7 ตุลาคม 2024
แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เป็นเรื่องของเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนท่านนี้กับแม่สามีของเธอ ถือเป็นปัญหาที่แก้ไม่จบ นั่นคือเรื่องแม่ผัวกับลูกสะใภ้นั่นเองค่ะ

โดยจะขอเอ่ยนามสมมติของเพื่อนหญิงท่านนี้ว่าคุณอ้อนะคะ ทั้งนี้คุณอ้อเล่าว่า เรื่องนี้ย้อนกลับไปใน 30 ปีก่อน โดยตัวเธอได้เข้าพิธีมงคลสมรสกับข้าราชการท่านหนึ่งที่มีตำแหน่งใหญ่โต

“สามีของอ้อจะเป็นลูกชายคนโต และมีน้องสาวอีก 1 คน และต้องเลี้ยงดูแม่อีก 1 คน ตอนนั้นอ้อก็ไม่คิดอะไรเพราะว่าตัวเราได้เลือกแล้ว ส่วนแฟนอ้อ เขาเป็นคนที่ดีมาก มีความรับผิดชอบสูง ในทุกๆ เดือนแฟนต้องแบ่งเงินเดือนให้แม่เขาครึ่งหนึ่ง ทั้งที่เขาแต่งงานแล้วก็ตาม ซึ่งตัวอ้อนั้นทางบ้านฐานะพอควร เราเป็นลูกสาวคนเดียวจึงไม่ค่อยสนใจในเงินเดือนของสามีนัก คือเราก็มีเงินเดือนกินประมาณนี้ค่ะ เรื่องมันมาเกิดขึ้นตอนปี พ.ศ.33 ซึ่งตอนนั้นครอบครัวแฟนไม่รู้ คุณแม่เขาทำอีท่าไหนบ้านช่องเกือบโดนยึด ส่วนน้องสาวรึก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ได้แต่แต่งตัวสวย ขับรถเที่ยวไปวันๆ จนท้ายที่สุด แฟนได้มาเล่าเรื่องหนี้สินที่คุณแม่กับน้องสาวร่วมกันสร้างให้อ้อฟัง เขาคุยกับอ้อ…ว่าจะกู้เงินจากหน่วยงานเพื่อไถ่ถอนบ้าน โดยขณะนั้นตัวเลขที่คุณแม่นำบ้านไว้กับนายทุน…เรียกว่าดอกท่วมต้น ต้นท่วมดอกเทียวล่ะค่ะ”

ซึ่งเมื่ออ้อนำเรื่องไปปรึกษาพ่อแม่เรา ท่านก็บอกแนะนำให้นายทุนยึดไปเถิดแล้วมาอยู่รวมกันที่บ้านอ้อ คือบ้านที่อยู่กับแฟนสองคน คือคุณพ่อคุณแม่ของอ้อนั้นเขารักลูกเขยมากๆ ต้องบอกก่อนนะคะว่าที่บ้านอ้อ อ้อเป็นคนรักแมว ที่บ้านนั้นมีแมวรวม 8 ตัว ส่วนคุณแม่ของแฟน ครั้งเมื่อเคยมาเยี่ยมเยียนอ้อ…เมื่อเจอแมวคราวใด ท่านมักจะเตะหรือใช้เท้าถีบแมวของเรา ทำให้เห็นๆ นี่ล่ะค่ะ!

“แฟนคุณอ้อไม่แนะนำคุณแม่บ้างหรืออย่างไร ว่าที่นี่บ้านคุณอ้อและคุณได้เลี้ยงแมวมาก่อน” ดิฉันพูดตรงในเวลานั้น

“โห ขืนพูดอะไรที่ไม่ดีออกไปคงเป็นเรื่อง ซึ่งแฟนของอ้อนั้นเมื่อเอ่ยถึงคุณแม่เขาคราวใด…เขามักพูดถึงความลำบากของแม่ที่ทำทุกอย่างเพื่อให้เขาเรียนสูงๆ จนจบระดับปริญญาโท”

เวลานั้น อ้อ…ลืมนึกถึงเรื่องสัตว์ที่คุณแม่ไม่ชอบไป ก็ได้แต่จัดเตรียมห้องหับให้แม่เขา น้องเขา ส่วนแมว อ้อได้หากรงใส่ให้มันอยู่ จากที่เคยเลี้ยงแบบปล่อยๆ ให้วิ่งเล่น

