ผมเคยเอ่ยถึงชื่อดาวดวงหนึ่ง ซึ่งนักดาราศาสตร์หลายคนเชื่อว่ามันจะโคจรผ่านมาทางโลกของเราในทุกๆ 3,600 ปี และวงโคจรของดาวเคราะห์ดวงนี้สามารถแหวกเส้นทางเข้ามาในระบบสุริยะของเราได้ โดยวิ่งเฉียดเข้ามาใกล้โลกของเรามาก จึงอาจเป็นไปได้ที่จังหวะตำแหน่งของทั้งสองตรงกันพอดีในการโคจรมาพบกันครั้งใดครั้งหนึ่ง
และหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นเมื่อใด โลกกับดาวดวงนี้ก็จะชนกันอย่างจัง จนต่างฝ่ายต่างระเบิดย่อยยับ โดยเฉพาะโลกเราซึ่งมีขนาดเล็กกว่าสี่เท่าก็จะแตกสลายกลายเป็นผุยผงไปในทันที และนี่คือวันสิ้นโลกที่มนุษย์หวาดกลัวกันอย่างที่สุด
ดาวดวงนี้มีชื่อว่า นิบิรุ (Nibiru)
คำว่านิบิรุ เป็นชื่อดาวในระบบดาราศาสตร์ของชาวสุเมเรียนของอารยธรรมเมโสโปเตเมียเมื่อหลายพันปีก่อนโน้น คนสุเมเรียนมีความฉลาดและเจริญรุ่งเรืองมาก พวกเขามีอายธรรมเจริญก่อนใครบนโลกใบนี้ เป็นผู้ที่ประดิษฐ์ตัวอักษรได้เป็นชาติแรกของโลก อักษรของชาวสุเมเรียนเรียกว่าอักษรลิ่ม เขาจะจารึกลงบนแผ่นดินเหนียวแล้วนำไปเผาไฟจนกลายเป็นแผ่นศิลาจารึกที่มีมาจนกระทั่งทุกวันนี้
นอกจากนั้นเขายังมีความเจริญก้าวหน้าในเรื่องของดาราศาสตร์ด้วย สามารถเรียนรู้เรื่องดวงดาวต่างๆ บนท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน และนิบิรุก็คือหนึ่งในดวงดาวสำคัญของเขา ซึ่งมีจารึกเอาไว้ในแผ่นดินเผาด้วย
สมัยสุเมเรียนนั้นดินแดนอื่นๆ บนโลกใบนี้ยังไม่มีอารยธรรมที่ทันสมัย แม้แต่อาณาจักรของชาวอียิปต์โบราณก็เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เรื่องราวของดาวนิบิรุจึงไม่มีใครรู้จัก และไม่ทราบว่าวงโคจรของมันอยู่ที่ไหน จะผ่านเข้ามาในระบบสุริยะในทุกๆ 3,600 ปีต่อครั้งจริงหรือ
จนกระทั่งถึงปี ค.ศ.1995 ชื่อของดาวดวงนี้ก็มีการกล่าวถึงในโลกยุคใหม่ โดยสตรีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่าแนนซี ไลเดอร์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ซีตาทอล์ก (Zeta Talk) โดยเธอบอกว่า…จะถูกดาวนิบิรุพุ่งมาชนในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2003 นั่นคือวันสุดท้ายของมนุษย์โลก!
