ฉบับนี้จะคุยกันด้วยเรื่อง…ที่พอเอ่ยชื่อคุณก็รู้ คือใครๆไม่รู้จักนี่ไม่ใช่ชาวโลก “งู” คือสัตว์หนึ่งเดียวในโลกที่อยู่คู่มนุษย์มาอย่างยาวนาน เป็นที่รู้จักกันมานับหมื่น นับพันๆ ปีแล้ว
งูคือสัตว์ของพระเจ้า งูคือปีศาจ อสรพิษ งูคือสัญลักษณ์ทางเพศ แล้วงูยังมีปริศนาร้อยแปดที่เรายังรู้ไม่หมด เมื่อไม่นานมานี้มีข่าวงูเหลือม งูเห่า งูจงอางเข้าบ้านคน โผล่ทางคอห่านให้ผวายามนั่งโถ กลัวถูกกัดมากกว่าถูกฉก เพราะไอ้ที่มันฉก มันอาจคิดว่าเป็นงูตัวอื่นกระมัง
เหตุการณ์นี้มักพบในบ้านจัดสรรใหม่ที่เคยเป็นที่นามาก่อน มีนาก็มีหนู มีหนูก็ต้องมีรูหนู และมีงูตามมายึดรังหนู กินหนูเป็นอาหาร เพราะมนุษย์ไปแย่งที่ทำมาหากิน และที่อยู่อาศัยของเขากันเป็นจำนวนมาก จึงโผล่หัวชูคอมาทักทายในฐานะเจ้าถิ่นบ้าง แค่นี้…กลัวไปได้?
กลัวนักก็หากำมะถันผสมน้ำมันพืชป้ายๆ ตามผนังกำแพงด้านนอก และโรยลงชักโครก ถ้ามีงูอยู่เขาก็จะจากไป เพราะแพ้ทางกัน ยิ่งบ้านใดมีตะขาบ รับรองงูจงอางไม่มี พิษจงอางว่าแรงแล้วแต่มันกลับเกรงกลัวตะขาบเลื้อยหนีสุดชีวิต เพราะสู้กันยังไงก็แพ้ตะขาบวันยังค่ำ
งูสมัยบรรพกาล
งูตัวแรกของโลก ที่เรารู้จักกันดีจากคัมภีร์ไบเบิล เมื่อครั้งพระเจ้าสร้างโลก และทรงสร้างมนุษย์ อาดัมกับอีฟ สวนสวรรค์ของพระเจ้ามีงูตัวหนึ่ง มันยุยงให้อีฟและอาดัมกินผลแอปเปิล ผลไม้ที่พระเจ้าสั่งห้ามกิน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและลืมข้อห้ามก็กิน เศษแอปเปิลติดคออาดัมจนเกิดเป็นลูกกระเดือกขึ้นมา ส่วนอีฟกลืนเข้าท้อง เกิดภาวะยางอายหรือละอายแทนที่ทั้งคู่เปลือยเปล่า
พอพระเจ้ารู้ก็สาปงูทันทีให้สืบจากนี้ไป จะเป็นที่รังเกียจของมนุษย์ ต้องอยู่อย่างลำบาก หลบๆ ซ่อนๆ และไม่อาจสื่อสารกับมนุษย์ได้อีก ส่วนบุตรทั้งสองก็ถูกขับออกจากสวนเอเดน ให้ใช้ชีวิตมนุษย์สืบเผ่าพันธุ์กันต่อมาจนถึงวันนี้ นี่คืองูบรรพกาลตัวแรกที่เราคุ้นเคย
แล้วงูก็มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งบนโลกใบนี้ มีมาตลอดตั้งแต่สมัยโลก 56-66 ล้านปีที่แล้ว สมัยพารีโอซีน ที่โลกเริ่มมีวิวัฒนาการของกลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โลกเริ่มร้อนและมีต้นไม้มากขึ้น สายพันธุ์ที่นักโบราณคดีค้นพบคือ ไททันโอโบอา เป็นต้นกำเนิดของงูยักษ์ทั้งหมดยาว 15 เมตร หนัก 2 ตัน อ้วนใหญ่มาก หุ่นไม่เพรียว แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีงูยักษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่านี้อยู่อีก