คราวนี้เมื่อคุณแม่ย้ายมาอยู่จริงๆ ได้สัก 1 อาทิตย์ ท่านก็ให้ลูกชายหาคนรับใช้ให้หนึ่งคน จากที่เราเคยอยู่กันสองคนผัวเมีย มาคราวนี้กลายเป็นต้องดูแลให้ที่อยู่ที่กินคนอื่นอีกรวม 5 ชีวิตสำหรับบ้านบนเนื้อที่ 80 ตารางวา

“หลังจากนั้นเป็นต้นมา สัตว์เลี้ยงของอ้อได้ล้มป่วยทยอยตายไปทีละตัว ซึ่งคุณหมอบอกว่ากล้ามเนื้ออ่อนแรงเหมือนโดนวางยา นี่เป็นอาการเบื้องต้นก่อนที่แมวจะจากไป ทั้งนี้อ้อข้องใจเมื่อแมวตัวที่ 4 จึงถามคุณแม่ไป ว่าช่วงที่อ้อกับแฟนออกไปทำงาน คุณแม่ให้พวกแมวกินอะไรไปหรือเปล่า

ซึ่งท่านไม่ตอบ แต่เก็บเรื่องที่อ้อถามเอาไปฟ้องลูกชายที่โต๊ะกินข้าว อ้างว่าแม่แพ้ขนแมว ไม่อยากให้เลี้ยงอีกต่อไป หนำซ้ำเมื่อแมวเจ็บป่วยก็วกกลับมาลงที่คนเฝ้าบ้านอย่างแม่สารพัดที่จะจาระไนให้ลูกชายฟัง จนในที่สุดแฟนได้บอกว่า อ้อเรามีลูกกันเถิด คุณแม่จะได้หายเหงา และจะได้เลิกเลี้ยงแมว ซึ่งทำให้อ้อรู้ สุดท้ายแฟนก็เข้าข้างแม่เขา ทั้งที่เป็นบ้านของอ้อ!

คนเรานะพี่ ลองผิดใจกันบ่อยๆ อาการอยากที่จะอยู่ห่างๆ มันก็เกิดขึ้น ต่อมาทุกวันศุกร์-อาทิตย์ อ้อเลือกที่จะขับรถกลับไปนอนบ้านพ่อแม่ที่เพชรบุรี ส่วนแฟนนั้นอยู่บ้านนครชัยศรี พักผ่อนกับแม่กับน้องเขาเหมือนเคย ซึ่งบางครั้งถึงกับตั้งคำถาม นี่เรามีเวร ต้องใช้เวรกับแม่สามีมากขนาดนี้เชียวหรือ? ซึ่งเขาเป็นผู้ใหญ่ที่แปลกมากๆ เช่น หากของอะไรที่อ้อรัก เช่น ผ้าไหม รองเท้าคู่แพง หรือนาฬิกา แม่เขาจะเอ่ยปากของต่อหน้าลูกชายเขาเลยล่ะค่ะ เล่นเอาตัวอ้อแทบตั้งตัวไม่ทัน?

ตอนแรกๆ ก็ให้ค่ะ โอเค แต่พักหลังๆ นี่เวลาอ้อซื้อของมา อ้อต้องหลบๆ ซ่อนๆ ก่อนขึ้นห้อง ทั้งที่บ้านเป็นบ้านของเรา ขอย้ำ” คุณอ้อลอบถอนหายใจเบาๆ

“อ้อ…เล่าถึงอดีตแล้วเหนื่อยมากๆ ค่ะ สมัยนั้นพูดให้ใครฟังเขาก็ว่าเราร้าย และไม่ให้เกียรติแม่สามี รักลูกก็ต้องรักแม่ด้วย…แต่ใครไม่ลองเป็นอ้อไม่มีวันรู้หรอกค่ะ”

กระทั่งปี พ.ศ.40 คุณแม่ได้ล้มในห้องน้ำ สะโพกหัก คราวนี้ทางเราต้องเพิ่มค่าดูแลแก่คนรับใช้อีกเดือนละเป็นหมื่นๆ เพราะต้องเฝ้าดูแลคุณแม่แทบไม่ได้หลับได้นอน คุณแม่ท่านบ่น ชี้นิ้วใช้จุกจิกมาก ซึ่งดีว่าทางเราเงินถึง พอคนรับใช้แกบอกจะกลับบ้าน อ้อต้องแอบยัดใส่มือให้เป็นพิเศษในคราวละ 2,000-3,000 บาท นั่นล่ะแกถึงอยู่ต่อ

