31 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

                ผมรับราชการ ถูกย้ายให้ไปประจำที่ต่างจังหวัด ไปดูบ้านพักแล้วไม่น่าอยู่ หรือถ้าไปอยู่จริงๆ คงต้องซ่อมอีกเยอะ เผลอๆ นอนหลับอาจมีงูเลื้อยเข้ามานอนด้วยแน่ๆ ทั้งรกทั้งผุพัง มิน่าถึงมีแต่คนออกไปหาบ้านเช่าอยู่ข้างนอกกันหมด…

                เลยตัดสินใจว่าต้องหาบ้านเช่าหรือห้องเช่าก็ได้ ต่างจังหวัดหายากเหมือนกันครับ แต่ก็มีเพื่อนร่วมงานที่หวังดีแกบอกจะช่วยหาให้

                “คุณพัฒน์ อยากได้ประมาณไหน เป็นบ้าน ห้องเช่า หรือยังไง เผื่อว่าพี่จะได้ช่วยมองหาให้”

                “ขอบคุณครับพี่อ้อย อยากได้ไม่ไกลจากที่ทำงาน แบบไหนก็ได้ครับ ก็ขอดูก่อนด้วย…เกรงใจพี่สันติ อยู่กับแกมาสองสามวันแล้ว”

                ซึ่งหลังจากนั้นสองวัน พี่อ้อยแกมาบอกว่ามีคอนโด ไม่ใช่ น่าจะเป็นห้องเช่ามากกว่า

                “คุณพัฒน์จะไปดูก่อนไหม มันเป็นหอพักอยู่หลังมหาลัยฯ…แต่มันจะเก่าสักหน่อย ส่วนมากก็พวกนักศึกษาอยู่บ้าง ไปดูก่อนก็ได้ บ้านเป็นหลังหายาก”

                พอเลิกงานตอนเย็นผมตัดสินใจไปหอพักที่พี่อ้อยบอก…เข้าซอยไปหน่อยไม่ได้อยู่ริมถนน พอถึงผมหยุดยืนดู เก่าจริงๆ ถึงจะทาสีใหม่ทับ แต่ร่องรอยของความกระดำกระด่างยังปรากฏให้เห็น บรรยากาศเงียบเชียบ

                “มีคนอยู่หรือเปล่าวะ…นี่ขนาดยังไม่มืดแล้วยังเงียบกริบ”

                ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง สักพักมีผู้ชายวัยกลางคนเดินออกมา

                “มาหาใครเหรอ…ตอนนี้พวกเด็กๆ ยังไม่กลับมา ส่วนมากเขาจะมาดึกกันๆ”

                “เปล่าครับ…พอดีเพื่อนแนะนำว่าที่นี่น่าจะมีห้องว่างให้เช่า มีไหมครับ”

                ลุงแกมองผมเหมือนประหลาดใจ แล้วก็พูดว่า

                “มี…มี…มีหลายห้อง คุณมาเลือกเอาเลยว่าจะเอาห้องไหน อย่างว่าที่นี่เราเปิดมานาน ใหม่ๆ ก็บูมแหละ พอนานเข้าเด็กๆ นักศึกษาหรือคนทำงานเขาก็ไปหาเช่าที่ใหม่ๆ ที่นี่ค่าเช่าไม่แพง บางคนก็ยังพออยู่กันได้ คุณมาดูที่ชั้นหนึ่งนี่ก่อนก็ได้ มีว่างอยู่หลายห้อง”

                แกบรรยายพร้อมกับเชิญชวน พอผมก้าวเข้าห้องไป กลิ่นมันอับๆ ชื้นๆ เฟอร์นิเจอร์ก็มีตู้ เตียง โต๊ะ พัดลม ตู้เย็น ทีวีเก่าๆ ที่ก้นใหญ่ๆ

                “แอร์ไม่มีเหรอครับ…”

                “มีๆ ชอบแอร์งั้นไปดูที่ชั้นสองกัน ชั้นสามก็มี แต่ชั้นสี่กับชั้นห้าผมปิดเอาไว้ ให้ชั้นสองสามเต็มก่อนค่อยขยับขึ้นไป ผมก็ว่าจะปรับปรุงใหม่ ต้องใช้เงินเยอะ ลูกๆ เขาก็บอกให้เลิก เราก็เสียดาย”

                ผมว่าแกเหงาหรือเปล่า ช่างพูดจริงๆ ครับ พอขึ้นไปชั้นสอง แกไขกุญแจห้องที่อยู่ข้างบันไดพร้อมกับพูดว่า

