“ดิน” คือหนุ่มวัยยี่สิบ ที่มีความสามารถเชิงช่าง หลังจากเรียนจบจากโรงเรียนช่างกลก็ได้งานสารพัดที่เกี่ยวกับงานช่าง พูดง่ายๆ ว่าเขาเป็นช่างมาหลายแบบแล้ว แต่ที่ชอบมากที่สุดก็คือช่างไฟและอิเล็กทรอนิกส์ เหตุผลง่ายๆ ที่เขาชอบก็คือ “มันเป็นงานที่ไม่ค่อยเลอะมือเหมือนงานช่างยนต์”
ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ดินเปลี่ยนงานไปหลายงาน ท้ายสุดได้งานเป็นช่างอาคารที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง รูปแบบงานก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก แค่ดูแลเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จัดการเรื่องซ่อมสายไฟ เดินไฟ บางทีก็จัดการเรื่องระบบคอมพิวเตอร์บ้าง
เย็นวันหนึ่ง ขณะอยู่คนเดียวในห้องช่างในอาคารนั้น ดินชงกาแฟดื่มเพราะรู้สึกง่วง ทั้งๆ ที่อีกไม่นานก็จะกลับบ้านแล้ว หลังดื่มไปสักพักก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา พร้อมกับมีสัญญาณบอกว่าเป็นเสียงที่เรียกมาจากชั้น 6 ของโรงพยาบาลนั้น ดินรายงานตัวกับปลายสายที่น่าจะเป็นเสียงพยาบาลวัยกลางคน เธอบอกว่าให้ช่างขึ้นมาเปลี่ยนหลอดไฟเพดานที่ชั้น 6 ด้วย เพราะมืดมาก มองอะไรไม่เห็น ทำงานก็ไม่ได้ เมื่อดินรับทราบก็รีบรายงานไปว่าจะรีบไปเปลี่ยนหลอดไฟให้เพราะเป็นความจำเป็นเร่งด่วน
เมื่อวางสายแล้วก็เดินไปเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบันไดเหล็กพับได้ หลอดไฟ และเครื่องมือช่าง เขาผิวปากอย่างสบายอารมณ์ เพราะงานพวกนี้เป็นงานง่ายๆ ในสายตาของดิน ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร คงไม่ต้องปรึกษาพวกช่างรุ่นพี่ ถึงจะปรึกษาอะไรก็คงทำไม่ได้ เพราะตอนนั้นมีแต่เขาคนเดียวในห้อง ทำได้แต่เขียนโน้ตสั้นๆ ว่า “ไปเปลี่ยนหลอดไฟที่ชั้น 6 ครับ” เอาไว้ เผื่อใครมาเห็นจะได้รู้ว่าเขาไปทำอะไร
ดินกดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้น 6 ….ลิฟต์เดินทางอย่างเชื่องช้า พอไปหยุดที่ชั้น 6 มันก็ยังหยุดนิ่งอย่างนั้นเหมือนไม่อยากจะเปิดประตูให้เขาออกไป ขณะที่ลังเลใจว่าลิฟต์มันจะเสียหรือเปล่า เจ้าประตูลิฟต์ก็เริ่มเปิดออกช้าๆ “เฮ้อ เปิดได้เสียที นึกว่ามีใครมาเล่นของเข้าให้” ดินเผลอพูดออกไปพร้อมกับแบกอุปกรณ์ติดตัวไปด้วย
บนชั้น 6 ก็มืดตามที่พยาบาลบอกเขาจริงๆ ไฟจากลิฟต์ที่ค่อยๆ ปิด ส่องให้เห็นป้ายตัวเลขหมายเลข 6 ที่แผงกระจกประตูเลื่อนที่ไม่ได้เป็นกระจกใส หากแต่เป็นกระจกฝ้า ตัวเลข 6 เก่าคร่ำคร่ากว่าหมายเลขชั้นอาคารอื่นๆ ที่เขาเคยไปซ่อมมาทุกที่…นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นมาที่ชั้น 6 แห่งนี้ ดินค่อยๆ เปิดบานเลื่อนออกไปช้าๆ เพราะเกรงว่าจะไปรบกวนพยาบาลหรือคนไข้ที่อยู่ภายในห้องนั้น แสงตะวันที่สาดส่องเข้ามาได้บ้างตามบานหน้าต่างที่เป็นกระจกฝ้าโดยทั่วไปนั้น ทำให้พอมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในห้องใหญ่อาคารรวมของชั้น 6 ได้บ้าง
