ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน ผู้เขียนอยู่ในช่วงวัยรุ่น ระหว่างเรียนในระดับมหาวิทยาลัยได้มีเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนหนึ่ง เขาเป็นคนมุสลิม ชื่อกาหริบ ได้มาสารภาพบอกชอบดิฉันพร้อมทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแบบกลายๆ คือเวลาที่ฉันเลิกเรียนแล้ว จะเลยไปเที่ยวเดินห้างที่ไหนกับกลุ่มเพื่อนผู้หญิง กาหริบจะแสดงตัวมีทีท่าไม่พอใจทันที
ส่วนรุ่งเช้าวันถัดไป…หากมีเรียน กาหริบจะต้องส่งสายตามองมาทางฉันอย่างน้อยใจ เป็นอย่างนี้มาตลอด ส่วนเพื่อนหญิงในกลุ่มของฉันไม่ค่อยมีใครชอบกาหริบนัก เพราะดูเขาเป็นคนมีลับลมคมใน พร้อมเตือนมิให้ฉันไปคุยหรือง้อพูดคุยกับกาหริบ เดี๋ยวจะเกิดการคิดเองเออเอง…ไปกันใหญ่!
ส่วนกาหริบนั้นที่ฉันพูดคุยสนิทสนมกับเขา เพราะเขาเป็นเด็กมาจากต่างจังหวัด คือเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นบ้านเดิมของคุณพ่อดิฉัน และตัวดิฉันได้เติบโตที่นั่นจนเขียนหนังสือจบชั้น ป.7 ก่อนเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ
จากที่เราเคยอยู่สุพรรณฯ มาด้วยกัน ไม่ว่าฉันและกาหริบจะคุยเรื่องอะไร ทำให้พูดคุยกันเข้าใจรู้เรื่องที่มาที่ไปของการสนิทสนมมาตั้งแต่เข้าเรียนปี 1 เริ่มต้นจากตรงนี้
เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินไปจนพวกเราขึ้นมหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 และช่วงปิดภาคเรียนในปีนั้นฉันได้รับการ์ดเชิญไปร่วมงานบวชพระของเพื่อนเก่าคนหนึ่ง เป็นการจัดงานที่จังหวัดสุพรรณบุรี
ระหว่างนั้นฉันบอกกับกาหริบคร่าวๆ เมื่อเจอกัน “ว่าจะไปงานบวชเพื่อนเสียดายที่กาหริบเป็นมุสลิมไปร่วมงานไม่ได้” กาหริบพยักหน้านิดๆ ตามแบบฉบับของเขาก่อนที่จะถามฉันว่าเขาจัดเลี้ยงฉลองนาคกันที่ไหน เมื่อบอกตำบลที่อยู่กาหริบก็นิ่งอีก แต่ก่อนแยกจากกันเขามิวายบ่น “อย่ากลับดึกเพราะเธอเป็นผู้หญิงแค่นี้ล่ะ”
ทว่างานเลี้ยงคืนนั้น 4 ทุ่มก็แล้ว 5 ทุ่มก็แล้วงานเลี้ยงยังไม่มีแววเลิกรา ส่วนโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่นั้นมีเพื่อนผู้หญิงหลายคน ส่วนผู้ชายนี่นั่งอยู่กับฉันเป็นพี่ชายของเพื่อน (คนบวช) ซึ่งพี่คนนี้เขาเป็นตำรวจในกรุงเทพฯ ยศนายสิบตรี อายุห่างกันไม่กี่ปี
เราเห็นกันมานาน ซึ่งฉันเองก็คุยกับทุกคน หากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เกิดขึ้น ที่จู่ๆ กาหริบได้เดินอาดๆ ก้าวเข้ามาที่โต๊ะที่พวกเรานั่งอยู่ ยังไม่มีใครทันทักทาย กาหริบได้จ่อยิงพี่ชายของพ่อนาคในระยะที่เผาขน กระสุนดังปังหนึ่งนัด ก่อนที่ผู้คนจะฮือแตกกระจาย
