ในงานเลี้ยงศิษย์เก่าแถวบางซื่อ ศิษย์เก่าหลายรุ่น อายุเกินวัยกลางคนไปแล้ว กำลังคุยกันอย่างออกรสเพราะไม่ได้เจอกันมานาน บางรายมาร่วมงานปีละครั้ง แต่บางรายหนักยิ่งกว่านั้น เพราะปีๆ หนึ่งแทบไม่มีโอกาสมาร่วมกับเขาเลย ต้องมากันปีเว้นปี หรือเว้นห้าปีก็ยังมี เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่ต้องสงสัยทำไมงานเลี้ยงรุ่นจึงกลายเป็นงานพูดคุยอย่างคึกคัก ยิ่งกว่าบรรยากาศตลาดสดคูณสอง
“ซ้ง” หรือ “ทรงศักดิ์” แม้ทุกวันนี้จะเป็นเสี่ยขายรถเก๋งยี่ห้อดังอยู่ทางภาคใต้ ถือว่าร่ำรวยติดอันดับของจังหวัด แต่เมื่อยามเข้ากลุ่ม เขาก็คือ “ไอ้ซ้ง” ของเพื่อนๆ อย่างกลมเกลียว
“เฮ้ย พวกมึงเรียกกูอย่างเก่าเถอะวะ อย่าไปเรียกคุณทรงศักดิ์แบบคนอื่นเลย เดี๋ยวกูจะกินเหล้าไม่อร่อย” ซ้งบอกเพื่อนร่วมแก๊งเก่าที่ชุมนุมกันจ้ออย่างเปิดอก
“เออ ดีแล้วคุณซ้ง เอ้ย ไอ้ซ้ง…ลองเล่าเรื่องที่นายไม่เคยลืมสมัยเรียนช่างกลด้วยกันได้หรือเปล่า เห็นอมพะนำมาหลายปี ไปถามแม่เอ็งก็ไม่ได้ความ จนตอนนี้แม่เอ็งกับแม่ข้าไปคุยกันบนสวรรค์แล้ว เรื่องก็เลยหายไปแบบเป็นปริศนา…ตอนนี้เอ็งเล่าให้ฟังหน่อยซีวะ” ชัย เพื่อนร่วมรุ่นที่ถือว่าสนิทกับซ้งที่สุดคนหนึ่งเอ่ยปากถามดื้อๆ
ซ้งคิดอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นเพื่อนๆ อยากรู้จริงๆ จึงเล่าถึงความหลังครั้งที่ยังเป็นหนุ่มๆ วัย 20 ปีให้เพื่อนๆ ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ “พวกเอ็งจำได้มั้ย ตอนนั้นพวกเราแต่ละคนโคตรจนเลย จะกินข้าวแต่ละมื้อต้องรอไอ้อุ๋ยไปเอาข้าวจากที่วัดสังเวชมาแจก วันไหนฝนตกรับรองได้เลยว่ากินข้าวเปียกๆ แต่วันไหนแดดแจ๋ก็อาจได้กินแกงบูด….ฮ่าๆๆๆ” ซ้งเท้าความตอนที่เช่าบ้านอยู่แถวซอยเขมาฯ ซึ่งอยู่เลยตีนสะพานพระราม 6 ทางฝั่งพระนครให้ทุกคนระลึกกัน “เสียดายว่ะ ถ้าไอ้ชุบยังอยู่ ป่านนี้มันคงมาเล่าเรื่องนั้นให้พวกมึงฟังอีกคน” ซ้งเอ่ยถึงชุบซึ่งเป็นเพื่อนคู่ใจที่เช่าห้องพักโกโรโกโสอยู่ด้วยกันที่ซอยเขมาฯ นั้น
“เออว่ะ ตอนนั้นเอ็งกับไอ้ชุบอยู่ที่ซอยเขมา พวกเราก็มาสุมหัวอยู่ที่บ้านเช่าเล็กๆ ของเอ็งแล้วก็…แฮ่ม ดูดกัญชากันจนตาลายก่อนกลับบ้านทุกคืน” เพื่อนคนหนึ่งช่วยทวนความจำ
“ก็เพราะกัญชานี่แหละ ที่ทำให้เกิดเรื่อง”
