บ้านผมอยู่ริมถนนพระรามที่ 5 จะว่าไปแล้วที่แถวๆ นี้ก็นับเป็นแหล่งชุมชนเก่าแก่แห่งหนึ่ง ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนเก่าแก่แทบทั้งนั้น
ถนนที่เก่าแก่ควบคู่กับชุมชนแถบๆ นี้ก็คือ ตลาดราชวัตร ศรีย่าน บางกระบือ จะว่าไปแล้ว ถนนพระรามที่ 5 สายนี้เริ่มตั้งแต่หัวมุมโรงเรียนราชวินิตฯ ตรงข้ามวัดเบญจมบพิตรฯ ยาวไปจนสุดที่สะพานสูงย่านบางซื่อ…
…และที่แถวๆ นี้ก็มีคลองสำคัญสายหนึ่งเหมือนกัน
“…คลองนี้ยาวขนานไปกับถนนพระรามที่ห้า เราเรียกคลองนี้ว่า คลองเปรมประชากร เป็นคลองที่ขุดขึ้นในราวๆ เดียวกันกับคลองผดุงกรุงเกษม จะเห็นว่าชื่อคลองทั้งสองนั้นสอดคล้องกัน”
ถนนที่ตัดผ่านคลองเปรมประชากรนี้มีอยู่หลายถนน เช่น ถนนราชวิถี ถนนสุโขทัย และอีกเยอะแยะ ซึ่งโดยรวมๆ แล้วชุมชนต่างๆ ที่อยู่รายล้อมนี้ ล้วนเป็นชุมชนเก่าเฉกเช่นกัน
ยิ่งเป็นชุมชนเก่ายิ่งมีเรื่องเล่าอยู่มากมายหลายเรื่อง บางเรื่องเป็นเรื่องแปลก บางเรื่องเป็นเรื่องตลก แต่ส่วนใหญ่จะหนักไปทางเรื่องผีๆ สางๆ เพราะสมัยนั้นชุมชนนี้อุดมไปด้วย วัด ยิ่งมีวัดเยอะเท่าไหร่เรื่องภูตผีปีศาจยิ่งชุมเท่านั้น
บ้านผม อย่างที่บอกไปแล้วว่าเป็นร้านค้า ตั้งแต่อยู่ที่ละแวกราชวัตร ดังนั้นเรื่องเก่าๆ หลายๆ เรื่องก็เกิดขึ้นในละแวกนี้เหมือนกัน เพราะแถวๆ นี้ก็มีวัดมากมายด้วยน่ะซิครับ
ไม่ต้องอะไร ในอาณาบริเวณบ้านผมในรัศมีราวห้าร้อยเมตรถึงหนึ่งกิโลเมตร จะพบวัดอยู่โดยรอบ เช่นใกล้ๆ ทางรถไฟสามเสน มีวัดไพรงาม…ถัดไปสองถนนมีวัดสุคันธาราม ข้ามคลองเปรมฯ มีวัดอัมพวัน วัดน้อยนพคุณ เลยไปทางศรีย่านมีวัดแค วัดโบสถ์ ไปทางบางซื่อมีวัดประชาระบือธรรม
นี่ไม่รวมวัดอื่นๆ ที่อยู่ไปทางสะพานแดง และข้ามฟากไปทางด้านบางกระบือ เห็นมั้ยครับ แค่นี้ก็เห็นแล้วว่า แถบๆ นี้มีวัดอยู่รายล้อมแค่ไหน ดังนั้นเรื่องต่างๆ ที่ออกมาจากวัดก็คงไม่พ้นเรื่อง ‘ผี’ แน่นอน
ก่อนผมเกิด อาม่าผมเคยเล่าให้ฟังถึงเรื่องผีสองพี่น้องวัดอัมพวัน ก่อนหน้านั้นอากงท่านเคยเล่าเรื่องเปรตที่วัดน้อยนพคุณให้ฟัง…
“ท่านว่าน่ากลัวมาก แต่เรื่องที่ผมยังไม่เคยพูดถึงและจดบันทึกไว้เลยก็คือเรื่องผีพรายที่คลองเปรมประชากร”
