คราวหนึ่ง ผู้เขียนจำได้ว่า พี่อ้อมรุ่นพี่แถวๆ บ้านเคยพาพวกเราไปเจอดีในทุ่งร้าง...ที่ผีเจ้าที่ออกมาหลอกหลอนจนเราต้องไปขอขมาศาลเล็กๆ ที่สร้างเอาไว้ในที่แห่งนั้นแล้ว พอตกมาระยะนี้ พี่อ้อมก็เห็นทีจะมีเรื่องแปลกๆ มาชวนพวกเราปวดหัวอีก
เรื่องราวคราวนี้ มันเริ่มขึ้นในวันหนึ่งกลางเดือนมกราคมที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เอง
“…จริงรึ นายอ้อม ที่นายบอกว่านายได้ยินเสียงแปลกๆ อะไรนั่นน่ะ นายได้ยินมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
พี่เล็กรีบถามทันที ซึ่งเราเองก็แปลกใจเหลือที่จะกล่าว เพราะวันนี้พวกเรานอกจากจะมากันเร็วแล้ว พี่เล็กที่ปกติไม่ใคร่จะเชื่อในคำพูดของพี่อ้อม…และออกจะขัดคออยู่บ่อยๆ ถึงกับมาถามพี่อ้อมอย่างเป็นจริงเป็นจัง ราวกับเรื่องที่พี่อ้อมพูดขึ้นมามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายยังงั้นแหละ
“…ก็คอขาดบาดตายจริงๆ น่ะซิวะ?”
พี่เล็กหันมามองพวกเรา พลางหันไปถามพี่อ้อมอีกครั้ง…
“ว่าไงล่ะนายอ้อม นายได้ยินจริงๆ รึเปล่า?”
พี่อ้อมบอกว่าได้ยินจริงๆ แล้วแกก็ได้ยินมาสามสี่วันแล้วด้วย รวมเมื่อคืนนี้ก็เป็นคืนที่ห้าเข้าไปแล้วนั่นแหละ
“เดี๋ยวๆ ที่พวกแกคุยกัน มันเรื่องอะไรวะ ฉันฟังอยู่ตั้งนานไม่เห็นรู้เรื่องเลย เสียงอะไรวะที่พวกแกสองคนได้ยินกันน่ะ หือ…เล็ก อ้อม?”
พี่แป้นสงสัยขึ้นมาอีกคน ว่าที่จริงพวกเราต่างก็สงสัยด้วยกันทุกคนนั่นแหละ เพียงแต่พี่แป้นถามขึ้นมาแล้ว พวกเราก็เลยรอฟังคำตอบจากพี่สองคนเค้าเท่านั้น
“…พี่เล็กเห็นพี่อ้อมไม่พูด แกเองก็เลยพูดและเล่าให้ทุกคนฟังว่า…”
…จะว่าไปแล้ว ทีแรกแกก็ไม่เชื่อหูตัวเองสักเท่าไหร่ ทีแรกคิดว่าหูคงแว่วไปมากกว่า จนเสียงที่ว่านี้ แกได้ยินติดๆ กันสองสามครั้ง ก็ชักจะแน่ใจว่าหูแกไม่ได้ฝาดไปแน่ๆ
“หูฝาด พี่ได้ยินเสียงอะไรรึครับ?”
