เรื่องราวของมนุษย์ยักษ์ไททัน กลับมาเป็นที่ฮือฮากันในครั้งนี้ ก็เพราะผลพวงจากภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง ไททัน เลยทีเดียว เพราะภาพยนตร์ชุดนี้ ทำให้เรื่องราวของยักษ์ไททันมีการตื่นตัวขึ้น แต่ผู้คนทั่วไปก็คิดว่า มนุษย์ยักษ์ไททันในภาพยนตร์นั้นมีอยู่แต่ในนิยาย และในภาพยนตร์เพียงเท่านั้นเอง
แต่ทว่ายังมีบทความบทหนึ่งที่เคยตีพิมพ์เรื่องราวของมนุษย์ยักษ์ไว้อย่างน่าเชื่อถือ เพราะตามภาพถ่ายยืนยัน และข้อมูลต่างๆ ที่เขาค้นหามานั้น ล้วนยืนยันในการมีตัวตนของมนุษย์ยักษ์ได้เป็นอย่างดี
จากบันทึกของโจ เทเลอร์ ( JOE TAYLOR ) ผู้อำนวยการของพิพิธภัณฑ์เม้าท์ บลังโก ฟอสซิล ( Mt. Blanco Fossil ) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า
“…ในปี ค.ศ. 1950 ได้มีการวางแผนสำรวจทางชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี ในหุบเขายูฟาเตส ที่นั่นเต็มไปด้วยหลุมศพมากมาย และนั่นเป็นครั้งแรกที่มีการพบศพมนุษย์ยักษ์” สิ่งแรกที่ถูกค้นพบในสุสานหรือหลุมศพนั้น เป็นกระดูกท่อนขาช่วงบน ซึ่งกระดูกท่อนที่ว่านั้น มีลักษณะทางกายภาพทุกอย่างเหมือนกระดูกคนโดยสิ้นเชิง เพียงแต่ว่า มีเพียงขนาดเท่านั้นที่ไม่เหมือนกับกระดูกมนุษย์ เพราะกระดูกท่อนที่ว่านั้น มีความยาวถึง 47.24 นิ้ว หรือหากเทียบกับความสูงทั้งตัวแล้ว คนที่ว่านี้จะมีขนาดของร่างกายที่สูงตกในราว 14 – 16 ฟุต สำหรับเด็กหรือวัยรุ่น และสำหรับความสูงของผู้มีอายุเต็มที่ จะตกในราว 20 – 22 ฟุตเลยทีเดียว และนอกจากนี้ในหลุมศพยังพบข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มากมาย แหวนแต่ละวงมีขนาดใหญ่ผิดปกติ และใหญ่มากเกินกว่าที่จะเป็นเครื่องประดับของมนุษย์ปกติ ซึ่งจากการให้สัมภาษณ์ของมร.โจ ได้อธิบายไว้ว่า
“…บางทีการตีความเกี่ยวกับรูปภาพเขียนในวิหารของฟาโรห์ตุตันคาเมน และภาพเก่าๆ อีกมากมาย อาจจะเป็นการตีความที่ผิดก็เป็นได้“ รูปคนตัวใหญ่ที่เห็นปรากฏอยู่ในภาพมากมาย อาจจะไม่ใช่ภาพของเทพเจ้าที่ชาวอียิปต์โบราณนับถือ ดังที่เคยเข้าใจกันมาแต่ก่อน
เพราะจากการพบโครงกระดูกในครั้งนี้ บางทีการตีความเรื่องเทพเจ้าอาจจะมีความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง และบางทีภาพคนยักษ์เหล่านั้น อาจจะไม่ใช่เทพเจ้าที่เคารพนับถือดังที่เข้าใจกันมานาน
จากการค้นพบกระดูกคนยักษ์มากมาย อาจทำให้เกิดการตีความใหม่ได้ว่า บางทีในสมัยก่อน อาจมีมนุษย์ยักษ์ หรือมนุษย์ที่มีขนาดร่างกายใหญ่โตอยู่ร่วมกับคนที่มีขนาดร่างกายปกติมานานแล้ว
และจากความเชื่อที่ว่านี้ ทำให้ถ่ายทอดเรื่องราวของคนที่มีร่างกายใหญ่โตกลายเป็นเรื่องราวของยักษ์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า เกือบจะทุกชาติ จะมีเรื่องราวของยักษ์อยู่ในประเทศของตนแทบทั้งนั้น