เรื่องนี้อาอึ้มที่เป็นน้องสาวอาม่าแท้ๆ ของผม ท่านเล่าเอาไว้ให้ฟัง
“ผมเห็นว่า ต่อไปเรื่องนี้อาจจะต้องสูญหายไปกับกาลเวลาอีกแน่ๆ ดังนั้นเราลองมาฟังดูครับ”
อาม่า…ท่านเล่าไว้ว่า
“สมัยนั้น (ราวๆ ห้าสิบ ถึงหกสิบปีมาแล้ว) ถนนหนทางแถวๆ นี้ยังไม่เจริญถึงขั้นลาดยาง หรือมีไฟฟ้าทั่วไปทั้งหมด ถนนยังเป็นถนนดิน ตรอกซอยไม่ต้องพูดถึง ขนาดถนนยังเป็นถนนดิน นับประสาอะไรกับตรอกซอย”
ไฟฟ้าก็ยังไม่มี เสาไฟแต่ละต้นยังเป็นเสาเตี้ยๆ มีโคมไฟห้อยเอาไว้ โคมที่ว่า…ข้างในมีตะเกียงน้ำมันก๊าด จะมีพนักงานถือกาน้ำมันคอยเติมน้ำมันตะเกียง พนักงานจะมาเติมน้ำมันทุกๆ เย็น
“เค้าจะเอาคีมคีบไส้ตะเกียงและก็ดูแลความเรียบร้อยอื่นๆ นอกเหนือจากคอยจุดตะเกียงทุกวัน”
พอเริ่มโพล้เพล้จะเห็นพนักงานมาแล้ว
คราวนั้นอาม่าผมบอกว่าท่านยังเด็ก ก็กระโดดน้ำเล่นอยู่ริมคลองเปรมฯ ดำผุดดำว่ายกับเพื่อนๆ ท่านสมัยนั้น เพราะเวลานั้นพวกท่านยังเล็กกันอยู่ ท่านบอกว่าน้ำในคลองสมัยนั้นสะอาด น้ำใสไม่สกปรก กลืนน้ำลงท้องไม่ต้องกลัวว่าจะท้องร่วง
“กุ้งนางก็ชุมหน้าหนาวท่านจะชวนกันมางมกุ้ง เอามือล้วงลงไปในคลองริมๆ ตลิ่ง ไม่นานก็ได้กุ้งนางตัวโตมาพอทำข้าวต้มกุ้งได้แล้ว…ผู้คนร้านค้าแถวๆ นี้รู้กันดี…”
เนื่องจากท่านมีบ้านอยู่ริมถนนและใกล้คลอง ดังนั้นท่านจึงมาเล่นน้ำ และอาบน้ำกันแบบนี้ทุกเย็น พอพนักงานเติมไฟมาแล้วก็เลิกเช็ดตัวกลับเข้าร้าน…เป็นแบบนี้ทุกวัน
จนวันหนึ่ง วันนั้นดูเหมือนจะเป็นข้างแรม…อากาศหนาวเย็นตั้งแต่หัววันแล้ว พอตกค่ำอากาศยิ่งหนาวมากขึ้นอีก อากงคือคุณพ่อของอาม่าผม ท่านก็บอกว่า
“วันนี้พวกลื้ออย่าเล่นน้ำกันเลยวะ อากาศหนาวอย่างนี้ดีไม่ดีตะคริวมันจะจับ ดีไม่ดีจะตายเอาได้ อาม่าและอาอึ้มท่านก็เลยไม่เล่น…”
พอเย็นท่านก็มานั่งทานข้าวต้มกันที่ศาลาท่าน้ำ ฝั่งตรงข้ามหน้าร้าน…คอยดูคนแจวเรือขายของกลับบ้าน เรือพายมาหลายลำ ต่างขายของกันหมดแล้ว บ้างรู้จักกันทักทายกัน แวะคุยกันบ้างก็มี…ที่หัวเรือจะจุดไต้บ้าง แขวนตะเกียงบ้างเพื่อส่องทาง เวลาเรือผ่านมาแสงตะเกียงสว่างสลัวดูน่ากลัวยิ่งนัก