นายป้องหันมาถาม พี่อ้อมเลยตอบแทนว่า
“เสียงคนร้องให้ช่วยน่ะซิ…ใช่มั้ยพี่เล็ก ผมว่าที่พี่ถามแบบนี้ ก็เพราะพี่คงได้ยินเหมือนที่ผมได้ยินแน่ๆ เพราะไม่อย่างนั้นพี่คงไม่สนใจแบบนี้หรอก…”
แล้วพี่อ้อมก็เลยเล่าให้พวกเราฟังว่า แท้ที่จริงแล้ว เรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไง
“…จะว่าไป ก่อนหน้านี้มันจะมีเสียงที่ว่านี้หรือเปล่า เราก็ไม่แน่ใจนัก เพียงแต่ว่า หลายวันมานี้ เราได้ยินเสียงที่ว่านี้ตลอดเลย…
เสียงมันจะดังขึ้นมาในราวๆ ตีสาม ที่เป็นเวลาดึกสงัด ดังเหมือนมีคนร้องครางขอให้ช่วย แล้วก็ดังไปเรื่อยๆ เหมือนเสียงมันลอยมาตามสายลม”
แกบอกว่าทีแรกก็ไม่ทันได้สนใจหรอก
“…แต่เผอิญคืนนั้น แกลุกขึ้นมาฉี่ เพราะปวดฉี่กลางดึก เลยลงมาเข้าห้องน้ำ พอขึ้นไปจะนอนต่อ ก็ได้ยินเสียงที่ว่านี้เลย…”
พี่เล็กเออออกับพี่อ้อม เพราะแกบอกว่า แกเองก็ได้ยินแบบนี้เหมือนกัน
“เหมือนเสียงคนร้องครางโอดโอย ร้องให้ช่วยดังเป็นระยะๆ…คืนก่อนเราสะดุ้งลุกพรวดพราดขึ้นมา เพราะนึกว่าเป็นเสียงพี่แป้น หรือเสียงพี่กิมเฮียง แต่พอฟังดีแล้วๆ ไม่ใช่เลย เสียงที่ว่ามันดังออกมาจากนอกบ้าน และผู้ที่ร้องให้ช่วยก็น่าจะอยู๋ในอาณาบริเวณนี้ด้วย…”
แกบอกว่า เพียงแต่แกไม่รู้เท่านั้นเองว่าใครร้องให้ช่วย แล้วกลางวันเค้าจะร้องอีกหรือเปล่า เพราะไม่ได้ใส่ใจ
“เผอิญกลางคืนมันเงียบสงบไงล่ะ เสียงที่ร้องมันก็เลยได้ยินชัด…” พี่เล็กแกว่าอย่างนั้น
…แล้วแกก็หันมาถามพวกเราว่า นี่ตกลงไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรกันบ้างเลยเรอะ เราทุกคนส่ายหน้า ว่าไม่มีใครได้ยินเสียงอะไรกันสักอย่างเดียว
ผมนั้นเป็นคนนอนไว ได้ยินเสียงอะไรนิดอะไรหน่อยก็สะดุ้งตื่นแล้ว แต่เสียงร้องครางที่พี่สองคนบอก ผมกลับไม่เคยได้ยินเอาเสียเลย
“เอาอย่างนี้ซิ ถ้าพวกแกอยากได้ยินเสียงที่ว่านี้ คืนนี้ราวๆ ตีสาม ลองลุกขึ้นมาฟังกันดู บางทีพวกแกอาจจะได้ยินเสียงที่ว่านี่บ้างก็ได้…คราวนี้จะได้ลองหาดูว่าเสียงที่ร้องให้ช่วยนั้นดังออกมาจากบ้านหลังไหน”
“…ก็ดีเหมือนกัน เพราะพวกเราไม่ได้ยินเลย ผมว่าพวกพี่สองคนหูฝาดไปมากกว่า”
นายปูพูดปั๊บ ทึ้งพี่อ้อม ทั้งพี่เล็กก็แหวออกมาทีเดียว
“ไม่ใช่โว้ย รับรองว่าเราสองคนหูไม่ได้ฝาดไปแน่ๆ ถ้าหูฝาดไป ทำไมได้ยินทั้งสองคนล่ะวะ?”
