นใส่เสื้อสีชมพูนุ่งกางเกงยีนขาสั้นเดินไปมาอยู่รอบๆ รถพ่วงที่ถอดจอดไว้…เห็นกันหลายคนเข้า ก็มีคนอุตริไปขอหวย พอถูกก็เลยเอาน้ำแดงกับพวงมาลัยมาไหว้ ทีนี้พอมีคนถูกหวยเข้าก็เลยต่างคนต่างไปขอกันใหญ่ ถูกมั่งไม่ถูกมั่งตามดวง แต่ที่แน่ๆ ผมคุยกับเจ้านพว่าเป็นผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ ที่ตามเรามา
“ไอ้นพ เอ็งนั่นแหละไปชวนมา เลยไม่ยอมไป ระวังนะมึง ถ้าเขาเห็นเอ็งเขาจะตามเอ็งกลับบ้าน..เอ็งไม่ไปขอโชคขอหวยกับเขามั่งเหรอ…เออ…แล้วเอ็งอย่าลืมทำบุญให้เขาด้วยนะ เดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่เตือน”
ผมแกล้งแหย่มันมันกลัวใหญ่
“หึ้ย…ไม่ เดี๋ยวเขาจำผมได้…ครับๆ แล้วจะทำบุญไปให้” เป็นโจ๊กขำๆ กันสองคน
แต่หลังจากที่ถูกหวยกันไม่เท่าไหร่ พวกพนักงานก็ต้องฝันสลาย ผู้จัดการสั่งห้ามทำอะไรแบบนั้นอีก แล้วก็เอาเจ้าตู้รถพ่วงคันนี้ไปไว้ที่อื่น ปิดตำนานการขอหวยไปโดยปริยาย นี่แหละครับ เส้นทางสุดหลอนที่ผมกับเจ้านพไปผจญมา…เราไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นใคร แต่ก็เดาได้ว่าคงเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจนขาขาดทั้งสองข้าง วิญญาณเลยร้องหาแต่ขาที่หายไป ยังไงก็ขอให้เธอไปสู่ภพภูมิที่ดีเมื่อถึงวาระจริงๆ
เรื่องโดย. กฤตยา อยู่ประเสริฐ
ภาพโดย. www.jjjinsur.com, www.masii.co.th, www.thehouse.online