7 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                เมื่ออาทิตย์ก่อน เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิท ชื่อพี่อุไร เธอได้เดินทางมาหาผู้เขียนที่บ้าน สตรีวัย 65 ปี ดูร้อนใจในกิริยาอาการก่อนที่จะเอ่ยเข้าประเด็น

                “พี่จะรบกวนเวลาคุณนั่งรถไปเที่ยวเมืองตรังสักวัน เรื่องเป็นอย่างนี้นะคะ พี่จะเดินทางไปเจรจากับพี่สะใภ้ เป็นตัวแทนของพี่ชาย พูดคุยกันถึงการหย่าและแบ่งทรัพย์สิน ซึ่งตอนนี้พี่ชายกับพี่สะใภ้แยกกันอยู่ได้ปีเศษแล้ว ตัวพี่สะใภ้แม้จะอายุ 67 แต่ก็ยังอุตส่าห์ดั้นด้นหาชู้ ซึ่งชายชู้เป็นครูเสียด้วยค่ะ อายุ 45 ปี แต่งงานแล้ว มีลูกหนึ่งคน เขาเป็นมุสลิม”

                ผู้เขียนพยักหน้ารับฟัง ทั้งนี้ ช่วงนี้มีแต่งานบุญเข้ามา เช่น งานศพ งานบวช ต้องออกงานในจังหวัดทุกวันจริงๆ

                “ซึ่งเรื่องหย่านั้น พี่ชายได้คุยมารอบหนึ่งแล้ว ครอบครัวนี้เขามีเงินนอนในธนาคาร 20 ล้าน แต่เป็นบัญชีของพี่สะใภ้ ตกลงทางฝ่ายหญิงที่โทรศัพท์คุยกับพี่เมื่อคืน นางบอกเรื่องหย่านั้น ฉันหย่าให้แน่ แต่ขออะไรตั้ง 5 ล้าน มันต่อรองขอให้ 1 ล้าน อ้างว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินเดือนสะสมของเขาตั้งแต่เป็นนางพยาบาลใหม่ๆ ไม่เคยได้ใช้ได้ถอนเลย สบโอกาสพี่ก็ย้อนให้น่ะสิ”

                “ก็เพราะพี่บ่าว พี่ชายฉันมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวไงล่ะ เปิดอู่ทำรถได้เงินเข้าร้านวันละหลายหมื่นก็ยื่นให้เธอหมด เธอเป็นคนกุมบัญชี นี่ก็ไม่รู้ว่ากินนอกกินในมากี่ปี ถึงได้ผัวชาวบ้านมากก ซื้อรถเก๋งให้มันขี่ ซื้อทองให้ผัวมันใส่คอแทบหัก แขนแทบยกไม่ขึ้น เพราะคำนวณทองแล้วร่วม 30 บาทที่อยู่ในตัวผู้ชาย โอ๊ย มันร้องกรี๊ดเหมือนถูกผีเข้า เราก็นางพยาบาลเก่า ซึ่งคุณเองก็รู้ดีว่าผลตอบแทนมันไม่เท่าไหร่เมื่อเทียบกับอาชีพอื่น ใช่ไหมคะ?” พี่อุไรเท้าความดุเดือด

                “เช้าวันนี้พี่จะไปคุยกับมันอีกรอบค่ะ พูดแทนพี่ชาย ไหนๆ ก็ไหนๆ นะคะ เผื่อพี่ขึ้นโรงพักจะได้มีเพื่อนไปเสียค่าปรับไงคะ”