ผมนั้นไม่ใคร่จะเชื่อที่พี่อ้อมพูดทุกเรื่องซะเท่าไหร่นักหรอก แต่กับพี่เล็กแกไม่เคยมั่ว ไม่เคยโกหกหรือมาหลอกลวงพวกเราเลย
ดังนั้นพอพี่เล็กบอกว่าได้ยิน ก็หมายความว่าแกท่าทางจะได้ยินมาจริงๆ ไม่ได้มาโกหกยกเมฆ หรือแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกพวกเราแต่อย่างใด
ดังนั้น ในคืนนั้นพวกเราทุกคนก็เลยหมายใจว่าจะลองเชื่อพวกพี่ๆ แล้วตั้งใจรอตอนตีสามเพื่อฟังดูว่าจะมีเสียงร้องครางอย่างที่พี่สองคนบอกเอาไว้มั้ย
คืนนั้น ผมเข้านอนราวๆ สามทุ่มกว่าๆ แล้วตั้งนาฬิกาให้ปลุกช่วงๆ ตีสาม
…ไม่รู้เป็นอย่างไร คืนนั้นอากาศร้อนอบอ้าวเหลือเกิน ผมนอนกระสับกระส่าย ไม่หลับสักที แต่คงจะหลับไปราวๆ สี่ทุ่ม เพราะหลังจากนั้นผมก็ไม่รู้ตัวอีกเลย
“ผมมาสะดุ้งตื่นเอาอีกที ก็เพราะเสียงนาฬิกาที่ตั้งเอาไว้ดังขึ้น ผมเอานาฬิกาเก็บไว้ใต้หมอน ดังนั้นก็เลยได้ยินเสียงปลุกดังพอสมควร…”
ทันทีที่ผมลุกขึ้นและตั้งสติได้แล้ว ก็พยายามเงี่ยหูฟังทันที กลางดึกแบบนี้เงียบสงัดทีเดียว ผมนั่งจมอยู่ในความมืด เกือบๆ สิบนาทีก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรดังขึ้นมาอีกเลย
ผมนั่งรอต่อไปอีก จนเสียงนาฬิกาข้างล่างตีบอกเวลาตีสามครึ่ง ผมเห็นว่าท่าทางจะเหลว ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรที่พวกพี่ๆ เค้าได้ยินกันเลย ก็ตั้งท่าจะนอนต่อ แต่พอผมทิ้งตังลงนอนเท่านั้น ผมก็ได้ยินเสียงคนร้องครางดังขึ้นมาทันทีทีเดียว
“โอย…ย…ช่วย…ด้วย…ย…ย ช่…ว…ย…ด้…ว…ย”
เสียงที่ว่าดังเป็นระยะ เดี๋ยวดังเดี๋ยวค่อย ผมยิ่งเงี่ยหูฟัง แต่แล้วผมก็ต้องสะดุ้งอีกครั้ง เพราะโทรศัพท์มือถือผมดังขึ้น ผมรีบรับสาย ปรากฏว่าพี่ตี๋โทรเข้ามา แกถามว่า ผมได้ยินเสียงมั้ย
“ผมว่าได้ยิน แกว่าแกก็ได้ยิน พลางถามผมว่า ลองออกมาดูกันมั้ย เพราะตอนนี้แก พี่เล็ก พี่แป้น พี่อ้อม และนายปูออกมาแล้ว ผมว่าเอา…เอา ผมเอาด้วย”
ถ้าลองไปกันหลายๆ คนแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ผมวางสายแล้วก็รีบแต่งตัวทันที ความง่วงงุนเมื่อสักครู่หายไปหมดแล้ว ผมรีบย่องลงมา พลางไขกุญแจออกไปกลางดึก ใจนึงก็นึกหวาดๆ อยู่เหมือนกัน
ปรากฏว่าพี่ๆ ออกมารอผมอยู่แล้ว แกบอกว่า แกเดินหาที่มาของเสียงร้องมาทุกบ้าน จนมาถึงท้ายซอยก็ยังไม่รู้เลยว่า เสียงที่ว่านั้นดังมาจากที่ไหน
“ในขณะที่เรากำลังยืนรวมกลุ่มกันอยู่นั้น เสียงที่ว่าก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้เสียงนั้นดังอยู่ใกล้ๆ พวกเรานี่เอง เราทุกคนหันขวับไปทันที แต่ก็ไม่มีใครเห็นหรือเจออะไร เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง แล้วก็เงียบไปอีก…”
พี่เล็กหันมามองหน้าทุกคน เหมือนจะถามว่า มีใครได้ยินอย่างที่แกได้ยินมั้ย เราพยักหน้า แกก็เลยชี้มือให้เราเดินไปดูกันที่ท้ายซอย อีกครั้ง..