พอตั้งสติได้ไม่พบกาหริบแล้ว เขาหายไปอย่างรวดเร็ว หากพยานแวดล้อมจำได้ว่า กาหริบเป็นมือปืน ส่วนพี่ชายของเพื่อนนั้นได้เสียชีวิตทันที เนื่องจากกระสุนได้ตัดขั้วหัวใจจากเหตุการณ์ดังกล่าว เมื่อกาหริบสารภาพกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าทำไปด้วยความหึงหวง เขาพร้อมที่จะชดใช้โทษทัณฑ์ แต่สำหรับตัวฉันแล้ว เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปไม่กี่วันเสียงซุบซิบนินทาได้ติดตามมา…บ้างก็ว่าฉันเป็นคู่รัก (ภรรยา) ของกาหริบ บ้างก็ว่าฉันเป็นตัวซวยที่ทำให้ตำรวจที่กำลังมีอนาคตต้องมาตายไปด้วยอารมณ์โทสะของมือปืน
ฉันตัดสินใจหยุดการเรียนในภาคเรียนถัดมาเพื่อทำใจในหลาย ๆ เรื่องส่วนกาหริบนั้น เมื่อฉันไปเยี่ยมเขาที่เรือนจำ ประโยคแรกที่ฉันถามเขา “เธอทำทำไม?”
เขาตอบไม่รู้ และเมื่อถามอะไรเขาก็ส่ายหัว ดูเขาคงเครียดกับการกระทำของตนเองมากมาย เพราะการที่คนเราอยู่นอกคุก…ได้ดูดิน ฟ้า อากาศ หายใจเต็มปอด กับการที่ต้องเข้าไปนอนยัดเยียดแออัดกับใครก็ไม่รู้อีก เสมือนต้องแย่งลมหายใจกันและกันซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกนัก!
วันเวลาผ่านไป ต่อมาเมื่อฉันแต่งงานมีครอบครั วก็พอได้ข่าวคราวของกาหริบอยู่บ้าง เขาพ้นโทษแล้วและย้ายบ้านจากเมืองสุพรรณฯ ไปอยู่จังหวัดข้างเคียง ซึ่งก็ไม่รู้เป็นเวรเป็นกรรมอะไรที่เราได้ย้ายมาอยู่จังหวัดเดียวกันอีก
โดยเวลานั้นกาหริบได้เป็นพ่อค้าส่งเนื้อวัว เขามีโรงเชือดเป็นของตัวเอง ส่วนด้านชีวิตคู่นั้นความที่เขาเป็นคนมุสลิมสามารถมีภรรยาได้ถึง 4 คน (ถ้าฝ่ายชายเลี้ยงดูได้เป็นอย่างดี) หากตัวของกาหริบเขาสมรสกับผู้หญิงทั้งคนไทยพุทธและคนมุสลิมด้วยกันก็หลายราย มีบุตรด้วยกันก็หลายคน แต่ก็เลิกรากันอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครที่ทนต่ออารมณ์คุ้มดีคุ้มร้ายของกาหริบได้นานนัก
เมื่อไม่นานมานี้ กลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา…เป็นเพื่อนเก่าของผู้เขียนท่านหนึ่งที่รู้จักกับฉันและกาหริบเป็นอย่างดี ซึ่งเพื่อนคนนี้เป็นนางพยาบาล โดยเพื่อนเล่าว่า
“ตอนนี้กาหริบนอนรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งที่หลอดลม เขานอนอยู่ในตึกที่ทำงาน และเมื่อฉันถามเขา ยังจำเธอได้ไหม เขาบอกจำได้ และอยากเจอ ถ้าคุณว่างก็มาเยี่ยมเขาบ้าง ซึ่งเขาคงยังไม่ออกจากโรงพยาบาลง่ายนัก!”