                ‘อ้าว!’ ผู้เขียนคิดในใจ แต่ก็ตัดสินใจ เดินทางก็เดินทาง ทั้งนี้ตลอดการเดินทาง พี่อุไรได้อธิบายความเพิ่มเติม (เอาไว้เป็นกรณีศึกษาสำหรับผู้ที่จะเลิกรากัน) ซึ่งฝ่ายชายคือพี่บ่าว วัย 70 ปีนี้ เป็นพี่ชายคนโตที่เกิดจากแม่เดียวกันของพี่อุไร ส่วนพ่อของพี่บ่าวได้ถูกโจรฆ่าตายตั้งแต่พี่บ่าวเกิดมาได้ 8 เดือน ส่วนพ่อของพี่อุไรนั้นเป็นเครือญาติกับฝ่ายพ่อพี่บ่าว ทางผู้ใหญ่เห็นว่าเจ้าบ่าวพี่อุไรเป็นคนขยันทำมาหากิน ที่ทางแต่ดั้งเดิมของบรรพบุรุษมีทั้งจังหวัดยะลาและปัตตานี จึงอนุญาตให้คุณแม่สมรสโดยจัดงานใหญ่ได้ในรอบสองนี้

                “พูดไปก็เหมือนเอาแม่พี่มานินทานะคะ เพราะคุณแม่รักลูกไม่เท่ากันไงคะ ซึ่งตอนนั้น ราวปี พ.ศ.2510 พี่บ่าวได้เข้าเรียนในกรุงเทพฯ แม่ซื้อบ้านให้อยู่เลย แต่แกก็เรียนจบนะคะที่ช่างกลปทุมวัน แผนกช่างยนต์ พอจบแล้วแกก็บอกแม่ ลูกไม่อยากเป็นลูกน้องใคร อยากสร้างอู่ซ่อมรถ ขายอะไหล่ ลงทุนครั้งเดียว ไม่ช้าไม่นานก็จะทยอยคืนเงินให้แม่บ้าง เพราะน้องๆ ต้องเรียนต่อ แม่ก็ต้องขายที่ดินยกผืนให้พวกแขก ได้เงินมา 3 ล้าน ตอนนั้นมูลค่ามันราว 30-40 ล้านของ พ.ศ.นี้”

                “พี่ชายหอบเงินไปลงทุนทำเองเลย ทั้งขายอุปกรณ์อะไหล่ ติดตั้ง ซ่อมเครื่องยนต์ทุกประเภท เงินเข้าวันๆ หนึ่งหลักหมื่นนะคะยุคนั้น และแกก็ไม่เอ่ยถึงเงินที่ยืมแม่มาลงทุนเลย ตัวแม่ก็ไม่คิดทวงถาม จนพี่สอบเข้าเรียนวิทยาลัยพยาบาลก็ได้เงินเก็บจากการตัดยางของพ่อเอามาเป็นทุนเรียน ส่วนน้องสาวที่เรียนวิทยาลัยครูก็เหมือนกันค่ะ แทบจะแบ่งข้างกัน นี่ลูกแม่ นั่นลูกพ่อ คุณแม่พี่เป็นอย่างนั้นจริงๆ คือลำเอียง รักลูกไม่เท่ากัน!”

               “ช่วงที่พี่บ่าวกำลังบูมๆ ก็เกิดไปปิ๊งปั๊งกับเมียแกคนนี้แหละ เธอเป็นนางพยาบาลที่…โอ้โฮ แม่นี่อวยยศอวยเกียรติใหญ่โต บอกอย่างน้อยลูกบ่าวฉันเจ็บป่วยเป็นไข้ก็มีคนดูแล ในที่สุดเมื่อได้แต่งงานกัน ผลปรากฏพี่สะใภ้นี่เป็นคนจีนแท้ๆ ที่งกและเค็มที่สุด เช่น เค้าทำกับข้าวในทุกๆ เย็น ทำเยอะมาก แต่จะเรียกพี่เรียกน้องให้มาเอาข้าวเอาแกงก่อน ส่วนผัวกับแม่ผัวเอาไว้ทีหลัง บางทีเมื่อแบ่งแกงหมดเกลี้ยง…ผัวกับแม่ย่ากินข้าวกล่อง อาหารตามสั่งไปก็แล้วกัน เป็นอย่างนี้”

                พี่อุไรถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แต่เค้าก็ทนกันได้ทนกันดีนะ ว่าแต่แม่…พอกับพ่อ หากพ่อทำอะไรไม่ถูกใจก็โวยวาย บางคราวก็ด่าส่ง คุณพ่อของพี่น่าสงสารมาก พูดง่ายๆ ท่านน่าจะเป็นคุณแม่ เพราะเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด ไม่เคยขึ้นเสียงกับใครในบ้าน ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมตัวพี่กับน้องสาวถึงรักพ่อมาก…”