ซ้งเริ่มเดินเรื่องคืนนั้น…ฉลองสอบเสร็จ แต่ละคนไม่ติดซ่อมเลย ทั้งแก๊งก็แห่กันมาสุมหัวสูบกัญชา กินเหล้า เคล้าเบียร์กันที่ห้องเช่าของซ้งกับชุบ
“เฮ้ยไอ้ซ้ง มึงเป็นเจ้าบ้านช่วยไปหาอะไรมาพี้กันหน่อย” เพื่อนบอกทั้งๆ ที่นอนพะงาบๆ บอกกับเจ้าบ้านอย่างซ้งกับชุบชนิดไม่เกรงใจเพราะล้วนเป็นเพื่อนรักกันทั้งสิ้น
“ได้ว่ะ เอาตังค์มาไอ้ชุบมึงไปกับกู” ซ้งลากชุบที่รวมเงินกันมาได้ส่วนหนึ่ง ซ้งบอกเพื่อนว่าจะข้ามไป “ซื้อของ” แถวตีนสะพานพระราม 6 ทางฝั่งธน เพราะเป็นเจ้าประจำกัน จากนั้นก็เดินโซซัดโซเซกอดคอร้องเพลงของวงควีนไปด้วยกัน สมัยโน้น…ราวๆ พ.ศ.2520 สะพานพระราม 6 ยังมีรถวิ่งอยู่ หมายถึงข้ามสะพานได้ โดยมีทางรถไฟวางอยู่สองข้างทางวิ่งของรถ (ปัจจุบันไม่มีทางรถวิ่งแล้ว มีแต่ทางรถไฟอย่างเดียว) สองหนุ่มเดินออกจากซอยเขมา ผ่านวัดสร้อยทองที่ร่ำลือกันว่าผีดุ และมีคนชอบมาลองของ และมาขอให้อาจารย์ชื่อดังลงคาถาอาคมเป็นประจำ
วัดสร้อยทองยามนั้นดูเงียบสงัดและหนาวเย็นน่าขนลุก ทั้งๆ ที่เมาทั้งกัญชา เหล้า และเบียร์ แต่ซ้งกับชุบก็สมัครใจเดินอีกฟากถนนตอนผ่านหน้าวัดสร้อยทอง เพราะกลัวจะมีตัวประหลาดอะไรบางอย่างที่หลุดอาคมวิ่งออกมาขวิดเข้าให้ก็ได้ เมื่อผ่านมาได้ ก็หัวเราะกันคิกๆ คักๆ
“กูรู้นะไอ้ซ้ง ว่ามึงคิดอะไรอยู่ ฮ่าๆๆๆ” ไอ้ชุบแซว
“เวร กูก็รู้ว่ามึงกลัวเหมือนกัน ได้ข่าวว่าเมื่อช่วงหัวค่ำ เขาปล่อยผีกระสือลงน้ำ ไม่รู้ใครมาให้หลวงพี่ทำพิธีให้…เอิ๊ก” ซ้งพูดพร้อมทำท่าขนลุกลูบแขนตัวเองไปมา
จากนั้นทั้งสองก็หัวเราะกันครื้นเครงทั้งๆ ที่กลัวแทบแย่ แต่ฤทธิ์เมาทำให้แสดงอะไรบ้าๆ แบบนั้น พอเดินขึ้นสู่สะพานพระราม 6 ได้ก็ค่อยยังชั่ว สองหนุ่มเดินตามทางเดินข้างสะพาน แต่เมื่อมาถึงกลางสะพานก็พบกับหญิงสาวหน้าตาดียิ้มให้อย่างมีไมตรี สอบถามชื่อเสียงกันก็ได้ความว่า สาวรายนั้นเป็นนักเรียนพาณิชย์ ชื่อ แหม่ม “พี่ๆ หนูรอพี่ตรงกลางสะพานนี้นะ เดี๋ยวพี่ไปธุระแล้วรีบกลับมารับหนูไปที่บ้านด้วยนะ หนูจะรอ” แหม่ม สาวยามวิกาลบอกกับซ้งและชุบ
“ได้เลย เดี๋ยวพี่จะรีบมา ว่าแต่น้องมาคนเดียวเหรอ ถ้าไงพาเพื่อนมาด้วยก็ดี” ซ้งบอกก่อนจะรีบจ้ำไปซื้อกัญชาที่ปลายสะพานอีกด้าน
“เฮ้ยซ้ง…เขามาคนเดียวจะให้ไปตามใครยังไงวะ กูงง” ชุบเตือนซ้ง ซึ่งกำลังเมาพอๆ กัน