สิ่งที่เห็นก็คือมีช่องทางเดินจากประตูฝ้า ไปจนถึงสุดทางที่มีความยาวเท่าอาคารทั้งชั้นประมาณ 50 เมตร สองข้างทางก็มีเตียงพยาบาล เตียงคนไข้วางอยู่ตามทาง แต่ลักษณะการวางเป็นแบบสุมๆ กองๆ กัน จนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่ได้ใช้เตียงเหล่านั้นแล้วทำไมถึงเอามาวางไว้ตั้งแต่ต้นทางแบบนั้น
ดินพยายามหายใจเข้าปอดลึกๆ แต่ยิ่งหายใจเข้าไปเขากลับได้กลิ่นจางๆ ของน้ำยาฆ่าเชื้อ กลิ่นยา กลิ่นสารพัด แบบโรงพยาบาล ที่แย่มากขึ้นก็คือมันมีอานุภาพของฝุ่นติดเข้าไปด้วยจนเขาแทบสำลัก แต่ดินก็ยังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป เขาคิดว่าควรจะตะโกนถามใครสักคนแล้ว
“มีใครอยู่มั้ยครับ ผมช่างซ่อมอาคาร มาเปลี่ยนหลอดไฟให้ครับ คุณพยาบาลอยู่มั้ยครับ?” ดินส่งเสียงไปแบบนั้นสองสามครั้ง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือ “ความเงียบ” ที่ดูคล้ายมีคนฟังแต่ไม่ตอบรับ แต่ละก้าวที่เดินไปนั้นเต็มไปด้วยความสับสน ขณะเดียวกันก็เหงื่อแตกพลั่กๆ ไปด้วยทั้งๆ ที่ยิ่งก้าวลึกเข้าไป อากาศก็เริ่มเย็นขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนเดินอยู่ในป่าหรือดงไม้ที่ไม่เคยได้รับแสงแดดมาเป็นปีๆ
ดินกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อเดินไปจนสุดทางเดิน เขาไม่รู้สึกว่าบันไดเหล็กพับที่แบกมาร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ นั้นจะหนักไปกว่าความวิตกที่เริ่มจับใจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหันไปมองรอบๆ ก็ไม่พบว่ามีส่วนใดของห้องในชั้น 6 นี้ที่จะมีพื้นที่ให้ใครมานั่งทำงานได้ เพราะมันเต็มไปด้วยเตียงคนไข้ระเกะระกะ ปะปนกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ใช้แล้วอื่นๆ ที่เขาไม่รู้จักชื่อของมัน “มีใครอยู่มั้ยครับ ผมมาเปลี่ยนหลอดไฟให้แล้วครับ” ดินยังคงถามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินกลับจนตัวแทบปลิว
“แค่กๆๆๆ” มีเสียงไอของใครบางคนดังขึ้นที่มุมซ้ายเยื้องไปเบื้องหลังขณะที่ดินเดินกลับมาได้ครึ่งทางแล้ว เขาไม่ยอมหันกลับไปมอง ยิ่งเร่งฝีเท้าหนักขึ้นจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง นี่ถ้าโยนของที่แบกมาด้วยได้ เขาคงทำแล้วในตอนนั้น
“แกรกๆๆ” เสียงโลหะบางอย่าง หรืออาจเป็นเสียงของเตียงที่มีล้อเหล็กขยับให้ได้ยินอีกมุมหนึ่งของห้อง อีกไม่ถึง 10 เมตรก็จะถึงประตูเลื่อนแล้ว ดินเร่งจนกลายเป็นวิ่ง เสียงของที่แบกมาบนไหล่และหลังดังกึงๆ ท้ายที่สุดคีมตัวใหญ่ที่เขาเสียบในช่องกระเป๋ากางเกงแบบช่างก็หลุดกระเด็นออกไปเพราะแรงวิ่ง มันกลิ้งหลุนๆ ไปตกอยู่ข้างทางก่อนจะไปสงบนิ่งอยู่ที่ใต้เตียงเก่าๆ
ดินกลืนน้ำลาย เขาคิดว่าจะทิ้งมันไว้ที่นั่น หรือจะก้มไปเก็บ แต่มันก็เป็นคีมคู่ใจช่างที่ติดตัวกันมาหลายปี จะทิ้งเอาไว้ก็เหมือนทิ้งเพื่อนรักเอาไว้ในที่ไม่สมควร นั่นทำให้ดินละล้าละลัง แต่ทันทีที่กลิ่นน้ำยาดับกลิ่นและสารพัดกลิ่นแบบคนไข้โรงพยาบาลเริ่มแรงมากขึ้นจนรับไม่ได้ ดินก็ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดคือ ไม่ต้องไปเก็บมันแล้ว คีมคู่ใจอะไรนั่น!