เราสามารถพบเห็นรูปของสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้ในทุกอารยธรรม ในหลายห้วงสมัย ตำนาน เรื่องเล่าเกี่ยวกับงูมีมาเสมอ สมัยไอยคุปต์โบราณหรืออียิปต์ มีงูเป็นสัญลักษณ์บนมงกุฎแห่งฟาโรห์ เพราะอียิปต์นับถือเทพรา หรือสุริยเทพมาก ในตำนานเล่าว่า งูเป็นสัตว์ตัวแรกที่น้อมหัวก้มทำความเคารพสุริยเทพในยามอรุณทรงฉายแสงเหนือทะเล ทำให้คนอียิปต์ยกย่องงู และงูอียิปต์ได้ชื่อว่ามีพิษรุนแรงอาฆาตแรงด้วย
จากอียิปต์สู่กรีกโบราณ เมืองนี้ให้การนับถืองูมาก ด้วยความเชื่อว่า งูจะนำความมั่งคั่งมั่งมีมาสู่ จึงไม่ใช่เรื่องแปลก หากจะพบภาพวาดงูบนผนังกรีก และนครรัฐที่เกี่ยวข้องกัน งูที่โด่งดังของกรีกในตำนานก็คือ หัวงูเมดูซ่าที่ถูกสาปให้มีเส้นผมเป็นงู มีใบหน้าอัปลักษณ์ เลือดของนางที่หยดก็กลายเป็นอสรพิษตัวน้อยๆ เลื้อยไปทั่ว หัวนางปัจจุบันกลายเป็นแบรนด์ดังของต่างประเทศเช่น เวอซาเช่ แต่ก็แปลก พอใช้กระเป๋าที่มีรูปหัวงูเมดูซ่าครึ่งเทพและแม่มด เงินเข้าดีมาก แม้จะเป็นของก็อบก็ตาม ของแท้แพงมากครับ…
คนกรีกโบราณถึงกับเปิดคอร์สการเรียน สอนนักเรียนให้เรียนรู้เกี่ยวกับงูอีกด้วย เขามีเทพนิยายเล่าถึงงูยักษ์ เวลาแลบลิ้นเลียหู ผู้นั้นจะเข้าใจภาษานกและแมลงได้ และมีงูพันที่ไม้เท้าของเทพแห่งการรักษาอีกด้วย จึงเกิดเป็นสัญลักษณ์ทางการแพทย์ งูยักษ์มีมานานก่อนอารยธรรมกรีกจะเกิดขึ้น สมัยเทพยังอยู่คู่มนุษย์ เมื่อเทพแยกจากมนุษย์เรื่องที่เคยเกิดขึ้นจึงเป็นเพียงตำนานซ้อนตำนาน
งูสัตว์แห่งเทพเจ้า
สำหรับงูที่อยู่ในประเทศอินเดีย จะได้รับการยอมรับเป็นพิเศษ เพราะงูคือตัวแทนแห่งพญานาค และเป็นสัตว์ที่อยู่คู่กับมหาเทพ พระศิวะมีงูแทนสร้อยอยู่ที่พระศอเป็นนาควาสุกรี พระพิฆเนศก็มีงูพันที่เอว ตอนที่ท่านท้องแตกโดยมีพระจันทร์เป็นเหตุ งูก็มาช่วยรัดให้ติด
ส่วนพระนารายณ์ ก็มีพญาอนันตนาคราชเป็นบัลลังก์ให้ประทับในทะเล งูในอินเดียถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องให้ความเคารพ จะเห็นได้ว่าคนอินเดียจะไม่ฆ่างู (คนที่นับถือเทพ) งูจึงมีบทบาทสำคัญมากสำหรับคนอินเดีย จึงเกิดประเพณีที่เกี่ยวกับงูหลายอย่าง เช่นวันที่ 5 ทุกปีของเดือนชาวาล จะมีการเฉลิมฉลองเลี้ยงดูปูเสื่องูเห่า เรียก Naga Panchami มีการเป่าปี่เป็นที่สนุกสนานทั้งคนและงู หรือพิธีป้อนนมให้งูดื่ม แล้วคนๆ นั้นพร้อมทั้งครอบครัวก็จะได้รับการปกป้องไม่ให้งูตัวอื่นมาทำร้าย