“หาเสียเงินยังไม่เท่าเสียใจนะคะ เพราะช่วงที่คุณแม่นอนป่วย คนรับใช้ท่านแอบมาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังจนหมด แมวอ้อที่ตาย 5 ตัวก็เพราะโดนวางยา! คุณแม่รินยาเบื่อหนูที่ผสมน้ำ คลุกข้าวกับปลาทูให้แมวแทนอาหารเม็ด อาศัยคลุกปลาทูเยอะๆ แมวก็กินเพลินจนลืมตาย คนรับใช้บอก เธอไม่อยากทำเพราะสงสารแมว ที่บ้านเธอก็เลี้ยง หากคุณแม่ก็ตบตีเธอถ้าไม่ทำตามค่ะ นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำไมอ้ออยู่กับสามีมาจนทุกวันนี้ แต่ไม่มีลูกด้วยกัน คืออ้อกลัวไงคะ กลัวว่าเลือดเนื้อเชื้อไขอาจได้ทางคุณแม่ติดมา”

พูดถึงตรงนี้แล้ว ดิฉันอดถามถึงน้องของสามีไม่ได้ ซึ่งช่วงที่คุณแม่เจ็บป่วย เธอไปไหน หรือว่าแต่งงานออกเรือนไป

“อ๋อ…น้องจ๋าเขาอยู่ที่บ้านตลอดค่ะ แต่ให้ทำอะไร ให้รับผิดชอบอะไร นางจะไม่เอาเลย คุณพี่เชื่อหรือไม่ว่า ตอนที่คุณแม่ไม่สบาย ใช้ชีวิตกินนอนในโรงพยาบาลนานถึง 5 เดือน หากน้องจะอยู่แต่บ้าน นอนขัดผิว อาบน้ำนม เสริมสวยแต่งตัวทำราวกับตัวเองเป็นเจ้าของบ้าน แล้วให้พี่ชายทำงานหาเลี้ยง…ตลกไหมคะครอบครัวอ้อ?” เธอหัวเราะลงลำคออย่างขมขื่นใจ

“น้องเขาไม่ได้แต่งงาน?” ผู้เขียนถาม “ไม่ได้แต่งค่ะ และไม่ได้แต่งงานมาจนทุกวันนี้ เพราะคนเราเมื่อครั้งที่ยังสาว มองไปทางไหนก็ดูดีค่ะ มีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ หากน้องแฟนเขาทำตัวเฟิร์สออกเดตกับคนโน้นทีคนนี้ที จนอายุ 30 ก็แล้ว 40 ก็แล้ว มาจนทุกวันนี้ยังไม่ได้คู่กับเขาสักที”

คุณพี่อาจมองว่าอ้อนั้นแรงกับครอบครัวคุณแม่และน้องสามี

ช่วงนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา…เราเลี้ยงดูเขาจริงๆ และเลี้ยงดูอย่างดีเสียด้วย จนทุกคนหลง เหลิง คิดว่าอย่างไรเสีย…อ้อกับแฟนก็ทอดทิ้งเขาสองคนไม่ได้

“กระทั่งคุณแม่หายป่วย เริ่มหัดเดินได้ในปีถัดมา คราวนี้ฤทธิ์เดชได้กลับมาอีก…กลับมาถึงขนาดเดินทางไปพึ่งร่างทรง หมอดูคิดว่าทำอย่างไรก็ได้ให้อ้อกับลูกชายเขาเลิกกัน หากเมื่อไปเจอร่างทรงปลอม อาจารย์ปลอมๆ ก็เป็นอันตกเบี้ยเสียเงิน ต่อมาโรคประสาทเริ่มถามหาเหมือนในละครที่เล่นไว้ไม่มีผิด