                “ดูห้องนี้ก็แล้วกันนะครับ เพราะทุกห้องก็จะเหมือนๆ กัน เราจะได้ไม่ต้องเดินไปไกล มีฝั่งละห้าห้อง แต่ละชั้นจะมีสิบห้อง หันหน้าเข้าหากัน ชั้นนี้มีคนเช่าหลายห้อง เข้าไปดูเลยครับ เพราะห้องนี้ก็ว่าง ถ้าสนใจผมจะมาทำความสะอาดให้”

                ผมก้าวเข้าไป ก็มีตู้ เตียง โต๊ะ มีแอร์ มีระเบียงหลังห้องไว้ให้ตากผ้าเล็กๆ มองดูวิวต้นไม้ใบหญ้าที่เป็นสวนบ้าง บ้านคนบ้าง ก็ใช้ได้ แต่ไม่มีทีวี

                “ไม่มีทีวีเหรอครับ”

                “อ๋อ มันเสีย เดี๋ยวผมไปเอาห้องอื่นมาให้…คุณว่าไง”

                “แล้วคิดค่าเช่ายังไงครับ”

                “ก็เดือนละสองพัน ขอล่วงหน้าแค่เดือนเดียว คุณก็เข้ามาอยู่ได้เลย ส่วนน้ำไฟก็คิดตามมิเตอร์”

                เรียกว่าจ่ายสองพันผมย้ายเข้ามาได้เลย ผมเลยบอกแกไปว่าขอย้ายมาพรุ่งนี้ ทำสัญญาวางเงินกันเรียบร้อย ผมคิดแค่ว่าอยู่ไปก่อน เรายังไม่รู้จักพื้นที่เท่าไหร่ ค่อยหาที่อยู่ใหม่

                วันที่ย้ายผมไม่มีอะไรมากนอกจากกระเป๋าเสื้อผ้ากับของใช้จำเป็นสองกระเป๋า พี่สันติแกบอกกับผมว่า ยังไงบ้านพี่ก็ต้อนรับเสมอนะ มีอะไรก็โทรหาพี่ได้ เพราะแกอยู่คนเดียวไม่มีครอบครัว แต่ผมเกรงใจ ก็ร่ำลากันไปตามระเบียบ

                มาถึงห้องพัก ห้องสะอาดสะอ้านน่าอยู่ขึ้น ขณะที่ผมกำลังจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองสามครั้ง ผมเลยเดินไปเปิด เป็นผู้ชายรูปร่างท้วมนุ่งผ้าขาวม้าลายขาวดำยืนยิ้ม

                “พี่…พี่มาอยู่ที่ห้องนี้เหรอ ดีเลยจะได้มีเพื่อนบ้านเพิ่ม ผมอยู่ห้องสุดท้ายฝั่งเดียวกับพี่ เลยมาทำความรู้จัก”

                “ครับๆ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมขออนุญาตเก็บของให้เรียบร้อยนะครับ ไว้ค่อยคุยกันนะครับ”

                “ได้ครับ ครับ…” แล้วแกก็เดินไป

                ไม่ถึงอึดใจ มีเสียงมาเคาะประตูดังขึ้นอีก ผมเดินไปดูที่ตาแมว ผมตกใจลูกตากับลูกตามาเจอกัน เพราะเขาก็จ้องมาที่ตาแมว ผมเปิดประตูออกไป เป็นผู้ชายสองคนเป็นนักศึกษา

                “สวัสดีคร้าบ พี่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่เหรอ ดีจัง ห้องนี้เงียบเหงามานาน”

                “ยังไงพี่ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ…เด็กใหม่ๆ”

                “โห พี่พูดซะ…ผมสองคนแค่แวะมาทักทาย มีอีกหลายห้องเลยนะ ดีใจที่พี่ย้ายมาอยู่ที่นี่ พวกเรายินดีต้อนรับ ผมไม่กวนพี่แล้ว ตามสบายครับ”

                ผมเดินมานั่งที่ปลายเตียง ประหลาดใจว่าเขาจะพากันตื่นเต้นทำไมที่ผมย้ายเข้ามา หรือว่าที่นี่นานแล้วมีแต่คนเก่าๆ แต่บอกตามตรงว่ารู้สึกรำคาญนิดๆ

                นั่งยังไม่ทันก้นร้อนมีเสียงเคาะประตูอีกแล้ว ผมเดินไปเปิดแบบเซ็งๆ กลับเป็นลุงเจ้าของหอ พร้อมกับมีอีกหลายคนยืนอยู่ข้างหลังแก ทั้งผู้หญิงผู้ชาย…อะไรกันวะ ผมคิด