อาจเพราะอินเดียเป็นประเทศที่ทำการเกษตรกรรม มีงูเห่าชุกชุม จึงมีคนถูกงูกัดปีหนึ่งๆ เป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน พิธีกรรมและความเชื่อเป็นตัวเชื่อมโลกของคนและงูให้เข้าถึงกัน ปรองดองกัน และอยู่ร่วมกันได้อย่างอัศจรรย์ใจ ที่สำคัญคือการบูชาต่อพระศิวะเจ้ามหาเทพที่มีงูเป็นบริวาร แม้เทพเทวีปางอื่นๆ ของพระอุมา ก็ทรงมีงูประดับอาภรณ์ ส่วนใหญ่เป็นปางปราบดุๆ เพราะงูที่นี่คือนาคบำเพ็ญตบะ
จากอินเดียไปดูทางฟากฝั่งตะวันตก แดนเม็กซิโก อารยธรรมแอซแท็ก อินคา มายา ล้วนมีภาพสลักนูนต่ำเป็นรูปงูใหญ่ขนาดยักษ์ พวกเขาบูชางู และเทพพระอาทิตย์ มีการทำพิธีเซ่นสังเวยอย่างโหดเหี้ยมและน่ากลัวมาก เทพของชาวแอซแท็กเล่าว่า พระองค์ทรงมีพระวรกายครึ่งนกครึ่งงู (น่าจะเป็นเครื่องประดับของคนทรงใส่) งูยักษ์ในตำนานมีหงอนบนหัว สามารถกินคนได้เป็นพันคน ส่วนงูเทพเจ้านั้นเป็นผู้สอนให้พวกเขาทำการเพาะปลูกและช่วยปกป้องไร่ข้าวโพดอีกด้วย
ส่วนทางยุโรปก็มีเรื่องงูยักษ์อวดชาวบ้านเขาเหมือนกัน งูตัวนี้รู้จักกันดีในอาณาจักรครึ่งสวรรค์และนรก เรียกดินแดนมิดการ์ด นี่คือตำนานเรื่องเล่าของไวกิ้ง หัวเรือของไวกิ้ง จึงถูกแกะให้เป็นรูปหัวงูกับมังกร ตัวแทนของเทพเจ้า และความตาย งูที่มิดการ์ดจะเผยความชั่วให้เห็นมากกว่าความดีในจิตคน
เจ้าแม่หนี่หว่า งูบรรพกาลของจีน ที่ครึ่งหนึ่งเป็นงูและครึ่งหนึ่งเป็นคน พระองค์ทรงสร้างโลก เจ้าแม่หนี่หว่ามีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลและเรียกฝนเรียกน้ำได้ คล้ายพญานาค แม้แต่มังกรก็มีงูสัตว์มงคลเป็นส่วนประกอบของร่างกาย งูใหญ่ที่โด่งดังและบำเพ็ญเพียรจนกลายเป็นตำนานรักก้องโลกอย่างนางพญางูขาวก็ใช่ งูจะถูกยกย่องสรรเสริญ หรือถูกมองในด้านดีร้ายอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่ในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่ที่ความเชื่อ ศรัทธา สิ่งที่ปลูกฝังสืบต่อกันมา งูเหมือนกัน อยู่ต่างที่ต่างเผ่าก็มีคุณค่าต่างกัน?