                “และตัวของแม่ เมื่อได้ลองเข้าไปอยู่กับลูกสะใภ้คนจีน ทั้งที่บ้านหลังนั้นที่พี่ชายซื้อเป็นเรือนหอก็เงินแกครึ่งหนึ่ง อีกส่วนก็เป็นเงินของพี่ชาย สรุปว่าก็เงินของแม่ทุกบาททุกสตางค์ แต่จริงๆ เมื่อเข้าไปอยู่ แม่ต้องไปทำงานบ้านทุกอย่าง รวมถึงซักกางเกงในให้สะใภ้ หากพอสองทุ่มอู่ปิด พี่ชายเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์เดินผ่านแม่ที่นั่งอยู่ รีบเอามาให้เมียนั่งทำบัญชี แล้วแกยังมีหน้ามาเล่าให้พี่ฟังตอนเกิดเรื่อง แม้แต่ค่าน้ำแข็งในอู่ให้คนงานก็ยังต้องขอเมีย คือแกไม่เคยมีเงินพกติดตัวเลย ทุกเรื่องต้องผ่านพี่แดงหรือเจ๊แดงเท่านั้น คงเป็นเวรของแกนะคะที่ยอมเมียได้ถึงขนาดนี้”

                ขณะนั้นผู้เขียนคิดอยู่ประการเดียว ครอบครัวหนึ่งก็เรื่องหนึ่ง มีเรื่องราวที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน คนเราสร้างกรรมดีกรรมชั่วมาไม่เหมือนกันนะคะ ต่อมาผู้เขียนได้ถามถึงบุตรของพี่บ่าวกับเจ๊แดงบ้าง

                “หลานๆ เรียนจบ ป.ตรี หมดแล้ว เป็นผู้หญิงทั้งคู่ ดูแล้วเด็กรักแม่มากกว่าพ่อ พี่เคยโทรศัพท์ไปคุยกับพวกเค้า เค้าก็บอกเรื่องแม่เป็นชู้กับครูอาดัม ว่าพ่อคิดไปเองทั้งเพ ที่ครูอาดัมเข้าๆ ออกๆ บ้านช่วง 5 ปีที่แม่เกษียณอายุ แม่จ้างครูอาดัมมาสอนดนตรีให้ และครูอาดัมก็เก่งวิชาวาดรูปด้วย พวกหนูก็เรียนกับครูเมื่อมีเวลาว่าง บ้านเราอยู่ใกล้กัน ครูอาดัมแกมีลูกมีเมียแล้ว ใครก็รู้ แต่เมื่อคืนที่พูดคุย นางเจ๊เธอสารภาพเองว่าอยู่กันมาปีกว่าแล้ว เมียอาดัมเค้าเข้าใจ ไม่ถือสา มุสลิมมีเมียได้ 4 คน หากเขายอมรับกันในครอบครัว”

                “ส่วนกับพี่ชายเรา ทุกวันนี้เขากินนอนในอู่ ไม่เคยกลับบ้าน ตอนแรกที่แยกตัวออกมา คงคิดว่าไม่ลูกก็เมียคงมาตามง้อให้กลับ แถมตัวแม่ก็สบช่องทำคะแนน เมื่อลูกเรียนจบ แม่ซื้อรถเก๋งให้ขับ อยู่แบบฉบับ…แบบเราๆ ไม่มีพ่อมอมๆ กลับเข้าบ้านให้อายเพื่อนฝูง เด็กมันก็เหลิงติดแม่ เพราะขออะไรก็ได้ ซึ่งพี่ชายแกเพิ่งจะเก็บเงินเองก็ในช่วงที่แยกกันอยู่ แต่ก็ไม่เหลือหรอกค่ะ ทราบว่าลงขวดหมด! โทรมาคราวไหนเวลาใดก็พูดจาอ้อมแอ้ม มาเสียคน เสียสุขภาพเอาตอนแก่ อายุ 70 นี่เอง” พี่อุไรส่ายศีรษะ