เมื่อทราบข่าวฉันเดินทางไปโรงพยาบาลทันที…แต่ตอนนั้นไม่ใช่เวลาเยี่ยม แต่ก็ได้เพื่อนเป็นคนช่วยประสานในกรณีพิเศษ แต่พูดคุยได้ไม่เกิน 20 นาที
ซึ่งทันทีที่พบกัน หลังจากที่ไม่เจอกันเลย 20 กว่าปี กาหริบคว้ามือฉันไปจับ และกุมไปที่หน้าอกเขา ฉันบอกกาหริบไป ทุกอย่างคือโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว และตลอดเวลาเธออยู่ในใจของเราเสมอ เพียงแต่เราเกิดมาไม่ได้เป็นคู่กันเท่านั้น กาหริบพยักหน้า เข้าใจ
ทั้งนี้ก่อนกลับฉันขอให้กาหริบมีกำลังใจต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ หากเป็นไปได้ฉันจะแวบมาพูดคุยให้เห็นหน้าทุกวัน เป็นการให้กำลังใจกันมากกว่าที่จะคิดฉันชู้สาว เพราะต่างคนต่างก็อายุ 50 กว่าแล้ว แม้สามีฉันจะเสียชีวิตไป แต่ก็ไม่คิดที่จะมีใครอีก
คราวนี้วันถัดมา ทำให้ฉันทราบว่าที่กาหริบมีอารมณ์คุ้มดีคุ้มร้าย เป็นผลพวงของการที่เขาเข้าไปอยู่ในเรือนจำนานนับสิบปี เมื่อกลับมาอยู่บ้านเขามีอาการหลอน เครียดจนต้องใช้ยาบางตัวบรรเทา และบางคราวเขาก็ใช้ยาเกินขนาด
เมื่อรับฟังจากปากญาติพี่น้องของเขา ทำให้ฉันคิดมากเสมือนเป็นบาปทางใจ…ที่ดีดออกไปทางไหนมันก็ไม่จบ และในส่วนของกาหริบ เมื่อเขายังอยู่ในวัยอายุ 30 ปีต้นๆ ออกจากการคุมขัง เขาสามารถแทงคอวัวในเวลาเดียวกันได้ถึง 5-6 ตัว ทั้งที่มันไม่ใช่หน้าที่ เพราะเขาเป็นเจ้าของโรงเชือด ซึ่งเหมือนการกระทำลงไปเขาได้ระบายอะไรในใจสักอย่าง
นี่คือคำบอกเล่าจากญาติของเขา ซึ่งบางท่านได้พูดคุยเพิ่มเติมให้ฟัง
“ครั้งหนึ่งกาหริบเคยขับรถตกเหว แต่รถทั้งคันได้ไปคาคบไม้ใหญ่ไว้คาดต่องแต่งอยู่อย่างนั้น เขารอดตายโดยกระดูกอะไร…ไม่แตกหักเลยสักแห่ง เหมือนปาฏิหาริย์
หากการป่วยครั้งนี้เราไม่รู้ว่าเขาจะรอดกลับไปหรือไม่หรือได้ไปอยู่กับองค์อัลเลาะห์…ไม่มีใครตอบได้ คำว่าญาติพี่น้องก็ได้แต่ดูแลเขาอยู่ห่างๆ ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับพระเจ้าเท่านั้น
ต่อมาญาติของกาหริบได้เล่าย้อนอดีตเมื่อ 4-5 ปีก่อน ก่อนที่เขาต้องมาล้มป่วยนอนในสภาพนี้
“ที่อำเภอชายแดนนี่บังหริบแกไม่ธรรมดาหรอกครับ แกนักเลงเอาเรื่องอยู่ มอญพม่าไม่มีใครกล้าหือกับแกเพราะแกยิงปืนแม่น ยิงเด้งเลยนัดเดียวตัดขั้วหัวใจ แกพูดน้อยต่อยหนัก” เมื่อรับฟังแล้วฉันใจหายวาบพร้อมทำให้คิดได้ คนเราเกิดมามีดีติดตัวกันคนละอย่าง แต่จะใช้ไปในทางบวกหรือลบเท่านั้น