“ช่างเถอะ อยากรู้จักคนหล่ออย่างพวกเราก็ต้องหาทางเอาเอง” ขณะที่ซ้งรีบเดินจ้ำ ชุบหันหลังกลับมาดูเบื้องหลัง พบว่าสาวน้อยที่ชื่อแหม่มไต่ขอบราวสะพานแล้วยืนนิ่ง ก่อนจะกระโดดลงสู่แม่น้ำเบื้องล่าง พอจะหันไปบอกซ้ง ซึ่งก็ไม่สนใจตั้งท่ารีบจ้ำอ้าวอย่างเดียว ชุบพยายามจะบอกให้ซ้งรู้ แต่ไม่มีจังหวะที่ซ้งจะสนใจ กระทั่งซื้อกัญชาจากฝั่งธนเสร็จ ก็รีบเดินข้ามกลับมาเพื่อจะไปสู่ฝังพระนคร ถึงกลางสะพาน…ชุบมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นแหม่มเขาก็รู้สึกดีใจ กำลังจะผ่านจุดกลางสะพานไปแล้ว ก็มีเสียงเรียก “พี่ๆ ไม่รอหนูเหรอ”
ซ้งกับชุบหันไปมองตามเสียง ต่างคนต่างมีความรู้สึกกันคนละแบบ เมื่อเห็นแหม่มในสภาพเปียกน้ำ เนื้อตัวมีแต่หยดน้ำที่ไหลตามตัวลงสู่พื้นสะพาน ชุบนั้นแทบหายเมา รู้ว่าตัวเองกำลังโดนผีหลอก พยายามจะกระตุกแขนซ้งเพื่อจะกระซิบบอกอะไรบางอย่าง แต่ซ้งเหมือนคนโดนผีบังตา กลับเดินเข้าไปหาแหม่มด้วยความดีใจ
“ไอ้ซ้ง นั่นไม่ใช่คน” ชุบตะโกนลั่นหลังจากอ้ำอึ้งอยู่นาน
“พี่ๆ อย่าไปเชื่อเพื่อนพี่” แหม่มตะโกนสวน
“อะไรกันวะ ไอ้ชุบ นี่น้องแหม่มคนสวยไง” ซ้งเกาหัวแกรกๆ
“พี่ๆ เพื่อนพี่เขาคิดว่าหนูโดดสะพานฆ่าตัวตายใช่ไหม?” แหม่มตะโกนถามชุบ ใบหน้าเธอซีดขาวเหมือนปลาตาย “เฮ้ย…” ชุบตะโกนออกมาได้คำเดียว ภาพที่เห็นเบื้องหน้าก็คือ แหม่มในสภาพเนื้อตัวเปียกปอนตะโกนสวนออกมาว่า “หนูไม่โดดน้ำตายหรอก แต่หนูจะทำแบบนี้…” พูดจบแหม่มก็วิ่งปร๋อจากจุดที่เป็นทางคนเดิน วิ่งไปที่รถไฟที่กำลังวิ่งสวนมาด้วยความเร็วก่อนจะร้อง “กรี๊ดดดดดด” พร้อมโดดให้รถไฟทับต่อหน้าต่อตา เสียงรถไฟกลบเสียงตะโกนร้องด้วยความตกใจของซ้งและชุบที่เห็นภาพต่อหน้าต่อตา กว่ารถไฟจะวิ่งพ้นขบวนก็นานพอดู สองหนุ่มยืนตัวสั่นตกใจจนแทบหายเมากัญชาในพริบตา พอจะหันหลังกลับก็เจอแหม่มในสภาพตัวเปียกปอนน้ำหยดติ๋งๆ อยู่เบื้องหน้า
“เห็นไหม หนูไม่ได้โดดน้ำตายสักหน่อย” แหม่มพูดเยือกเย็น