                “อันที่จริง เรื่องของพี่บ่าว พี่จะไม่ยุ่ง ตัวใครตัวมันก็ได้ แต่ก่อนแม่ตาย แม่ได้ฝากพี่บ่าวกับพ่อไว้ ครั้นตอนพ่อใกล้สิ้นลม พ่อย้ำถึงเรื่องพี่บ่าวที่สัญญากับแม่ไว้ ให้เราลูกสาวคนโตรับไม้ต่อ” พี่อุไรหัวเราะในลำคอหึๆ “พอพี่รับปาก พ่อก็ขาดใจ พ่อรักแม่มาก ตั้งแต่อยู่กันเป็นครอบครัว มีแต่พ่อที่ทำงานหนัก ใช้เงินของพ่อส่งให้ลูกสองคนได้เรียนสูงๆ เพื่อมีงานที่มั่นคงทำ ส่วนพี่บ่าวนั้นหรือ พอฉุกเฉินก็ขับรถมาปัตตานี พาแม่ไปเที่ยวบ้านอาทิตย์สองอาทิตย์ คุยไปคุยมา อ้าว แม่ขายที่ดินที่ยะลาอีกละ? ไม่รู้ครอบครัวนี้เขาใช้เงินอะไรนักหนา และไม่ว่าพี่บ่าวจะเอ่ยอะไร คือใช่และถูกต้องของแม่นะคะ ดั่งที่บอกตั้งแต่ต้น…พูดแล้วก็เหมือนนินทาครอบครัว”

                ทั้งนี้เมื่อเดินทางถึงอู่ของพี่บ่าว เดินไปทางไหนก็เห็นแต่ขวดเหล้าขวดเบียร์ ผู้เขียนขอตัวที่จะนั่งรอด้านนอก ให้พี่น้องเค้าปรึกษากัน ก่อนที่พี่อุไรต้องเดินทางไปบ้านเจ๊แดงที่อยู่ไม่ไกลกัน ทั้งนี้พี่บ่าวพูดทิ้งท้ายกับน้องสาว

                “ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาให้เท่าไรก็คงต้องรับไว้ เพราะตลอด 45 ปีที่อยู่กับแดง…อุไรก็รู้ พี่ไม่เคยพกเงินติดตัว ทุกอย่างให้เขาจัดการ ตัวเรามีหน้าที่ทำแต่งาน อ้อ…แล้วพูดจากับเขาดีๆ เพราะอย่างไรพี่ก็ต้องยอมหย่าให้เขาอยู่ดี ที่อู่นี้ห่างจากบ้านพี่ราว 500 เมตร บ้านผัวใหม่ถัดจากบ้านไปอีก 100 เมตร…สู้ตัดใจเสียให้ขาด ถือเสียว่าเขาไม่รักพี่บ่าวแล้ว” พูดแล้วทำท่าจะร้องไห้ พี่อุไรขอให้พี่ชายเข้านอน

                มาถึงคราวที่ต้องเผชิญกับเรื่องราวความจริงที่ต่างรอคอยในคำตอบ พี่อุไรกลับแผดเสียงทันทีที่พบเจ๊แดง “ในเมื่อเรื่องที่คุยกันเมื่อคืนเป็นเรื่องจริง เงิน 5 ล้านไม่แพงหรอกค่ะ ที่ต้องล้างอายควายแก่ๆ ที่ถูกนังเมียลายดอกสวมเขาเอาผัวเด็ก อ้อ ที่ว่าเพิ่งเปิดเผยเมื่อปีกว่า จริงๆ แล้วอาจไปแอบกินกันตามโรงแรมม่านรูดมาไม่รู้เท่าไหร่” ตามด้วยเสียงหัวเราะเยาะเย้ย เป็นหนังคนละม้วนกับที่รับปากพี่ชายไว้ ผู้เขียนต้องกระตุกชายเสื้อ หมิ่นประมาท กระซิบเบาๆ