                “ลุงพาคนในหอมารู้จักคุณว่าคุณเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ จะได้ไม่เหงา”

                “ครับ ขอบคุณทุกคนครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ…ขอตัวอาบน้ำก่อนนะครับ”

                แล้วผมก็ปิดประตูห้องทันที…อะไรอะ…นี่ผมคิดถูกหรือคิดผิด กลางวันไม่เห็นใครสักคน พอกลางคืนคนเยอะดีจริงๆ ที่นี่ มิน่าลุงบอกว่าจะมากันมืดๆ ถ้ามาเคาะกันทุกคน ผมไม่ต้องนอนกันละมั้ง…เฮ้อ

                หลังจากนั้นก็เงียบๆ พออาบน้ำเสร็จ ผมแง้มประตูห้องออกไปมองซ้ายขวา เงียบกริบ มีเพียงแสงไฟตรงกลางดวงเดียว นอกนั้นทุกห้องปิดไฟมืด…มันไปไหนกันหมดวะ หรือว่าเข้านอน…

                ช่างเถอะ ผมรีบล็อกประตู เปิดทีวี ซึ่งไม่มีรายการอะไรน่าดู เริ่มรู้สึกหิว จำได้ว่าตัวเองซื้อผัดไทยมาด้วย ก็จัดการกิน น้ำก็ไม่มี ไปเปิดตู้เย็นตู้เล็กๆ ที่เก่าคร่ำคร่า มีขวดน้ำอยู่สองขวดกลิ้งไปมา เลยเปิดออกดื่ม

                กลิ่นและรสชาติทะแม่งๆ บอกไม่ถูก ผมเลยจิบไปแค่นิดหน่อย พรุ่งนี้ค่อยหาซื้อมาใส่ และต้องล้างตู้สักหน่อย กลิ่นอับๆ เพราะคงปิดมานาน ผมโดดขึ้นเตียง นอนเล่นโทรศัพท์ แอร์เย็นฉ่ำรู้สึกหนาวผมเลยหลับไป…

                กลางดึกได้ยินเสียงคนหลายคนคุยกัน ผมไม่ได้ลืมตาเพราะยังรู้สึกง่วง บวกกับความรู้สึกร้อนอบอ้าว แต่ตาก็ลืมไม่ขึ้น…ได้ยินเสียงคนคุยกันเหมือนอยู่ใกล้ๆ

                …คนนี้เหรอ…เก่งจังมาได้ไง…

                …อิอิ…เพื่อนใหม่…สักสองสามวันดีไหม ค่อยชวน…

                …นานไป…ชวนเลย…

                …ถามลุงก่อนนะ…แกพามา…

                …หน้าตาก็ดีนะ…กูชอบ…

                …เดี๋ยวไอ้เดี่ยวก็แทงมึงตายอีกหนหรอก…

                …เขาจะรู้ไหม ถ้าพ้นคืนนี้น่าจะรู้…จะรอทำไม…

                เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจดังอยู่รอบๆ ตัว บวกกับผมรู้สึกร้อน เหนียวตัว แอร์ทำไมไม่เย็น เริ่มกระสับกระส่าย…เลยลืมตาขึ้น แล้วผมก็ต้องตกใจ มีคนหลายคนต่างพากันมารุมล้อมจ้องมองผมอยู่รอบเตียง

                ขอบอกว่าเยอะมาก ผมไม่สามารถขยับตัวได้ มีแต่ลูกตาที่จ้องมอง…อะไรกันเนี่ย คนที่มาทักทายพากันเข้ามาในห้องผมได้ยังไง แล้วพวกเขาจะทำอะไร ในความมืดมีแสงจันทร์ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง

                ผมพยายามอยากร้องถามว่าเข้ามาทำไม มาทำอะไรกัน…แล้วผมก็ต้องช็อก…เพราะแต่ละคน บางคนมีเชือกเป็นบ่วงห้อยอยู่ที่คอ ซึ่งบางคนเป็นผ้ามัดอยู่ที่คอจนแน่น

                ผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่ง เลือดท่วมตัว เขาถือมีดคนละเล่มผลัดกันจ้วงแทงกันและกันแล้วหัวเราะ…มีเด็กคอพับไปข้างหลังก็ส่งเสียงหัวเราะลั่นที่เห็นทั้งสองคนแทงกัน

                ส่วนนักศึกษาผู้ชายสองคนที่เรียกผม หัวสมองทั้งคู่หายไปคนละครึ่งคนละแถบ…เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือดที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่า ส่วนลุงผมจำเสียงได้ ตัวแกดำไหม้