แนนซี ไลเดอร์ (Nancy Lieder) เป็นใคร แนนซี่เป็นชาววิสคอนซิน อเมริกา เธอเล่าว่าตอนเป็นเด็กนั้นได้พบกับมนุษย์ต่างดาวเรียกว่าซีตา และมนุษย์ต่างดาวที่ว่านี้ได้ฝังอุปกรณ์สื่อสารไว้บนหัวของเธอ ทำให้เธอสามารถติดต่อกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกได้ ทำให้รู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่ใครไม่รู้ แต่เธอรู้
เรื่องดาวนิบิรุนี่เธอก็รู้โดยสัญญาณพิเศษดังกล่าวนั่นเอง
นิบิรุ เป็นชื่อเทพเจ้าของชาวสุเมเรียน ผู้รู้ในสมัยต่อมาเชื่อว่าเป็นชื่อของดาวพฤหัสบดีในระบบสุริยะของเรานี่แหละ…แต่แนนซี่บอกว่าเป็นชื่อดาวจากระบบอันไกลโพ้น โดยเธอได้เล่าเรื่องของดาวดวงนี้ผ่านเว็บซีตาทอล์กของเธอ มีผู้คนเชื่อถือมากมาย มีคนกลายมาเป็นสาวกของเธอก็มาก เช่น มาร์แชล มาสเตอร์ (Masshall Mastus) เจเซน แรนด์ (Jaysen Rand) ฟานา เว็ฟ (Pana Wave) เดวิด มีเด (David Meade) พอล เบราลี่ (Paul Begley) และแม็ท โรเจอร์ (Matt Rogers) เป็นต้น
เมื่อมีสาวกมากมายขนาดนี้ ทำให้แนวคิดของเธอได้รับการยอมรับและมีการขยายวงออกไปกว้างไกลมาก ผมเคยนำเอาเรื่องของเธอมาลงไว้ครั้งหนึ่งแล้วว่า หลังจากปี 2003 ผ่านมาแล้วโลกก็ยังไม่โดนดาวนิบิรุชนจนแหลกสลายแต่ประการใด แต่ที่นำมากล่าวเอาไว้เป็นบทนำ ก็เนื่องจากมีสาวกของเธอได้นำเรื่องนี้ไปขยายต่อจนเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ผมจึงได้นำมาเล่าเป็นซีรีส์ต่อกันไป เพราะสาวกของเธอทำนายเรื่องโลกแตกเอาไว้เมื่อปี 2017 ซึ่งผ่านมาแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น
อันหมายความว่าความเชื่อเรื่องดาวนิบิรุนี้ยังมีคนนำมาอ้างอีกหลายครั้งหลายปี ทั้งที่ดาวดวงนี้ไม่เคยโผล่มาทางโลกเลย และที่สำคัญคือองค์การนาซ่าออกมาแถลงว่าดาวดวงนี้ไม่มีอยู่จริงหรอก
มันคือดาวพฤหัสบดีในระบบสุริยะของเรานี่แหละ แต่เรียกตามชาวสุเมเรียนโบราณที่เขาเรียกตามชื่อเทพเจ้าของเขา
สรุปแล้วคือดาวนิบิรุตามความหมายของไลเดอร์ จึงไม่น่าจะมีอยู่จริง
“อ้าว ถ้าไม่มีอยู่จริงแล้วนำมาเล่าทำไม?” บางท่านอาจถามมา
ก็ขอตอบว่าเพื่อเป็นความรู้ครับ เพราะเราก็ทราบกันดีว่าจนถึงบัดนี้โลกก็ยังไม่แตก หากจะพูดกันตามจริงแล้ว เรื่องวันโลกแตกนั้นไม่มีอยู่จริง ทว่าที่นำมาเล่าได้เป็นสิบเป็นร้อยตอนนั้นก็เพื่อจะย้ำว่า มนุษย์เรายังเชื่อเรื่องวันโลกแตกอยู่ครับ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม (จบจากศาสนาคริสต์แล้ว ผมจะเล่าศาสนาพุทธว่าชาวพุทธเชื่อในเรื่องวันสิ้นโลกอย่างไร) และไม่ว่าจะเป็นยุคใด โลกของเทคโนโลยีสมัยเก่าหรือสมัยใหม่ มนุษย์ก็ยังเชื่อว่าเมื่อถึงวันหนึ่งโลกจะต้องแตกสลายแน่ๆ เพียงแต่ไม่รู้จะหาสาเหตุใดเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ การนำเสนอข้อมูลที่หลากหลายจึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านครับ
เมื่อไลเดอร์ออกมาให้ข้อมูลจริงจังขนาดนี้ จึงมีสาวกหลายคนที่ออกมาทำนายเรื่องวันสิ้นโลกจากดาวนิบิรุ หนึ่งในนั้นคือเดวิด บีเค เขาจะทำนายเรื่องนี้ว่าอย่างไร ฉบับหน้ามาติดตามกันครับ