ยกตัวอย่างเช่น พอต่อหน้าเราก็ปกติ แต่พอลับหลังก็พูดใส่เรากับสามีต่างๆ นานา บางครั้งอ้อเคยถามสามีนะคะ พี่รู้บ้างไหมว่าแม่พี่นั้นเป็นอย่างไร สามีตอบทันควัน ทำไมผมเป็นลูกผมจะไม่รู้ แต่จะทำอย่างไรได้เพราะแม่คือแม่ ท่านคงอยู่กับเราไม่นาน อีกไม่นานท่านคงต้องจากเราไป ซึ่งตอนนั้นตรงกับปี พ.ศ.44 หรือ 45 นี่ล่ะค่ะ ซึ่งคำพูดสามีนั้นเหมือนปากพระร่วง เพราะจู่ๆ อาการโรคประสาทของท่านได้กลับมาอีกครั้ง

วันดีคืนดีท่านได้ส่งเสียงร้องเป็นแมว ร้องเหมียวเหมียวทั้งวันทั้งคืน ส่วนคนรับใช้ได้แต่พูด คุณยายฆ่าแมว แต่ไม่เคยทำบุญทำทาน สิบกว่าปีที่ผ่านมาเห็นเล่นแต่หวยแต่ไพ่ วัดไม่เคยเข้า นี่คงใกล้ถึงฝั่งแล้วล่ะ โดยตอนนั้น อ้อถามออกไปแล้วป้าบุญมีล่ะ ที่เคยร่วมมือกับคุณแม่ เคยทำบุญให้แมวไหมล่ะ”

ป้าแกตอบ “ฉันทำตลอดค่ะคุณ ที่ทำเพราะถูกบังคับให้ร่วมมือ ถ้าไม่ทำ คุณยายก็จะจิกผมจนเส้นผมหลุดเป็นกำๆ ติดมือท่าน” ซึ่งขณะที่คุณแม่อยู่ในช่วงรักษาอาการทางจิตเวช อ้อมาลองสังเกตดู ปกติคนเราเมื่ออิ่มข้าวก็จะเช็ดปากใช่ไหมคะ หากคุณแม่ไม่อย่างนั้นค่ะ เมื่อรับประทานอาหารอิ่มเธอจะเลียมือ เลียนิ้วทีละนิ้ว ทีละนิ้ว ดูแล้วเหมือนหมา แมวไม่มีผิด แม้กระทั่งลูกชายท่านเห็นเข้าก็ให้น้ำตาซึม บ่นให้อ้อฟังอยู่เสมอ

“แม่ไม่น่ารังแกสัตว์ที่ไม่มีทางสู้เลย ไม่ว่าคนหรือสัตว์โดยสัญชาตญาณมักรักชีวิตคน กลัวตายกันทั้งนั้น”

กระทั่งวันที่คุณแม่จากไป ท่านนอนตัวขดตัวงออยู่ในท่าเสมือนแมวนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงที่ท่านนอนมาตลอด 15 ปี เมื่อครั้งมาอยู่ที่บ้านของอ้อ ส่วนเตียงหลังนี้เป็นไม้สักทั้งหลัง เมื่อคุณแม่จากไป แฟนได้ถวายเตียงนี้ให้วัด แต่สุดท้ายหลวงพ่อได้เรียกให้ไปยกกลับโดยบอกว่า… “เตียงนี้เจ้าของเขาหวง คนตายเป็นคนมีมิจฉาทิฐิอยู่ในใจ จากไปอย่างไม่มีความสุข”

เมื่อสามีย้อนถามกลับไป หลวงพ่อเห็นแม่หรือครับ?

พระท่านตอบเพียงว่า เห็นสิ และคนตายยังหวงทุกอย่างที่เป็นของคนตาย!ซึ่งก็ตรงกับที่หลวงพ่อบอก…เหตุเพราะข้าวของทุกอย่างที่เป็นของคุณแม่ เมื่อสามีให้ใครไป ท่านไปตามเรียกกลับคืนจนหมดทุกรายค่ะ แม้แต่รองเท้าแตะที่คนเก็บขยะมาขอไปท่านก็หวง ตามไปเอาคืน หากอะไรไม่สำคัญเท่า ที่บ้านของอ้อ มุมที่ท่านนอนเสียชีวิต ใครจะไปนั่งเล่น นอนเอนหลังไม่ได้เลยเพราะจะเป็นไข้ ไม่สบายกลับไปทุกราย หมายถึงญาติพี่น้องของอ้อที่มาเยี่ยมเยียน มาจากเพชรบุรีนะคะ

เมื่อถามถึงปัจจุบัน ยังมีเรื่องราวความเฮี้ยนของคุณยายหลงเหลืออยู่หรือไม่?