บางทีตำนานเรื่องยักษ์ ที่คนโบราณเล่าต่อๆ กันมา อาจจะมาจากเรื่องราวคนตัวใหญ่ที่ใหญ่ผิดธรรมชาติ และอยู่ร่วมกับคนร่างกายปกติมานานแล้ว แต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ที่เรายังไม่รู้ และยังไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้ ที่จะรู้ว่าเพราะเหตุใด คนที่มีร่างกายใหญ่โตจู่ๆ ก็ล้มตาย หรือสูญหายไปหมด และท้ายที่สุดก็เหลือเพียงเรื่องเล่า ภาพวาด และเรื่องราวในตำนานเท่านั้นที่พูดถึง และสุดท้ายเรื่องยักษ์ ก็กลายเป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝัน หรือเป็นตำนานในหลายๆ ประเทศไปหมด
จากการขุดค้นในเทือกเขายูฟาเตส ทางแถบตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี มีการพบหลุมศพที่มีโครงกระดูกขนาดยักษ์ฝังไว้เป็นจำนวนมาก น่าแปลกใจว่า โครงกระดูกขนาดยักษ์ที่ว่านี้มาจากไหน? และมีความเป็นมาอย่างไร? เรื่องราวที่ว่านี้ ยังเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเพียงเท่านั้น
และหากข้อสันนิษฐานที่ว่า เดิมทีในสมัยก่อน มีมนุษย์ยักษ์ที่อยู่ร่วมกับมนุษย์ธรรมดาๆ จริง ดังนั้น แรงงานในการสร้างพีระมิด หรือสิ่งปลูกสร้างโบราณสถานที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป เพราะเชื่อว่าแรงงานส่วนหนึ่ง น่าจะมาจากแรงงานของมนุษย์เหล่านี้นี่เอง
“และหากข้อสันนิษฐานที่ว่านี้เป็นจริง โบราณสถานและความลับในการสร้างพีระมิด สร้างสโตนเฮนจ์ และสิ่งปลูกสร้างที่วิจิตรพิสดารอีกมาก ก็ไม่ใช่เรื่องที่ลึกลับหรือว่าเป็นการกระทำของมนุษย์ต่างดาวอีกแล้วแน่ๆ”
บางเรื่องบางอย่างที่ขบคิดกันไม่แตก เช่น มนุษย์ธรรมดาๆ ขนหินขนาดยักษ์มาก่อเป็นพีระมิดได้อย่างไร? เทพเจ้าในรูปวาดในวิหารฟาโรห์ หรือสุสานตุตันคาเมนนั้น หมายถึงใคร และมีตัวตนจริงๆ หรือ?
หากสมมติฐานในเรื่องของมนุษย์ยักษ์ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเรื่องจริง มนุษย์ยักษ์มีตัวตนอยู่จริง และอยู่ร่วมกับมนุษย์ปกติจริงๆ ความกระจ่างในภาพผนังทั้งมวลก็เป็นอันคลี่คลาย
เพราะก่อนหน้านี้ นักโบราณคดีได้ตีความภาพผนัง หรือจิตรกรรมฝาผนังที่ปรากฏในสุสานฟาโรห์องค์ต่างๆ สุสานอมุนนับทรา, สุสานตุตันคาเมน, และปฐพีไอยคุปต์
“…ดังในรูปที่ปรากฏอยู่ เราจะเห็นคนร่างใหญ่กับคนร่างเล็ก ซึ่งก่อนหน้านี้ นักโบราณคดีได้ตีความแทนคนร่างใหญ่ว่า หมายถึงเทพเจ้าสมมติ ที่ชาวไอยคุปต์นับถือ หรือคนในสมัยนั้นต่างนับถือกันว่าเป็นเทพเจ้าที่เคารพ”
เทพต่างๆ ที่ปรากฏอยู่นั้น ไม่ว่าจะเป็นเทพรา, เทพอนูบิส, เทพคนุม, เทพฮอรัสฯ และอีกหลายๆ เทพ ซึ่งถูกวาดไว้ด้วยร่างของคนที่มีขนาดสูงใหญ่