งูหลายหัว
งูระดับเทพจะมีหลายหัว ส่วนใหญ่นับให้เป็นตระกูลนาค มีในตำนานเทพปกรณัมกรีกเกี่ยวกับงูอีกเรื่องที่เกือบลืมเล่า นั่นคืองูไฮดรา งู 9 หัว พบในตอนเฮอร์คิวลิช และในตำนานขนแกะทองคำ ที่มีงูเก้าหัวเฝ้าทรัพย์อยู่ พูดถึงหัวงูมากๆ ที่ญี่ปุ่นก็มีตำนานงู 8 หัวแต่ชั่วร้ายมาก เทพต้องลงมาปราม
บ้านเราหัวเยอะอย่างนี้ไม่ใช่งู แต่คือพญานาค ที่มีเศียรตั้งแต่ 3 5 7 และ 9 เศียร มีหลักฐานปรากฏในพุทธประวัติหลายครั้ง และครั้งสำคัญที่ทำให้คนรู้จักกันดีก็คือ พญานาคมุจลินท์ แปลงเป็นงูใหญ่มาแผ่แม่เบี้ยบังฝนให้พระพุทธองค์ ตอนที่ทรงตรัสรู้แล้ว จึงเกิดเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกขึ้นมา
นอกจากนี้งูยังถือเป็นสัตว์ที่เฝ้าขุมทรัพย์ พบงูที่ใด ที่บ้านนั้นต้องมีขุมทรัพย์ฝังซ่อนอยู่ งูที่คนเห็นตัวเป็นๆ มีโผล่ให้คนนำไปร่ำลือกันใช่น้อย อย่างที่เมืองกาญจนบุรี สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พบงูยักษ์แอบมากินทหารญี่ปุ่นหายไปทีละคน ภายหลังจับได้ว่าเป็นงูขนาดใหญ่ยักษ์ ต้องใช้ระเบิดสังหารถึงตาย
คนไทยเราใจหายวาบ เพราะเชื่อกันว่า งูขนาดใหญ่คืองูเจ้าที่ แต่งูตัวนี้คงถึงที่จึงจอดร่างแหลก งูเหลือมขนาดใหญ่ โบราณมีความเชื่อว่า ห้ามฆ่าโดยเด็ดขาด เคยได้เห็นผลมาแล้วถึงสองราย คือคนที่ฆ่างูเหลือมนะครับ คนแรกเหวี่ยงแหนจับปลาตอนกลางคืน ดันจับได้งูเหลือมขนาดใหญ่ แกไม่ปล่อย ฆ่าเอาหนังไม่กี่วันแกก็มีเรื่องฆ่าคนตาย ติดคุกอยู่หลายปี ส่วนอีกคน งูเหลือมตัวใหญ่เลื้อยเข้ามาในบ้าน มันมาเป็นครั้งที่3 แล้ว แต่ก็แค่ไล่ๆ ไป ครั้งสุดท้ายดวงคงถึงคราว เพราะดันเลื้อยพาดขื่อในครัว ตัวยาวกินคนได้สบายๆ คนในบ้านก็ไล่มันอีก แต่คราวนี้มันหันมาสู้ ผลคือถูกตีจนตาย
รายนี้ก็เหมือนกัน ไม่กี่วันซวยข้อหาลักทรัพย์ขณะเมา ติดคุกอยู่คืนหนึ่ง เจ้าทุกข์ไม่เอาเรื่องแต่ตำรวจเอาเงิน ผมเองก็ฟังเขามาเรื่องงูๆ นี่ล่ะ ถ้าเจองูสามเหลี่ยมเวลาตีให้ร้องคำว่า ตีโจรๆ นะ เพราะงูพันธุ์นี้มันมีอาถรรพณ์ ดีไม่ดีจะเกิดเหตุร้ายกับคนตีได้ อีนี่เมืองไทยม่ายช่ายอินเดียนะจ้า เจองูตีงู เจอแขกก็กินโรตีแทน
เรื่องโดย. กรุเก่า
ภาพโดย. กรุเก่า, en.wikipedia.org, howtofix.guide, www.1zoom.me