“ที่อำเภอนี้แกคุมหมดล่ะครับ แต่แปลกตรงที่ว่าพอมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลานกลับไม่มีใครเป็นนักเลงเหมือนบังหริบสักคน คำว่านักเลงในตระกูลนี้คงจบที่รุ่นแก
ความที่โรงเชือดนั้นมีพม่ามีกะเหรี่ยงที่นับถือพุทธมาทำงานกันเยอะ เด็กคนงานพูดเป็นเสียงเดียวกัน อาการของบังหริบที่เป็นมะเร็งที่หลอดลมตามหลักศาสนาพุทธ เขาเรียกโรคเวรโรคกรรม เป็นกรรมที่แทงคอวัว อย่างอื่นมีให้ทำตั้งเยอะแยะ แต่ไม่ทำ เหมือนบังชอบความเจ็บปวด อีกเมียกี่คนต่อกี่คน พอพูดผิคหูนิดเดียวแกตบซะกระเด็น แต่บทแกจะใจดีก็ดีใจหาย… แจกเงินให้ฟรีๆ คนละหลายหมื่น นี่หมายถึงบรรดาเมียคนในครอบครัวบังหริบนะครับ
ต่อมาเมื่อจบการพูดคุยกับญาติของกาหริบที่ฉันได้เจอโดยบังเอิญ เขารู้ว่าฉันเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่สุพรรณฯ คงไม่รู้อะไรมากไปกว่านี้ ถึงได้นั่งพูดคุยรอการเยี่ยมอย่างสนิทใจ
ทุกครั้งที่ฉันไปเยี่ยมเขา ทุกคนบอกดูคนไข้มีความสุข กาหริบกลายเป็นกาหริบในวันวานที่มีทั้งความขี้อายและมีความลับอยู่ในตัวเขาเอง
ส่วนฉันเองที่เพียรพยายามไปเยี่ยมดูแลเขาก็เพื่อต้องการไถ่บาปทางใจ
แต่ในส่วนของกาหริบนั้น ฉันมองดูร่างกายและอาการป่วยของเขา เหล่านี้คือกรรมใหม่ที่เขาได้กระทำขึ้นมาด้วยน้ำมือตนเอง ซึ่งอาการที่นอนทรงตัวของเขาอยู่นี้ ฉันรู้ เขานอนทรมาน…เพียงแต่พูดไม่ได้เท่านั้น
สุดท้ายนี้ แม้เรื่องนี้จะอิงอดีตของผู้เขียนมากไปสักหน่อย แต่ขอให้ผู้อ่านคิดถึงเรื่องผลกรรมที่เพื่อนผู้เขียนได้กระทำไว้..เวรกรรมไม่เคยหนีไปไหน แม้มีลูกสมุนรายล้อมตนเองหลายคน แต่เวรกรรมยังทะลุทะลวงไปได้
ซึ่งเรื่องอย่างนี้ดิฉันไม่ปรารถนาจะโทษใคร เนื่องจากทุกคนที่เกิดล้วนมีกรรมเก่าติดตัวมา ไม่ว่าจะเป็นคนไทยแขก จีน หรือฝรั่งตาน้ำข้าว โดยเราจะพิจารณาหรือไม่เท่านั้น?
และจะยอมรับหรือไม่ว่ากฎแห่งกรรมมีอยู่จริง กระทำอย่างไรได้อย่างนั้น มีค่าเท่าตัวใครจะหักลบกลบหนี้ก็ไม่ได้
เรื่องโดย. ประทุมทิพย์
ภาพโดย. www.baltana.com, www.balcanicaucaso.org, www.wallpaperaccess.com