                “น้องอุไร ทำไมพูดจาอุบาทว์เพียงนี้” เจ๊แดงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สะกดอารมณ์เต็มที่

                “เพราะตัวแกอุบาทว์ก่อนไง แถมชาติชั่วให้อีกก็ได้เอ้า…มีเยี่ยงอย่างหรือ อยู่กับผัว ตัวอยากได้อะไรก็ได้ เพราะสันดานแกมันชอบดกทงไง วันนี้วันที่ 10 พฤษภาฯ สาธุ ปีหน้ามาเจออีกที ขอให้ไอ้ผัวแขกมันสูบจนหมดตัวทีเถิ้ด ไว้จะกลับเวียนมาดูน้ำหน้าแก จำไว้หนาอีแดง อีสถุล ดีแต่เปลือกนอก อีแอ๊บ”

                ตายแล้ว ผิดแผนที่วางไว้ไปกันใหญ่ เขาส่งตัวแทนมาให้เจรจา นี่กลับมาชิงด่าเค้าก่อนอีก จึงรีบยกมือไหว้เจ๊แดงก่อนปรามพี่อุไรให้ออกมานั่งนอกบ้าน ตั้งสติ เมื่อสังเกตไปโดยรอบตัวบ้าน กล้องวงจรปิดมีไม่ต่ำกว่า 3 ตัว

                “จะให้ลูกสาวฉันมานั่งพูดคุยด้วยมั้ยล่ะ ว่าตลอดอายุ ตั้งแต่แรกเกิดจนเกือบ 30-40 ปี มันเคยคุยกับพ่อของมันสักกี่คำ” เจ๊แดงเปรยอย่างอารมณ์เย็น

                ฉันลูบไหล่พี่อุไรให้ใจเย็นบ้าง

                “ก็เพราะพี่ชายฉันเค้าเอาแต่ทำงานไง เพราะไม่อย่างนั้นครอบครัวจะมีวันนี้หรือ”

                “และหากไม่มีคนเก็บเงินเก่งเหมือนฉันล่ะ เขาจะเป็นอย่างไร?”

                “พี่แดง ฉันขอโทษนะ ตอนนี้ฉันไม่ได้ดูถูกพี่ เมื่ออาทิตย์ก่อน ฉันบุกไปดูหน้าไอ้บังอาดัมถึงโรงเรียน เลสข้อมือของมันนี่แผ่นเท่าฝ่ามือ น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 20 บาท ไหนจะสร้อยที่คออีก ลำพังเงินเดือนครูอัตราจ้างนั้นคงไม่มีปัญญา…รู้ไหม เมื่อฉันเห็นมันอยู่ในห้องสหกรณ์ โกหกมันว่าเป็นผู้ปกครองเด็กแล้วชวนมันคุย ฉันถามก่อน ผู้ชายมุสลิมใส่ทองไม่ผิดหรือในหลักศาสนา มันตอบไม่ผิด เพราะไม่ใช่เงินตัวเองซื้อ มีคนซื้อให้อีกที เรายังแกล้งอำ แหม เมื่อไรจะโชคดีเหมือนคุณครู มันตอบชนิดที่ไม่ต้องคิดเลยว่าผู้ปกครองก็ลองหาคนสูงวัยมาอุปถัมป์บ้างสิครับ คือมันพูดชิลๆ ไม่นึกกระดากใจอะไรเลย” เมื่อเอ่ยอย่างนี้ เจ๊แดงถึงกับหน้าแดงสมชื่อ