พวกท่านนั่งเล่นเพลินๆ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนกระโจนลงน้ำ พวกท่านก็โผล่ไปดู กะจะรู้ว่าใครนะกล้าหาญจริงๆ อากาศหนาวออกปานนี้ยังใจกล้าลงไปว่ายน้ำเล่นอีก
“แต่ในคลองนั้นไม่มีใครเลยสักคน…?” ท่านมองหน้ากันอย่างงงๆ
“ก็มันจะเป็นไปได้ยังไง เมื่อสักครู่ยังได้ยินเสียงคนกระโดดน้ำอยู่เลย มาตอนนี้ไหงไม่เห็นใครสักคนเลยล่ะ”
ท่านบอกว่า “…ในบริเวณคลองดำมืด…แต่น้ำในคลองยิ่งมืดมากกว่า เห็นแต่เพียงแสงสะท้อนของตะเกียงจากบ้านริมคลองส่องกระทบกับน้ำเท่านั้น”
ไม่มีร่องรอยของคนในคลองเลย จะว่าเป็นหมาเป็นตัวตะกวดก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสัตว์สองอย่างนี้ลงคลองทีไร ก็เห็นหัวมันโผล่พ้นน้ำไหวๆ แต่นี่ไม่มีแม้แต่เงา ดูอยู่สักพักไม่เห็นใคร ก็เก็บจานและเก็บวงข้าวข้ามถนนกลับไปที่ร้าน
“เวลานั้นทุกคนไปหลังร้านกันหมดแล้ว แต่ไม่รู้ว่าวันนั้นอาม่าผมท่านนึกเอะใจอะไรขึ้นมา ท่านว่าท่านย้อนกลับไปดูที่ท่าน้ำอีกครั้ง แล้วท่านก็ได้เห็นอะไรบางอย่างอยู่ในคลอง…”
ท่านบอกว่า “…ไอ้อะไรที่ว่านั้นมันโผล่หัวขึ้นมา ดูไกลๆ ก็หัวคนนี่แหละ ค่อยๆ เคลื่อนไปช้าๆ แล้วก็โผล่ขึ้นมาครึ่งตัวก่อนจะดำผลุบหายไปอีก อาม่าท่านชะเง้อมองอยู่นานก็ไม่มีวี่แววว่าจะโผล่ขึ้นมาให้เห็นเลย”
หลายวันต่อมาท่านลืมเรื่องนี้ไปแล้ว…ไม่ได้นึกถึง พออากาศหนาวค่อยๆ คลายความเย็นลง ท่านและคุณป้าก็ลงไปอาบน้ำในคลองอีก คราวนี้ท่านลงเล่นน้ำกันตั้งแต่หัววัน พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินดี ท่านเล่นกันอยู่ในน้ำนั่นแหละ ท่านบอกว่าเล่นซะตะไคร่น้ำจับเขียวปื๋อไปเลย
อาม่าท่านว่า “…ท่านอายุมากที่สุดเป็นหัวโจก ก็ว่ายนำออกไปกลางคลอง กะจะหลอกหลานๆ คืออากิ๋มกับอาอึ้มที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่ แต่แล้วทันใดนั้นเอง จู่ๆ ท่านก็รู้สึกเหมือนมีคนมาจับขาลากและฉุดกระชากท่านลงไปในคลองอย่างแรง ท่านตกใจ จะร้องให้ช่วยก็ไม่ได้ ท่านถูกลากจนลงไปมิดหัวเลยทันที”