“ขอตอบทันทีว่ายังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยค่ะ” ซึ่งตัวของสามีผู้เป็นลูก แกก็ทำบุญไปให้บ่อยๆ เสมอๆ นะคะ หากบ้านหลังนี้ เวลาที่อ้อกับแฟนออกไปทำงานก็มักจะมีคนเห็นคุณแม่อยู่ แต่เห็นในลักษณะที่วูบๆ วาบๆ ค่ะ สิ่งไหนไม่สำคัญเท่า ปีหน้าสามีอ้อจะเกษียณอายุราชการ ซึ่งเราเตรียมจัดแจงจะขายบ้านหลังนี้กลับไปอยู่เพชรบุรี แต่ทั้งนี้เมื่อบอกขายกับคนรู้จักคราวใดก็คราวนั้น 1-2 วันถัดมา ไม่สามีก็เป็นอ้อค่ะที่ได้ประสบอุบัติเหตุ เลือดตกยางออก เป็นอย่างนี้หลายรอบแล้วจนเป็นที่สังเกตได้ซึ่งก็เคยนะคะ เคยทดสอบ เอาภาพถ่ายของบ้าน เอาบ้านเลขที่ไปให้อาจารย์ท่านหนึ่งดู เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณนี่ล่ะค่ะ หากให้ได้คำตอบหลังจากที่รอคิวนานถึง 6 เดือนว่า…

*เป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น มิใช่สถานที่จริง

บ้านหลังนี้ ทำอย่างไรก็ขายไม่ได้ เพราะมีดวงวิญญาณที่ยึดติด วนเวียนครอบครองอยู่ ส่วนดวงวิญญาณดวงนี้คือเจ้ากรรมนายเวรของคุณสองคนที่ตามมาทวงหนี้คุณมาตลอด ลองคิดดูให้ดีว่าเป็นใคร? เมื่อถูกทักอย่างนี้ อ้อเก็ทขึ้นมาทันที ทุกครั้งที่ทำบุญตักบาตร อ้อกับสามีจะอุทิศบุญเจาะจงให้คุณแม่คนเดียวเลยค่ะ…เผื่อว่าส่วนบุญนี้จะถึงคุณแม่บ้างไม่มากก็น้อย

สำหรับเรื่องเจ้ากรรมนายเวรหรือกรรมเก่าเวรเก่านี้ ตัวอ้อเชื่อสนิทใจ เหตุเพราะอุปนิสัยใจคอคุณแม่สามีนั้นกับคนอื่นเขาวางตัวดีมาก ผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว หากแต่อ้อกับแฟนเขาจะชี้นิ้วออกคำสั่ง ทำตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง และเมื่ออยู่ใกล้กัน เขาจะหาเรื่องกับเราได้ทุกเรื่อง…พูดง่ายๆ อย่าให้มีช่องว่างได้ก็แล้วกันค่ะ”

คุณอ้อพูดพลางพนมมือกล่าว สาธุไปพลาง

“มาจนทุกวันนี้…เราสองคนนั้นไม่กล้าพูดเรื่องว่าจะขายบ้านอีก ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามเวรกรรม คุณแม่แยกย้ายไปเมื่อไรก็เมื่อนั้น ดั่งคำที่พระเทศนาให้อ้อฟัง คนเราอย่าไปเร่งเวรกรรมหรือสาปแช่งใคร เพราะทุกเรื่องจะวกกลับมาหาเราได้ ดั่งเช่นตัวของคุณแม่ เมื่อหมดยึดติด ท่านคงจากไปเอง โดยที่ตัวเราไม่ต้องไล่ให้ไปสู่ที่ชอบๆ ครอบครัวเรายินดี ท่านจะอยู่หรือจะไปต้องตามใจวิญญาณค่ะ” คุณอ้อกล่าวทิ้งท้าย

**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เรื่องโดย. ประทุมทิพย์

ภาพโดย. www.tripadvisor.co.th, www.salika.co, timesofindia.indiatimes.com


แชร์เรื่องนี้:
  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
  •