                “พวกเรามาดู…ว่าอยู่สบายไหม…”

                ผมกลัวสุดขีดจนฉี่ราด น้ำตาไหล ผมหลับตาปี๋ พวกนั้นก็ยังพากันส่งเสียง วินาทีนั้นผมคิดว่าพวกนั้นมันคงจะเอาผมตายไปกับพวกมันแน่ๆ

                ผมคิดถึงพ่อกับแม่…แม่ครับ ช่วยผมด้วย…แม่…ผมยังไม่อยากตาย ช่วยผมด้วย…

                แล้วเหมือนผมหลุดจากภวังค์ ลืมตาขึ้นมาขยับตัวได้ รีบลุกขึ้นเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าด้วยมือไม้สั่น พยายามเปิดไฟแต่ไม่ติด…หันรีหันขวางไปทั่วห้อง สภาพทั้งเก่า ทั้งฝุ่น ผมเห็นว่าดีไปได้ยังไง…ตู้ก็ประตูหลุด

                พอเก็บข้าวของได้ ไปยืนหน้าประตูตัดสินใจเอาว่า ตายเป็นตาย ต้องออกไปจากที่นี่ ผมรวบรวมสติทั้งหมดที่มีเอาเท้าถีบประตู ด้านนอกมืดแทบมองอะไรไม่เห็น

                ผมรีบวิ่งลงบันได ดีว่าอยู่แค่ชั้นสอง พุ่งตัวออกไปนอกตัวอาคาร พอหันกลับมาดูอีกที สภาพที่เห็นมันผุพังเก่าโทรม…ผมไม่รออะไรอีกแล้ว วิ่งเตลิดออกมาอย่างไม่คิดชีวิตแบบคนขวัญกระเจิง

                ไม่รู้ว่ากี่ทุ่มกี่ยาม ผมไปเรียกพี่สันติ แกเห็นสภาพผมแกไม่ได้ถามอะไร บอกให้ผมเข้านอน เช้าค่อยคุยกัน…พอเช้าผมเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้แกฟังว่าเจออะไรมาบ้าง

                “เอ้อ…ตึกนั่นมันร้างนะ ร้างมานานแล้ว คนตายเยอะ หลากหลายส่วน เจ้าของก็ถูกไฟดูดตายตัวไหม้เกรียมเลย…เห็นอ้อยบอกให้ไปเช่า มันเป็นตึกแถวหน้าปากซอยที่แบ่งเป็นห้องให้เช่า…นั่นเห็นเขาเพิ่งทำ แสดงว่าพัฒน์ไปผิดที่น่ะสิ ตายๆ โดนหลอกขนาดนี้ พี่ว่าเราไปรดน้ำมนต์น่าจะดี เดี๋ยวพี่พาไป”

                พระท่านรดน้ำมนต์และสวดบังสุกุลตายบังสุกุลเป็นให้ผม แล้วท่านก็บอกให้ผมคิดอธิษฐานแต่เรื่องดีๆ ไม่เป็นอะไรมากแค่ดวงตก นับแต่วันนี้ดวงก็จะดีแล้ว

                ก็ดีจริงๆ ครับ ปกติทำเรื่องขอย้ายกลับกรุงเทพฯ ต้องใช้เวลา แต่ผมลาออกเลยครับ แล้วไปสมัครงานกับบริษัทแห่งหนึ่ง เขารับผมเข้าทำงานได้ตำแหน่งดีเงินเดือนดี นี่แหละครับโชคของผม โชคที่เหมือนรางวัลใหญ่ๆ เลยครับ

                อ้อ ผมลืมบอกไป ผมรู้สึกสงสารพวกวิญญาณเหล่านั้นที่ต้องทนทุกข์ ผมทำสังฆทานแล้วก็แผ่เมตตาอุทิศบุญให้พวกเขา จะได้เปลี่ยนภพภูมิไปเกิดใหม่ ไม่ต้องมาสิงสู่อยู่ที่หอซ่อนผีแห่งนี้อีก…

                สุดท้ายนี้เราต้องกล่าวคำอำลากันเหมือนเช่นเคย ขอให้ทุกท่านโชคดีมีความสุข ร่ำรวย แข็งแรงนะคะ อย่าลืมติดตามเราในนิตยสารสุสานผีฉบับต่อไป ด้วยรักจากใจจากเราชาวสุสานผี สวัสดีค่ะ

*โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย. กฤตยา อยู่ประเสริฐ

ภาพโดย. Ai


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เรื่องที่เกี่ยวข้อง