“เฮ้ย นี่มันอะไรกันวะ กูงงไปหมด” ซ้งสลัดหัวไล่ความมึนงง ยังไม่ทันที่ชุบจะดึงตัวซ้งออกจากจุดนั้น เสียงรถเก๋งกลุ่มหนึ่งวิ่งแข่งความเร็วมาอย่างคึกคัก บีบแตรเสียงดังลั่นได้ยินมาจากตีนสะพาน “หนูไม่ได้โดดน้ำตายนะ…” พูดจบแหม่มก็วิ่งสวนเข้าไปยังกลุ่มแสงไฟรถซิ่ง ที่วิ่งดาหน้ากันมาบนสะพานห่างออกไปราว 50 เมตร “เฮ้ย บ้าหรือเปล่า?” ซ้งตะโกนลั่น เมื่อเห็นแหม่มวิ่งใส่ฝูงรถอย่างไม่กลัวตาย “โครม เอี๊ยด โครม ซ่วบๆๆๆๆๆๆ ผลุบๆๆๆๆๆๆ โคร้ง เคร้ง กรี๊ดดดดดดดดด” เสียงสารพัดดังขึ้นมา ขณะที่ร่างของแหม่มโดนรถชนแหลกเหลว และทับผ่านไปด้วยความเร็วของบรรดาเหล่ารถซิ่งกวนเมืองประจำปี พ.ศ.2520 ควันจางๆ บนสะพานค่อยๆ จางไป สิ่งที่เห็นในม่านควัน ก็คือร่างแหลกเหลวของแหม่มที่ไม่อาจรวมชิ้นกันได้ ดูน่าสมเพชเหลือเกิน ชุบกับซ้งถึงกับอ้วกแตกออกมากลางสะพานเมื่อเห็นภาพนั้น
“กูสุดจะทนแล้วว่ะ กูจะบ้าตาย” พูดจบ ซ้งก็หันหลังเตรียมวิ่ง เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังเจอกับอะไรเข้าให้แล้ว “ไอ้ชุบ ไปกันโว้ย กูจะบ้าแล้ว” ซ้งตะโกนลั่นก้าวขาวิ่งอ้าว แต่…สิ่งที่ทำให้ทั้งสองหยุดชะงักเหมือนติดเบรกก็คือ…ร่างของน้องแหม่มมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ “ผะ ผะ ผะ ผี มะ มะ มะ แหม่ม กูยกมือไหว้มึงแล้ว กูกลัวแล้ว” ซ้งยกมือท่วมหัว ผมลุกตั้งชันเหมือนโดนไฟลน
“ยังดูไม่จบเลย ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้โดดน้ำตาย” ผีสาวหยุดตรงหน้า แลบลิ้นออกมายาว และใช้ลิ้นตวัดผมตัวเองยกหัวสูงขึ้นโดยมีมือช่วยประคอง หัวที่หมุนไปรอบๆ โดยมีลิ้นสะบัดไปมาเหมือนใบพัด ทำให้ซ้งกับชุบตาเหลือก
“พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยลูกด้วย” ซ้งกับชุบเผ่นออกจากจุดนั้นทันที
“ตูมๆๆๆๆๆ” เสียงวัตถุบางอย่าง ตกจากสะพานสู่ผืนน้ำเจ้าพระยาเบื้องล่าง ซ้งกับชุบอดไม่ได้ที่จะชะโงกหน้าไปดู สิ่งที่เห็นคือสิ่งที่ไม่อยากเห็น…สิ่งที่รับรู้คือสิ่งที่ไม่อยากจะรับรู้…และสิ่งที่ไม่คิดคือสิ่งที่กลัว… ในน้ำ…ซ้งกับชุบเห็นผีสาววิ่งบนน้ำอย่างน่ากลัว โดยแข่งความเร็วกับพวกเขาทั้งสอง “วิ่งไม่คิดชีวิตโว้ย ตัวใครตัวมัน” ชุบตะโกนบอก ไม่มีใครรู้ว่าสองหนุ่มกลับมาถึงบ้านเช่าได้อย่างไร รู้แต่ว่าทั้งคู่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดทาง จนกระทั่งถึงบ้านเช่า พอมาถึงก็ซุกหัวเข้าไปท่ามกลางกลุ่มเพื่อนๆ ที่นอนสุมอัดกันอยู่ในห้องทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อนๆ สร่างเมาแล้ว แต่สองคนยังอยู่ในอาการไข้หนัก ร่างกายร้อนผ่าว จนต้องหามไปวัดสร้อยทองเพื่อให้หลวงพี่ดูอาการให้ วันนั้นหลวงพี่ดูอาการแล้วสรุปว่า สองคนโดนผีหลอกเข้าให้เต็มเปา จึงได้รดน้ำมนต์และรักษาอาการ โดยมีลูกศิษย์ที่เป็นแพทย์มาช่วยให้ยาแผนปัจจุบันอีกส่วนหนึ่ง กว่าจะได้สติก็ผ่านไปสามวันเต็มๆ