เขาผลุนผลันไปจนถึงประตูเลื่อน เวรกรรมจริงๆ ที่เปิดไม่ออก ไม่รู้เพราะรีบเกินไปหรืออย่างไร ขยับโน่นชนนี่เสียงดังไปเรื่อยๆ เพราะแบกบันไดมาด้วย ทำให้เวลาโยกตัวไปดึงสลักประตูแต่ละที มุมบันไดก็โขกกระจกไปมา แต่พอเขาหยุดตั้งสติเพื่อฟังเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นมาอีกก็ทำให้เขาต้องตัวเย็นชา เสียงคล้ายคนไข้ร้องขอความช่วยเหลือ คล้ายกับที่เขาเคยได้ยินจากชั้นอื่นๆ ที่เขาเคยเข้าไปซ่อมแอร์ หรือซ่อมเครื่องมืออุปกรณ์ในพื้นที่หลายส่วนของโรงพยาบาลนี้มาก่อน
ดินเหงื่อหยดหน้าผากขณะสาละวนเปิดประตูเลื่อน ความเป็นช่างไม่ได้ช่วยอะไรเลยในขณะที่จิตไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสียงร้องโอดโอยเบาๆ ของใครบางคนที่ท้ายชั้นดังขึ้นก่อนช้าๆ จากนั้นเสียงนั้นก็เริ่มได้รับการประสานมากขึ้นจนไล่มาถึงกลางห้อง ก่อนที่จะไล่มาถึงจุดที่เขาง่วนอยู่กับการปลดล็อกประตูเลื่อนมรณะนั้น ดินตัวสั่นเป็นลูกนก เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเจออยู่นั้นคืออะไร แต่มันทำให้ประสาทเขาตื่นเพริดยิ่งกว่าการเล่นเกมชนิดเฉียดตาย มือที่สั่นดิกๆ พยายามปลดล็อกจนได้ยินเสียงดัง “กริ๊ก” แล้วประตูบานเลื่อนก็สามารถเปิดออกได้ ทำให้ดินพุ่งพรวดออกจากบานเลื่อนทันที
เสียงกระแอมดังขึ้นที่เบื้องหลัง ดินไม่หันไปมอง เขารีบดิ่งไปที่ลิฟต์แล้วกดให้มันจอดรับ ตอนนั้นใจระทึกมาก เขาเห็นสัญญาณไฟลิฟต์เลื่อนลงมาจากชั้นสูงแล้ว เมื่อมันผ่านมาถึงชั้นที่ 7 เขาตั้งใจพุ่งเข้าไปในลิฟต์เมื่อมันเปิด สายตาที่จ้องมองตัวเลขเบิกโพลงเมื่อมันผ่านจากชั้น 7 แล้วผ่านชั้น 6 เลยไปถึงชั้น 5 และดิ่งลงไปเรื่อยๆ นั่นแสดงว่ามันไม่ยอมจอดรับเขาที่ชั้น 6…
เสียงแกรกกรากดังขึ้นที่เบื้องหลัง ตอนนั้นดินตัดสินใจไม่รอลิฟต์อีกต่อไปแล้ว เขากระโจนไปที่บันไดหนีไฟที่อยู่เลยตัวลิฟต์ไปทางขวา แล้ววิ่งลงบันไดจนปลายบันไดเหล็กที่แบกมาด้วยนั้นกระทบตามขั้นราวบันไดเสียงดังกึงกังสะท้อนในอาคาร จังหวะที่ต้องหมุนตัวเลี้ยวที่ชั้นพักบันไดนั้น เป็นจังหวะบังคับที่เขาต้องหันไปมองเบื้องล่าง แต่ตาเจ้ากรรมก็ยังอุตริมองไปที่จุดที่เพิ่งจากมา สิ่งที่เห็นทำให้ดินแทบก้าวขาไม่ออก
ทั้งๆ ที่บานเลื่อนปิดไปแล้ว และเป็นกระจกฝ้า แต่สิ่งที่เห็นเป็นเงาเบื้องหลังกระจกฝ้าของชั้น 6 คือเงาคล้ายคนไข้ที่มาแนบหน้ากับกระจกฝ้า แม้จะมองไม่เห็นหน้าตา แต่ก็เดาได้ว่าเป็นคนกำลังวางมือวางหน้าแนบกระจกเพื่อมองผู้ที่เพิ่งจากไปเช่นเขา
เส้นผมของดินตั้งชั้นขึ้นเมื่อเห็นเงาหลายเงาร่วมกันทาบหน้า ทาบมือ โยกตัวไปมาคล้ายอยากจะออกจากห้องนั้น หรืออาจจะร้องขอความช่วยเหลือจากใครก็ได้ที่จะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขาด้วยวิธีการที่เหมาะสม เสียงครางต่ำๆ คล้ายขอความช่วยเหลือยังดังให้ได้ยินเบาๆ ดินอยากจะร้องไห้กับสิ่งที่พบเจอ เขาเร่งฝีเท้าหนักขึ้นกระทั่งมาถึงพื้นเบื้องล่างโดยปลอดภัยก่อนจะหยิบของทุกอย่างออกแล้วนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรง
“ไอ้น้อง ทำไมดูโทรมอย่างนี้วะ” รุ่นพี่คนหนึ่งทักขึ้น
“ผมไปที่ชั้น 6 มาครับ” ดินพูดแค่นั้น รุ่นพี่อีกหลายคนที่นั่งอยู่ในห้องก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว จากนั้นดินก็เล่าให้ทุกคนฟังว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นแบบไม่ปิดบัง ทุกคนที่ได้ยินเขาพูดถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ต่างมองหน้าลูบแขนตัวเองไปมาเพราะขนลุกขนชันโดยพร้อมเพรียง
“ตอนแรกที่เห็นเขียนโน้ตทิ้งเอาไว้ว่าไปที่ชั้น 6 พวกพี่ๆ คิดว่าน้องพูดเล่น” พี่เชิดหัวหน้าฝ่ายอาคารพูดขึ้น
“อ้าวทำไมเหรอครับ?” ดินสงสัย
“จริงๆ แล้วชั้น 6 มันปิดตายมาเป็นปีแล้ว หลังจากที่มีเรื่องเฮี้ยนและเรื่องผีหลอกทุกคน กระทั่งหมอและพยาบาลก็เจอกันมาแทบหัวโกร๋น ลงท้ายต้องปิดชั้นนั้นไปทั้งชั้น” พี่เชิดเพิ่มเติม
“ที่สำคัญ…ชั้น 6 นั้นถูก ‘ตัดไฟ’ ทั้งชั้นไปนานแล้ว เพราะไม่มีการใช้งานกัน ไม่มีใครสนใจว่าไฟจะติดหรือดับที่นั่น เพราะมันไม่มีคนอยู่” พี่แจ๊คที่เป็นรองหัวหน้ารีบเสริมขึ้น
“ถามจริงเถอะ…ใครโทรเรียกน้องน่ะ” เชิดถามย้ำ
“พยาบาลกลางคนโทรมาเรียกผมครับ ย้ำว่าให้ไปเปลี่ยนหลอดไฟที่ชั้น 6” ดินยืนยัน จากนั้นเขาก็ชี้ให้ดูในบันทึกที่ปรากฏอยู่ในโปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์ ว่ามีคนโทรเข้ามา และมีสัญญาณมาจากชั้น 6 จริงๆ
“โคตรหลอนเลยว่ะ…ใครๆ ก็รู้ว่าทั้งไฟทั้งสัญญาณต่างๆ จากชั้นนั้นมันถูกตัดไปนานแล้ว ถ้ามันติดขึ้นมาได้แบบนี้กูว่าหลอนสุดๆ” พี่เชิดย้ำ
ขณะที่ทุกคนกำลังมองหน้ากันเพื่อหาทางไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก จะได้มีมาตรการป้องกันสำหรับพนักงานน้องใหม่อื่นๆ ที่อาจจะเจอเรื่องทำนองนี้ซ้ำเข้าให้อีกในอนาคต ก็มีเสียงโทรมาจากชั้น 6 อีกครั้ง มีสัญญาณติดมาให้เห็นหน้าจอด้วย เจ้าหน้าที่อาคารทุกคนสะดุ้งโหยง กลืนน้ำลายลงคอกันถ้วนหน้า เพื่อให้ทุกคนได้เป็นประจักษ์พยานร่วมกัน เชิดจึงเปิดเสียงลำโพงให้ได้ยินกันทุกคน
“จากชั้น 6 ค่ะ” เสียงคล้ายพยาบาลวัยกลางคนที่เคยเรียกดินขึ้นไป
“เอ้อ…มะ…มี…อะ…ไร ให้ผม รับ…ใช้ ครับ” เชิดตอบตะกุกตะกัก
“พนักงานซ่อมอาคารลืมคีมไว้ที่ชั้น 6 ช่วยมารับไปด้วย…..” เสียงนั้นคงจะพูดอะไรต่อไปอีก แต่เชิดรีบตัดเสียงออกไปเสียก่อน หลังเหตุการณ์นั้น ทุกคนรีบแยกย้ายกันกลับบ้านแต่หัววัน…คงมีเพียงเวรเท่านั้นที่ต้องอยู่โยง แต่รับรองได้ว่าไม่มีใครเผลอไปเก็บเครื่องมือที่ดินทำหล่นไว้ที่ชั้น 6 แน่นอน
ทุกวันนี้ก็ยังปล่อยมันอยู่ที่นั่นแบบนั้น…
*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น
/
เรื่องโดย. วรพจน์
ภาพโดย. วรพจน์, vistapointe.net, www.flickr.com