ท่านลืมตาดูในน้ำก็มองเห็นผู้ที่ดึงท่านลงมา…ครั้งแรกท่านคิดว่าเป็นคนรู้จักหรือเพื่อนท่านแถวๆ นั้นมาหยอกล้อท่านเล่น ก็ตั้งใจดู แต่พอดูดีๆ แล้ว จะว่าไป…คนคนนี้ท่านก็เคยรู้จักจริงๆ นั่นแหละ แต่ทว่าเค้าตายไปนานแล้วนี่นา…
แล้วไหงตอนนี้เค้ากลับมาอยู่ในน้ำได้ และตอนนี้เค้าก็กำลังจ้องมองท่านอยู่ไม่กะพริบตาเลย ท่านได้ยินเสียงใจเต้นตึ่กๆ ดังลั่นอยู่ในหัว ท่านว่าใบหน้าเค้าซีดมาก
“อาม่าท่านกลัวจับใจ ก่อนที่หมดอึดลมหายใจ ท่านจำได้ว่า ท่องนะโม ท่องอิติปิโสออกไป เค้าสะดุ้งนิดนึง ก่อนจะหายวับ…มือที่กำเท้าท่านลากลงไปก็คลายแรงจับท่านเลยรีบทะลึ่งพรวดโผล่ขึ้นพ้นน้ำ”
อาอึ้มกับอากิ๋มไม่รู้ก็คิดว่าท่านดำน้ำแกล้งกันเล่นๆ แต่ท่านไม่สนุกแล้ว รีบชวนทุกคนขึ้นจากน้ำทันที และมาเล่าให้ทุกๆ คนฟังในภายหลัง อากงก็นั่งฟังอยู่ด้วย ท่านบอกนั่นแหละ
“ลื้อน่ะ โดนผีพรายมันลักน้ำเอาแล้ว” แต่นี่ดี…ดีนะที่ลื้อยังไม่ถึงฆาต ถ้าถึงฆาตก็เรียบร้อยขาดใจตายไปแล้ว ใครไม่รู้ก็คิดว่าตะคริวกิน ว่ายน้ำไม่ได้ ตายเป็นเพื่อนเค้าคนนั้นอยู่ในคลองนั่นแหละ”
ท่านมารู้ทีหลังว่า คนที่ท่านเห็นในน้ำนั้นก็ตกน้ำตายในคลองนี้เหมือนกัน เค้าตายมาหลายปีแล้วเลยกลายเป็นผีดุ…เฝ้าคลองอยู่อย่างนั้น หลังจากท่านโดนดีมา ไม่นานก็มีคนบอกว่าโดนแบบเดียวกับท่านบ้าง ที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง
ไม่นานเรื่องนี้เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่
“เด็กๆ อย่างพวกท่านเลยถูกห้ามไม่ให้ลงน้ำ หรือเฉียดไปใกล้ๆ คลองตั้งแต่นั้นมา”
แต่ถึงกระนั้นคลองเปรมฯ แห่งนี้ก็มีคนตกน้ำตายอยู่เรื่อยๆ ทุกปี…ตายคนเดียวบ้าง ตายสองคนสามคนบ้างไม่ได้ขาด ว่ากันว่าผีพรายที่เป็นผีเฝ้าคลองนั้น คงพยายามจะหาเพื่อนมาโดยตลอด…แล้วแต่ว่าใครจะดวงซวยหรือไม่เท่านั้นเอง
และล่าสุด…ไม่นานมานี้ก็มีเด็กแถวๆ บ้านผมจมน้ำตายในคลองเปรมฯ อีกแล้ว หรือว่าผีพรายตัวนี้ยังไม่ได้ไปไหน ยังคงอยู่รอคนที่ชะตาขาด หรือพวกที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ที่มาว่ายน้ำเล่นอยู่ในคลองเปรมฯ นั่นเอง
เรื่องโดย. จุติ จันทร์คณา
ภาพโดย. www.th.wikipedia.org, www.livingculturalsites.com, www.forum.munkonggadget.com, www.painaidii.com