วันนั้นแม่ของซ้งมาเยี่ยมถึงที่ห้องพัก ส่วนเจ้าชุบเป็นเด็กวัดไม่มีใครมาดูแล มันอาศัยเพื่อนๆ ที่ปิดเทอมอยู่มาช่วยกันดูไปตามมีตามเกิดซ้งได้คุยกับแม่ ซึ่งแม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในส่วนที่ซ้งไม่รู้ เล่นเอาซ้งถึงกับขนหัวลุก “แม่รู้มาว่า คืนที่ซ้งออกไปเจอดีที่สะพานพระราม 6 นั่น ชาวบ้านเขาเล่าว่าช่วงบ่ายๆ มีผู้หญิงชื่อว่าแหม่ม พยายามจะฆ่าตัวตายหลายวิธี เขาเล่าว่าเธอพยายามจะโดดน้ำตาย แต่คนมาช่วยได้ทัน ตกเย็น ผู้หญิงคนนั้นมาอีก พยายามฆ่าตัวตายด้วยการให้รถไฟทับ เดชะบุญคนมาช่วยได้ทันอีกรอบ ทีนี้ตอนหัวค่ำไม่มีใครเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนวิธีมาโดดให้รถทับ และก็ได้ตายสมใจจริงๆ…
ชาวบ้านบอกว่า ตั้งแต่สองทุ่มคืนนั้น ไม่มีใครกล้าข้ามสะพานพระราม 6 อีกเลย โดยเฉพาะทางคนเดินถึงกับร้างไปชั่วคราว เพราะคนกลัวผี…แล้วนี่ลูกไปที่สะพานนั้นทำไม ไม่รู้เรื่องเลยเหรอ?” แม่ซ้งถาม ซ้งกับชุบมองตากัน…สิ่งที่สองคนเห็นจะเป็นความลับไปอีกนาน ชุบนั้นรักษาสัญญาจนถึงวันตาย เพราะมันไม่เคยเล่าเรื่องนั้นให้ใครฟังอีกเลย แต่ซ้งถือโอกาสเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง
“ที่กูเล่าให้พวกมึงฟัง ก็เพราะว่าทุกวันนี้ทางการเขารื้อถนนออกจากสะพานแล้ว ทำเป็นทางรถไฟเพิ่มเลนเข้าไปอีก ถึงพวกมึงอยากไปดูสถานที่ ก็ไม่มีโอกาสขับรถขึ้นไปได้อีกแล้ว ถึงจะเดินขึ้นไปแต่ละคนก็แก่หมดแรงทั้งนั้น รวมทั้งกูด้วย” ซ้งพูดจบก็หัวเราะร่วน
…อย่างไรก็ตาม…คาดว่ายามดึกของคืนหลอน บางคืนนั้นอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างรอหลอกใครก็ตามที่บังอาจเดินข้ามสะพานตอนดึกสงัดอยู่ บางที…ถ้าคุณไม่เคยอ่านเรื่องนี้มาก่อน คุณอาจได้พบกับ “แหม่ม” คนเดียวกับที่ซ้งและชุบเคยพบมาก่อนก็ได้!
**โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เรื่องโดย. วรพจน์
ภาพโดย. www.appgeji.com, screenrant.com, www.mis-yula.com