                “ฉันแกล้งอวยว่า คุณครูโชคดีอย่างโน้นอย่างนี้ มันจัดการเปิดปากเลย…บอกเป็นข้าราชการเกษียณแถวบ้านครูเองครับ ลูกสาวเธอเข้ากับครอบครัวผมได้ดี เขาเข้าใจ เลยแกล้งถามต่อว่า อีแก่คนนี้ไม่มีผัวรึไงคะ เขาบอกผู้ชายแก่แล้ว ไม่มีอะไร เขาสองคนแยกกันอยู่มานานแล้ว เมียเค้าก็ไม่กลัวอะไร ลูกๆ ก็เต็มใจ ฉันถามต่อ แล้วเมียคุณครูไม่ว่าหรือ มันตอบชนิดเอิดๆ เลย ในเมื่อเงินเดือนผมให้เธอกดใช้เต็ม ไหนจะมีเงินพิเศษอีก ทุกอย่างก็จบครับ เราดูแลกันและกันได้ ถือว่าไม่ผิด เจ๊แดงลองกลับไปถามไอ้ผัวหนุ่ม มันพูดถึงเจ๊ลับหลังอย่างนี้มั้ย วันนั้นฉันก็ลืมอัดเสียงไว้ซะด้วย”

                คราวนี้เจ๊แดงคิดหนักแล้ว ดูจากสีหน้าที่แดงก่ำ แต่อย่างไรท้ายที่สุดเจ๊แดงเธอได้ทำทุกอย่างตามใจตนปรารถนา คือเธอตกลงจ่ายค่าหย่าให้พี่บ่าว 2 ล้าน 5 แสนบาท อีกทั้งอ้างว่าเธอต้องจ่ายให้เมียบังอาดัม เพื่อเป็นค่าหย่าอีก 2 ล้าน 5 แสน พร้อมเชื่อมั่นว่าในบั้นปลายชีวิตเธอคงมีความสุขอยู่ตามประสากับสามีที่มีอายุห่างกันถึง 22 ปี เธอเชื่อของเธออย่างนั้น

                ขากลับ พี่อุไรได้วนกลับมาที่อู่ของพี่บ่าวอีก ตกลงเขายอมรับในเงื่อนไข หากเมื่อเบียร์ขวดแรกถูกเปิดขึ้น ตามด้วยขวดที่สอง สาม สี่ ก่อนที่จะพากันเดินทางกลับ

                “ขอให้ไอ้ผัวแขกของมันทำกับมัน เหมือนกับวันนี้ที่มันหมดรักกู กูเชื่อเวรกรรมมีจริง ขอสาปแช่งให้มันสองคนมีแต่ฉิบหาย…ฉิบหาย…” พี่บ่าวเอ่ยบอกน้องสาวด้วยอาการมึนเมา “มันสองคนช่างทำร้ายจิตใจกูเหลือเกิน อุไรน้องรัก”

                อยากจะบอกพี่บ่าว ชีวิตคู่ก็เป็นอย่างนี้…บางคู่เกิดมาเป็นคู่สร้างคู่สม บางคู่เกิดมาเป็นคู่เวรคู่กรรม ทำให้ต้องเป็นศัตรูคู่แค้น ฆ่าฟันในบั้นปลาย…หากเมื่อใดที่เรารู้ทัน กรรมแต่อดีตชาติ (ตามความเชื่อ) เรื่องที่ว่ายาก จะลงเอยด้วยดีได้เพราะมีสตินำพา…หากพี่บ่าวรู้จักกับผู้เขียนมากกว่านี้สักนิด…ก็อยากจะบอกเพียงว่า กิจการพี่ก็มีทำ รถยนต์ก็มีใช้ มีทุกอย่างพร้อมเพรียง อายุปูนนี้ต้องออกท่องเที่ยว…จะไปเสียเวลากับเรื่องเก่าๆ อยู่ทำไม พี่ควรจะปรับปรุงตัวเองให้ดูดี สลัดคราบผู้ชายขี้เมาออกเถิดพี่ ไม่มีใครรักเราเท่ากับตัวของเราเองได้

                หากเรื่องนี้ผู้เขียนเป็นเพียงผู้ดูและผู้ฟัง แต่เข้าใจในบทบาทของผู้ถูกทอดทิ้ง ยามใดที่ผงเข้าตาตนเอง มันยากที่จะเขี่ย…ผู้ชายหรือผู้หญิงของตนให้ออกจากชีวิตได้

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

*ภาพที่ปรากฏใช้เป็นเพียงภาพประกอบเรื่องเท่านั้น

/

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. www.teahub.io, www.wallpaperflare.com, www.jrequipment.ca, www.insider.com, industryeurope.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •