กรกวี หนุ่มวัย 25 ปีได้งานแถวย่านบางนา ทั้งๆ ที่บ้านเขาอยู่ดอนเมือง จริงๆแล้วงานนั้นดีมากแต่ลำบากเรื่องการเดินทาง เขาขี้เกียจขับรถไกลฝ่าการจราจรติดขัดไปทำงานทุกเช้า จึงต้องหาตัวช่วยที่เข้าท่าที่สุด
“ไอ้เบิ้ม มึงมีที่พักแถวๆ บางนาไม่ใช่เหรอ ขอกูไปอยู่ด้วยคน แล้วจะหารค่าเช่าให้” กรทักเบิ้มเพื่อนเก่าสมัยเรียนหนังสือด้วยกัน
นั่นทำให้กรแวะไปหาเบิ้มหลังเลิกงานแล้ว และพบว่าหอพักของเบิ้มอยู่ห่างออฟฟิศที่ทำงานของเขาแค่สามซอยเท่านั้น สามารถเดินไปทำงานหรือตื่นสายได้ ทั้งประหยัดค่าน้ำมันและค่าเดินทางได้สารพัด คิดแล้วจ่ายค่าเช่าหอพักยังดีกว่าไปจ่ายเป็นค่าน้ำมัน-ค่าผ่านทางด่วนมาก
“แต่…มึงมาแชร์ห้องกับกูไม่ได้หรอก เพราะกูมีคู่รักแล้ว ตอนนี้กูมีน้องโบคนสวยไปๆ มาๆ ที่ห้องของกูอยู่ว่ะ” เบิ้มตอบแบบนั้น ทำให้กรเกาหัวแกรกๆ
“เฮ้ย แต่มันมีตึกแฝดนี่หว่า มึงลองไปติดต่อธุรการดูซิ เผื่อมีห้องว่าง” เบิ้มหมายถึงอาคารบีที่อยู่ใกล้ๆกัน เพราะอาคารที่มันอยู่คืออาคารเอ
กรยังรู้สึกมีหวังอยู่บ้าง จึงชวนเบิ้มเดินไปคุยกับธุรการที่อาคารบี คำตอบที่ได้ก็คือห้องเต็ม ไม่มีห้องว่างเลย ไม่มีทีท่าว่าจะมีห้องไหนย้ายออกไปในตอนนั้นด้วย แต่กรก็ยังไม่หมดหวัง คิดว่าลองเสี่ยงให้ค่าขนม ซึ่งที่จริงก็คือแม่บ้านดูแลตึกเอาไว้สัก 100 บาท เผื่อเธอจะหาห้องได้ ประมาณว่าเผื่อๆ เอาไว้เท่านั้น จากนั้นกรก็ขับรถกลับบ้านพ่อแม่ที่ดอนเมือง ถึงบ้านไม่ทันได้พักผ่อน ก็มีสายโทร.เข้าจากแม่บ้านที่เขาให้เบอร์เอาไว้ บอกว่า “คุณกรคะ มีห้องว่างแล้วค่ะ ดิฉันหาห้องให้ได้แล้ว” ตอนนั้นกรดีใจมาก แต่ก็ยังงงอยู่ว่าทำไมแม่บ้านที่ชื่อ “มะลิ” หาห้องให้เขาได้ว่องไวจัง
รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ที่กรหยุดงานตามปกติ เขาเตรียมข้าวของที่จำเป็นในการเข้าพักติดไปด้วย กะว่าพออยู่ได้สักพัก ถ้าขาดเหลืออะไรก็ค่อยกลับมาเอาไปเติมในวันหน้าก็แล้วกัน จากนั้นก็รีบขับรถไปที่บางนาทันที เมื่อไปถึง มะลิก็เตรียมพาขึ้นไปดูห้องที่บอกว่าว่าง พร้อมให้เข้าอยู่ได้ทันที
“ห้องอยู่ชั้น 6 ค่ะ หมายเลข 666 นี่ค่ะกุญแจห้อง” มะลิสาวใหญ่วัยเฉียดห้าสิบส่งกุญแจห้องให้กรถือ ทั้งคู่ขึ้นลิฟต์มาด้วยกัน ระหว่างนั้นมะลิเธอกดลิฟต์ขึ้นชั้น 6 และกดที่ชั้น 5 ด้วย พอลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้น 5 มะลิก็บอกว่า “คุณกรขึ้นไปดูห้อง 666 คนเดียวนะคะ ดิฉันจะขออนุญาตไปดูแลเรื่องที่ชั้น 5 ค่ะ” เธอพูดจบก็เดินออกจากลิฟต์ไป ทิ้งให้กรงงกับสถานการณ์ปุบปับแบบนั้นตามลำพัง แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไปถึงชั้น 6 จนได้