ส่วนเบื้องล่างจะมีคนที่มีขนาดเล็กลดหลั่นลงมา ซึ่งถือเป็นชาวไอยคุปต์ธรรมดา กำลังทำพิธีกราบไหว้บูชาเทพเหล่านี้อยู่ หรือบางภาพก็เป็นรูปคนร่างยักษ์ถือตาชั่งมีวัวในตาชั่ง, รูปคนร่างยักษ์เข็นเรือในงานศพของชาวไอยคุปต์ ทีแรกก็เข้าใจกันไปว่า น่าจะเป็นการกระทำของทวยเทพในการช่วยเหลือมวลมนุษย์
แต่ถ้าการตีความเรื่องมนุษย์ยักษ์เป็นจริงว่า เดิมทีสมัยนั้น คนธรรมดาและมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็นเรื่องปกติ ภาพต่างๆ ในวิหาร หรือในสุสานก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกแต่อย่างใด และรูปที่ว่านั้นก็ไม่ใช่เพียงภาพนามธรรม ที่แสดงถึงความเคารพต่อทวยเทพของคนไอยคุปต์ แต่เป็นการบันทึกเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ของเรื่องราว ณ เวลานั้นไว้ต่างหาก แต่ถ้าหากเรื่องราวกลับตาลปัตรเป็นเช่นนั้นแล้ว กับสมมติฐานที่ว่า มนุษย์ยักษ์มีจริง…และอยู่ร่วมกับมนุษย์จริง แล้วเวลาที่ผ่านมา ทำไมมนุษย์ยักษ์จึงหายไปหมดสิ้น
มีสาเหตุอะไรจากการหายไปของมนุษย์เหล่านี้ โดยไม่มีหลงเหลืออยู่เลยสักคนเดียว จะว่าทุกคนตายเพราะโรคระบาดก็ไม่น่าจะใช่ เพราะในสุสานที่พบโครงกระดูก ก็พบโครงกระดูกเพียงไม่กี่ร่าง
แต่จากรูปภาพที่ผนัง เราพบมนุษย์ยักษ์ในลักษณะต่างๆ กัน แสดงว่าน่าจะมีด้วยกันหลายตน หรือหลายคน หรืออาจจะมีเป็นหมู่เหล่า ปะปนกับคนทั่วไป แต่การหายไปทั้งหมดนั้นยังคงเป็นปริศนา และขบคิดกันไม่แตก เพราะไม่มีเหตุผลหรืออะไรมารองรับในทฤษฎีเหล่านี้เลย
ดังนั้น ทฤษฎีเรื่องมนุษย์ยักษ์ จึงยังไม่เป็นที่ยุติง่ายๆ เพราะการค้นพบโครงกระดูกที่สุสานในตุรกีนั้น ค้นพบเพียงสองร่าง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีมนุษย์ยักษ์อยู่เพียงเท่านั้น
หากการก่อสร้างพีระมิด โบราณสถานขนาดใหญ่ ที่มีความวิจิตรพิสดารพันลึกมากๆ นั้น หากใช้ทฤษฎีมนุษย์ยักษ์แล้วล่ะก็ จะมีความเป็นไปได้สูงกับการแบกหิน การตัดหิน และการก่อสร้างในรูปแบบอื่นๆ
แต่ถ้าเช่นนั้น ก็คงไม่ได้มีคนยักษ์เพียงคนหรือสองคนเป็นแน่ น่าจะมีแรงงานพวกนี้เป็นจำนวนมาก เพราะการก่อสร้างมหาพีระมิด หรือโบราณสถานขนาดใหญ่เหล่านั้น ต้องให้เป็นพวกมนุษย์ยักษ์ ก็ไม่น่าจะสร้างเสร็จได้ในเวลาอันใกล้ หรือเสร็จอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้ามีคนยักษ์อยู่เป็นจำนวนมาก แล้วพวกเขาหายไปไหนกันหมด ทุกคนตายกันหมดเลยหรือ? มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ในเมื่อคนธรรมดายังอยู่ได้