ผมเองทีแรกก็นึกสนุกอยู่ การออกมาทำอะไรตอนนี้ มันตื่นเต้นท้าทายดีก็จริง แต่เราไม่ควรลืมว่า เราเองเป็นพวกที่ชอบเจออะไรแปลกๆ อยู่เสมอ…หลายเรื่องที่เราสงสัย จึงมักจะกลายเป็นเรื่องโดนดีทุกครั้ง แต่เพราะความขี้สงสัยของพวกเรานี่แหละ ทำให้เรามักจะเจออะไรๆ แบบนี้อยู่เสมอ
“ผมนั้นไม่กลัว เพราะมากันหลายคน ถ้ามาคนเดียว ผมเองก็ไม่เอาเหมือนกัน ดีที่ว่าคราวนี้เราอยู่กันครบทีม เกิดอะไรขึ้นเห็นจะช่วยกันได้ แต่ทว่าในเวลานั้น เราไม่เห็นอะไรผิดปกติเลยสักอย่าง เรามองไปรอบๆ ทั้งซอยเงียบสงัด จะหาคนสักคน หรือหมาแมวสักตัวยังไม่มีเลย ทั้งซอยมีแค่พวกเรายืนจับกลุ่ม หันซ้ายหันขวากันอยู่เจ็ดคนเท่านั้นเอง
ความเงียบปกคลุมอาณาบริเวณนั้นไว้อีกครั้ง แต่แล้วสักครู่หนึ่ง เราก็ได้ยินเสียงร้องครางให้ช่วยอีก เวลานี้เรารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ข้างหลังเรา และใกล้เข้ามา เรารีบหันกลับไปดูทันที
แล้วพวกเราก็ตกใจแทบทรุดลงไปทั้งยืนเลย เพราะข้างหลังเราขณะนี้ มีเงาดำรูปร่างสูงใหญ่ สูงจนเลยเสาไฟฟ้า แล้วยังสูงกว่านั้นอีก กำลังหยุดยืนอยู่ห่างจากพวกเราไม่มากนัก
ผมและพวกพี่ๆ รีบทรุดตัวลงหมอบไปกับพื้นถนนทันที เพราะกลัวว่าเงาร่างสูงนั้นจะเห็นเรา แต่ปรากฏว่า เงานั้นยังเดินก้าวโหย่งๆ ข้ามหัวพวกเราไป พร้อมกับก้าวเท้าอีกสองครั้งก็ผ่านถนน แล้วข้ามกำแพงบ้านหลังฝั่งตรงข้าม พร้อมๆ กับหายลับไปทางหลังบ้านตึกใหญ่หลังถัดๆ ไปนั้นเอง
“ปะ ปะ เปรต พวกเราเห็นเปรตมั้ย?” เสียงพี่แป้นสั่นเครือ แต่ไม่มีใครตอบสักคน เรากลัวจนแทบจะไม่มีแรง ทีนี้พวกเรารู้สาเหตุแล้วว่า เสียงที่ร้องครางให้ช่วยนั้นดังมาจากที่ไหน ที่แท้ก็ดังมาจากเสียงเปรตนี่เอง เรารีบลุกขึ้นตั้งสติ แล้วถามว่าจะเอายังไงดี สรุปว่ายังไงตอนนี้เข้าบ้านกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
ผมนั้นกลัวเหลือที่จะกล่าว รีบกลับเข้าบ้านทันที แต่ทว่าตั้งแต่นั้นจนสว่าง ผมก็นอนไม่หลับแล้ว วันรุ่งขึ้นเราไปหาหลวงตาบัวกันแต่เช้า จัดแจงทำสังฆทานและอุทิศส่วนบุญให้เปรตตนนั้นอย่างพร้อมเพรียง
ผมเชื่อว่า คราวนี้ทั้งพี่เล็กและพี่อ้อม แกคงหายสงสัยแล้วล่ะครับว่า เสียงที่ร้องนั้น เป็นเสียงใคร???
เรื่องโดย. จุติ จันทร์คณา
ภาพโดย. www.deviantart.com, fcoc-vs-battles.fandom.com, whoislouisepierre.blog, www.wallpaperflare.com