เมื่อไขกุญแจห้อง พบว่าห้องสะอาดดี มีเฟอร์นิเจอร์ครบ ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า เตียง โป๊ะไฟอ่านหนังสือ ห้องน้ำ และพัดลมเพดานที่ทำงานได้ดีทุกอย่าง แต่สิ่งที่แปลกสำหรับเขาก็คือ มันเหมือนเป็นห้องที่ไม่เคยเปิดให้ใครเช่ามานานเป็นปีๆ แล้ว แม้ห้องจะดูสะอาดแต่กลิ่นอับๆ ด้านในของกรอบประตูหน้าต่างมีฝุ่นจับให้เห็น แสดงว่ามันเคยถูกปิดตายมานานเป็นปีๆ กระทั่งวันที่เขามายืนอยู่ในห้องนี่แหละ ตอนนั้นจิตใจมันรู้สึกแปลกๆ คิดว่าไม่อยากจะอยู่ห้องนั้นเอาเสียเลย “หรือว่ากูคิดมากไปหรือเปล่าวะเนี่ย…” กรพูดกับตัวเอง แล้วจู่ๆ ประตูตู้เสื้อผ้าก็ค่อยๆ เปิดออกมาเอง คล้ายระบบล็อกมันไม่ค่อยดีจนทำให้กรสะดุ้ง พอเขาปิดมันเข้าไปมันก็ปิดสนิทเหมือนอย่างเดิม
กรลงไปคุยกับป้ามะลิ บอกว่า ขอกลับไปไตร่ตรองดูสักพัก เพราะมีอะไรหลายอย่างที่เขายังตัดสินใจไม่ได้ในตอนนั้น กำลังจะหันหลังกลับเพื่อเดินไปที่รถที่จอดอยู่หน้าอาคาร
“เอางี้ค่ะ คุณกร…ดิฉันจะลดราคาค่าห้องให้เป็นกรณีพิเศษ จาก 3,500 เหลือแค่ 2,500 ค่าวางมัดจำไม่ต้องวางไว้ที่ 10,000 บาทแต่ให้วางแค่ 5,000 บาทก็พอค่ะ” มะลิพูดสวนขึ้นมา นั่นทำให้กรถึงกับเปลี่ยนใจ เนื่องจากมีส่วนลดจำนวนมากเป็นตัวล่อ ทำให้เขาตกลงเช่าห้อง 666
ในวินาทีนั้น…ต่อมากรจึงได้ขนข้าวของจากรถทยอยเข้าไปเก็บไว้ในห้องพัก พอเที่ยงก็ออกมากินข้าวที่ร้านใกล้ๆ เขาเห็นว่าอาหารร้านนั้นอร่อย จึงออกปากชมเจ้าของร้านว่าฝีมือดี ต่อไปจะมาอุดหนุนกันเป็นเจ้าประจำ เพราะเพิ่งจะได้ย้ายมาอยู่ที่นี่เอง
“ห้องไหนคะ ลมโกรกดีมั้ย วิวสวยหรือเปล่าเมื่อมองจากชั้น 6” แม่ค้าถามร่าเริง พอกรตอบไปว่าพักที่ห้องไหน แกทำหน้าเจื่อนหุบยิ้มทันที พร้อมกับเอามือทาบอกคล้ายตกใจ แล้วก็ถามอีกครั้งว่าจำหมายเลขห้องผิดหรือเปล่า แต่เมื่อกรย้ำว่าห้อง 666 เพราะมันจำง่ายดีไม่มีพลาด แม่ค้ารีบเดินไปที่หิ้งพระกลางร้าน แล้วเลือกหยิบพระองค์หนึ่งหน้าตักสัก 3 นิ้วปางมารวิชัยมาให้กรนำไปวางในห้องด้วย “ไม่ได้ให้เช่าพระนะคะ แต่ให้ยืมเอาไปวางในห้องชั่วคราวค่ะ ย้ายออกวันไหนค่อยเอามาคืนก็ได้ค่ะ ให้ยืมไปวางนะคะ ไม่ต้องถามอะไรให้มากความค่ะ เอาไปวางให้อุ่นใจในห้องตอนนี้เลย” แม่ค้าว่าแบบนั้นกรได้แต่ขอบคุณและเดินจากมาอย่างงงๆ
กรอุ่นใจที่วางพระไว้ที่เหนือตู้เสื้อผ้าตรงทางเข้าออกห้อง ถัดไปเป็นเตียงนอน เขาดีใจที่พระอยู่เหนือหัวเขาแม้จะเยื้องไปบ้างก็ตาม คืนนั้นเขาหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เพราะยกของเข้าห้องหลายเที่ยวตามลำพัง
ดึกมากแล้ว กรฝันประหลาดว่าได้เห็นหญิงผมยาวเดินมาจากนอกหน้าต่างแล้วมาหยุดตรงข้างเตียงนอน โดยมีเก้าอี้ไม้ที่เป็นเฟอร์นิเจอร์ประจำห้องวางอยู่ข้างเตียงด้วย เธอเดินมาช้าๆ ผมยาวปลิวไสว หน้าตาเธอจิ้มลิ้มน่ารักมาก ขาว สวย หมวย ตามสเปกของกรจริงๆ
เธอเดินอ้อมปลายเตียง และเดินมาถึงเก้าอี้ข้างเตียง แล้วก็นั่งลงช้าๆ ชม้ายชายตามองพร้อมถามเขาเบาๆ ว่า “ขออยู่ที่ห้องนี้ด้วยคนนะคะ” เธอพูดเพราะน้ำเสียงหวานน่ารัก กรฟังแล้วเคลิ้ม แต่ความที่เขาเริ่มชอบผู้หญิงคนหนึ่งที่ออฟฟิศแล้ว ทำให้เขาไม่มีใจเผื่อจะรักใครได้อีก ทำให้เขาตอบกลับไปว่า “ อย่าดีกว่า เดี๋ยวแฟนผมรู้เข้าจะเป็นเรื่องใหญ่โต”
หญิงที่นั่งบนเก้าอี้มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที จากหน้าหวานสวยน่ารักกลายเป็นขมึงตา แสดงท่าโกรธ แล้วตะคอกออกมาว่า “กู…จะ…อยู่…กับ…มึง…” ช้าๆ แต่ได้ยินชัดทุกถ้อยคำ จนทำให้กรสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
เขานั่งอยู่กลางเตียงเหงื่อกาฬแตกพลั่กราวกับไปวิ่งระยะไกลที่ไหนสักแห่ง เรื่องที่ฝันนั้นดูสมจริงสมจังมาก เมื่อมองนาฬิกาแขวนในห้องเห็นว่าเป็นช่วงตี 3 เขาตกใจมากขึ้น เมื่อเห็นเก้าอี้นั้นมันมาอยู่ข้างเตียงนอนเขาได้ตอนไหนกันแต่พอนึกถึงพระที่แม่ค้าให้นำมาไว้ที่ห้องด้วยก็ใจชื้นขึ้น คิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังมีบารมีพระคุ้มครองอยู่ และนั่นทำให้เขาข่มตาหลับไปได้ในที่สุด
รุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ กรไปเที่ยวกับแฟนสาวอย่างมีความสุข เขาเกือบบอกรักเธอแล้วตอนที่ไปส่งที่บ้านเธอ แต่ก็เก็บอาการไว้ คิดว่าไม่นานจะเผยความในใจ จากนั้นก็กลับมาที่หอพักอย่างเบิกบาน เขาอาบน้ำ นั่งจดบันทึกรวมถึงเล่นเกมมือถือ กระทั่งถึงเที่ยงคืนจึงปิดไฟนอนหลับ
คืนนั้น…หญิงผมยาวคนที่เคยมาเข้าฝันในคืนก่อนมาปรากฏร่างให้เห็นอีก ผมยาวสยายปลิวไปมาและเผยให้เห็นใบหน้าที่ซีดขาวเดินก้มหน้ามาอยู่ที่ปลายเตียง พอเธอรับรู้ว่าเขามองอยู่ก็เงยหน้าให้เห็นเต็มๆ ตอนนั้นกรรู้สึกผงะจนแทบจมลงไปในที่นอน เธอเดินวนเวียนที่ปลายเตียงพลางหันมองเขาด้วยตาขวางๆ
กรกลัวมาก เขาไม่เคยเจออะไรแบบนี้ เธอชี้นิ้วมาที่เขาแล้วก็เดินย่ำขึ้นเตียงเข้ามานั่งคร่อมร่าง สองมือกดหน้าอกเขาจนจมลงไปในที่นอน ก่อนจะเลื่อนมือมาบีบคอจนกรดิ้นขลุกขลักใกล้จะหมดลมหายใจทุกขณะ เท้าเขาเหวี่ยงไปมาจนเตะถีบบางอย่างกระเด็นออกไปโครมคราม มารู้ทีหลังว่าเป็นเก้าอี้ ที่ไม่รู้มาอยู่ที่ปลายเตียงตอนไหนได้อย่างไร แต่มันก็กลิ้งโค่โร่ไปแล้ว เสียงนั้นที่ปลุกให้เขาตื่นจากฝันร้ายจนลุกขึ้นมานั่งกลางเตียงอย่างงงๆ แม้จะรู้สึกเจ็บหน้าแข้งเพราะเตะเก้าอี้ล้ม แต่กลับรู้สึกกลัวอะไรบางอย่างที่น่าจะสิงอยู่ในห้องนั้นมากกว่า เขาเปิดไฟสว่างทั่วห้องและรีบโทรหาเบิ้มที่พักอยู่ที่อาคารเอให้ช่วยมานอนเป็นเพื่อน เพราะสิ่งที่เจอมามันหนักเกินจะรับได้อีกต่อไปแล้ว