“…แล้วทำไมมนุษย์ยักษ์ถึงอยู่ไม่ได้ หรือจะเกิดโรคติดต่อ ที่เป็นหรือติดเชื้อกันแต่เฉพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ยักษ์เพียงเท่านั้น” ซึ่งทฤษฎีที่ว่านี้ก็มีความเป็นไปได้ และออกจะเป็นไปได้สูงเสียด้วย…แต่ถ้าอย่างนั้นแล้ว ไหนล่ะ โครงกระดูกของพวกเขา ที่จริงถ้าเป็นอย่างนี้ มันก็น่าจะมีโครงกระดูกของพวกเขาฝังรวมกันอยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่พบเพียงร่างสองร่างแบบนี้
แต่ยังมีอีกทฤษฎีหนึ่งที่ออกจะแปลกเอาการ สนับสนุนถึงการหายตัวไปของมนุษย์ยักษ์ โดยพูดถึงการมีอยู่ของมนุษย์ต่างดาว และเชื่อว่า สิ่งมีชีวิตจากอวกาศนั้น มีส่วนพัวพันกับเรื่องราวของมนุษย์ยักษ์เป็นอย่างมาก
เรื่องที่ว่านี้ เป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิดกันเพียงเท่านั้น หากยังมีการทดสอบ ทดลอง หรือพิสูจน์ในทางหนึ่งทางใดไม่ แต่กระนั้น เรื่องราวที่ว่านี้ก็เป็นที่แพร่หลายและเป็นที่เชื่อถือกันในหมู่ของผู้ที่ต้องการคำตอบในเรื่องการหายตัวไปของมนุษย์ยักษ์นั่นเอง
ทฤษฎีที่ว่านั้น กล่าวถึงว่า มนุษย์ยักษ์นั้นเป็นมนุษย์ต่างพิภพ ที่เป็นผู้ที่นำเอาอารยธรรมและความเจริญในด้านต่างๆ มาถ่ายทอดสู่มนุษย์โลก ร่างกายใหญ่ยักษ์ที่เราเห็นนั้น คือร่างกายที่แท้จริงของมนุษย์ต่างพิภพ ที่มีร่างกายคล้ายคลึงกับคนเราอย่างมาก เนื่องด้วยเป็นสิ่งมีชีวิตในเอกภพเดียวกัน
การที่เค้าหายตัวไปจนหมด โดยไม่หลงเหลือ หรือพบซากโครงกระดูกเป็นจำนวนมากนั้น เนื่องเพราะว่า เค้าต่างกลับดาวไปหมดแล้ว ด้วยเวลาแห่งการถ่ายทอดอารยธรรม และความเจริญหมดสิ้นลง มนุษย์โลกสามารถยืนด้วยขาของตัวเองได้ หน้าที่ของเขาก็หมดลงเพียงเท่านั้น
ที่เราพบโครงกระดูกของเขาเพียงสองร่าง เพราะนั่นคือผู้ที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ และไม่สามารถนำศพกลับไปในยานอวกาศของเขาได้ จะเนื่องด้วยสาเหตุใดๆ ก็ตาม จึงจำต้องทิ้งร่างนั้นไว้ และนั่นคือซากที่เราขุดพบ และนำมาศึกษากันอยู่ ส่วนพวกที่เหลือทั้งหมดกลับคืนสู่อวกาศไปหมดแล้ว
ปัจจุบัน เค้าอาจจะกลับมาปรากฏตัวให้เห็นบ้างก็ในรูปของยานอวกาศในรูปแบบต่างๆ ที่มาปรากฏให้เราเห็นบนโลก ก็เพื่อจะติดตามดูวิวัฒนาการของมนุษย์โลก ว่าเป็นไปอย่างไร?
ดังนั้น การที่เราพบจานบิน จานผี หรือยูเอฟโอในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ก็คงจะเพราะมีจุดมุ่งหมายเดียวเท่านั้น คือการจับตามองว่า…
ในปัจจุบัน อารยธรรม ความรู้ เทคโนโลยี และความเจริญในด้านต่างๆ ที่เขาเคยนำมาเผยแพร่ไว้หลายพันปีก่อนนั้น มาบัดนี้… เจริญงอกงามไปมากน้อยเพียงไรแล้วนั่นเอง
เรื่องโดย. ดิษฏึกษ์
ภาพโดย. www.kcbd.com, www.roadsideamerica.com, Hans Ollermann ใน flickr, en.wikipedia.orghttp, bbouillon.free.fr