เบิ้มรับปากบอกว่าจะรีบไป ระหว่างรอเบิ้ม กรมองดูนาฬิกาแขวนข้างผนังก็เห็นว่าเป็นช่วงเวลาตี 3 คล้ายกับเมื่อคืนก่อน ทำไมมันตรงกันได้แบบนั้น นั่นยิ่งทำให้เขาขนลุกขนชันมากยิ่งขึ้น สักพักเบิ้มก็มาถึงที่ห้องและสอบถามพูดคุยกับกรจนรู้ว่าอะไรเป็นอะไร “เอาโว้ย พรุ่งนี้ไปไหว้พระภูมิเจ้าที่ ไปทำบุญใส่บาตรด้วยกัน แล้วก็อุทิศส่วนกุศลให้กับใครก็ตามที่มารบกวนมึง” เบิ้มบอกแบบนั้น จนทำให้ต่างคนต่างรู้สึกดีขึ้นมาเพราะจะได้ทำบุญกัน ทั้งคู่ตื่นแต่เช้าแล้วไปตักบาตรพระที่หน้าหอพัก จากนั้นก็ลางานช่วงเช้าไปทำสังฆทานที่วัดใกล้ๆ ก่อนจะไปทำงานด้วยใจปลอดโปร่ง ความรู้สึกดีๆ ที่ได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่าง
พอถึงช่วงดึกก็นอนอย่างมีความสุข เพราะคิดว่าเรื่องร้ายทุกอย่างน่าจะจบลงแล้ว คืนนั้นเรื่องน่ากลัวที่เคยวิตกกลับมาแบบเดิมอีก กรฝันเห็นหญิงผมยาวคนเดิมเดินออกมาจากตู้เสื้อผ้าซึ่งต่างจากทุกคราวที่เธอจะเดินมาทางหน้าต่าง เธอเดินไปที่ปลายเตียงโดยไม่พูดไม่จา ใบหน้าของเธอขาวซีดเหมือนปลาตาย ก้มหน้านิ่ง ที่รอบคอของเธอมีเชือกไนลอนขนาดหนึ่งนิ้วก้อยพันรอบ โดยมีปลายเชือกอีกด้านอยู่ในมือทั้งสองข้าง ตอนนั้นกรรู้สึกอึดอัดมากที่สุด เขาขยับร่างไม่ได้เลย เขาอยากหนีออกไปจากภาพมรณะนั้น
เธอเงยหน้าขึ้นช้าๆ ดวงตาแดงก่ำจ้องมองมาที่ใบหน้าของกร ปากขยับคล้ายอยากพูดอะไรแต่ไม่มีเสียงออกมา เธอเดินอ้อมเตียงมาที่ข้างเตียงและยืนบนเก้าอี้ สายตามองจ้องมาที่กรตลอดเวลา จากนั้นเธอก็ใช้ปลายเชือกโยงกับแกนพัดลมกลางห้องที่ปิดสนิทแล้วในตอนนั้น แล้วก็ถีบเก้าอี้ตัวนั้นกระเด็นออกไปทำให้น้ำหนักตัวถูกรั้งโดยเชือกห้อยคอ เธอดิ้นรนไปมาน่ากลัว กระทั่งท้ายที่สุดก็หยุดนิ่ง มือสองข้างตกลงข้างกาย ร่างกระตุกสักพักก็แน่นิ่งไป กรรู้สึกถึงความหลอนที่พลุ่งพล่านไปทั่วกาย เขาเหมือนโดนตรึงให้อยู่กับที่ไม่สามารถขยับตัวออกมาจากจุดนั้นได้ สายตาถูกบังคับให้จ้องนิ่งกับดวงหน้าที่น่ากลัว ผมยาวสยายนั้น เขาพยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าเรื่องน่าจะจบลงไปแล้ว เพราะเธอก็มาให้เห็นฉากสุดท้ายที่สยองที่สุดแล้ว แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีก เมื่อเธอลืมตาโพลงขึ้นมาโดยที่ในดวงตานั้นมีแต่ตาขาวล้วนๆ ปากก็แสยะอ้าส่งเสียงหัวเราะแหบๆ ออกมาก่อน จากนั้นก็มีเสียง… “กู…จะ…อยู่…กับ…มึง” ดังขึ้นมา
กรรวบรวมสติครั้งสุดท้ายนึกถึงอะไรสารพัด สุดท้ายก็นึกถึงพระพุทธรูปที่แม่ค้าให้มาวางไว้ในห้อง กระทั่งสามารถลืมตาขึ้นมาได้ก็รีบกระโจนพรวดเดียวออกจากห้องโดยปล่อยประตูเปิดคาไว้อย่างนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปก็พบว่ามีเก้าอี้นั่งที่ถูกถีบล้มอยู่ข้างเตียงจริงๆ โดยที่ไม่รู้ว่ามันถูกเลื่อนจากซอกที่เก็บออกมาอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ทำให้เขากลัวจนฉี่ราดออกมาจริงๆ พระพุทธรูปที่อาราธนามาอยู่ด้วยในห้องถูกพลิกหันหน้ากลับไปที่ฝาผนังแทนที่จะมองออกไปเบื้องนอก เมื่อมองไปที่นาฬิกาแขวน มันบอกเวลาตี 3 ตรงกับเมื่อสองคืนก่อนที่เกิดเหตุ เท่านั้น กรแทบสติแตก เขาวิ่งออกไปลงลิฟต์ราวคนเสียสติ พอวิ่งไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงป้อมยาม ยามจึงดึงมือเขาไว้แล้วสอบถามกระทั่งได้เรื่องว่าเจอเข้ากับอะไร ทั้งสองคนมองขึ้นไปที่ชั้น 6 ก็เห็นว่าประตูเปิดอ้าอย่างนั้น แต่ที่ทำให้ขนลุกคือมีเสียงหัวเราะสยองๆ ดังตามลมจนยามเองก็แทบจะเก็บอาการกลัวไม่อยู่ กรขอยืมโทรศัพท์ของยามโทรหาเบิ้มให้มารับไปด้วย เพราะเขากลัวจนทำอะไรไม่ถูก สักพักเบิ้มก็มาพาตัวกรไปพักด้วยในสภาพที่มีกลิ่นฉี่หึ่งไปทั้งตัวเพราะกลัวจนฉี่ราด
วันรุ่งขึ้น กรและเบิ้มไปคาดคั้นแม่บ้าน ทั้งปลอบทั้งขู่ว่าจะโทร.ไปคุยกับเจ้าของอาคารตัวจริงว่าเกิดอะไรขึ้น ท้ายที่สุดแม่บ้านก็ปริปากบอกว่า ห้องนั้นเคยเป็นห้องของหญิงที่จับโกหกได้ว่าแฟนมีคนใหม่ ประกอบกับที่บ้านของเธอมีปัญหาทางการค้าด้วย ทำให้เธอตัดสินใจผูกคอตายกับพัดลมในห้องโดยใช้เก้าอี้ในห้องยืนแล้วผูกกับแกนพัดลม จากนั้นใครมาเช่าห้องกี่รายๆ ก็เจอกันจนขยาด ทำให้เจ้าของต้องปิดห้องนั้นไม่ให้ใครมาเช่าต่อไปอีกเพราะกลัวเสียชื่อเสียงของทางหอพัก กระทั่งกรมาเจอเป็นรายล่าสุด
สุดท้ายแม่บ้านมะลิต้องคืนเงินให้กับกรที่ย้ายออกไปในวันที่รู้ความจริงทั้งหมด ก่อนไปกรได้แวะไปขอบคุณและคืนพระให้กับแม่ค้าที่เป็นห่วงเป็นใยเขา นับจากนั้นมา กรไม่คิดจะมาหาเบิ้มที่บริเวณนั้นอีกเลย จะเจอก็แค่นัดกันข้างนอกเท่านั้น เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครจะเป็นเหยื่อของห้องเช่าหมายเลข 666 รายต่อไป…
**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เรื่องโดย. วรพจน์
ภาพโดย. www.wallpaperbetter.com, rahulsonwane242.artstation.com, weirdlystrange.com